เครื่อง 4 สูบBoxer ของ Subaru จะมีลำดับการจุดระเบิดเป็น 1,3,2,4
พูดง่ายๆคือจุดแบงค์นึงก่อนสองสูบ แล้วค่อยจุดอีกแบงค์สองสูบ
คำว่าจุดนี่คือการที่ยิงประกายหัวเทียน และเป็นจังหวะกำลังด้วย
ส่วนการจุดพร้อมกันสองลูก มีเหมือนกัน ในเครื่องปี 96 เดือนธันวาจน
ถึงตัวสุดท้ายของ GC แต่ในการจุดนั้นสูบนึงจะจุดจังหวะสปาร์คเพื่อสร้างกำลัง
ส่วนอีกสูบจะจุดในจังหวะคายไอเสีย กล่าวคือเป็นระบบ Waste Spark
คอยล์ตัวเดียวจุดสองสูบ เหมือนเครื่อง 4G63 ใน Evo III
เครื่องสูบนอนที่จริงก็เคยมีรถรุ่นอื่นใช้ 911, Cayman, Boxster
ล้วนเป็น Boxer-6 และ Ferrari เคยใช้ใน 512 Berlinetta Boxer, Testarossa, 512TR
,F512M ซึ่งเป็น Boxer -12สูบ
เครื่อง Boxer นั้นนอกจากจะเสียเปรียบที่ผนังกระบอกมักสึกข้างเดียวแล้ว
ยังมีปัญหากับการเผาไหม้ เพราะการเผาไหม้มักไปเกิดรอบๆวาล์วไอดี ไม่ได้เกิด
แบบทั่วถึงอย่างรถสูบตั้งหรือพวกเครื่อง V-engine ทำให้อัตราส่วนน้ำมันเชื้อเพลิง
ต่ออากาศต้องหนา น้ำมันต้องเยอะ จากที่เพื่อนผมเคยลองจูนมา รถสเป็คใกล้เคียงกัน
แต่เทียบซูบารุกับพวก Evo, SR เครื่องซูบารุต้องมีค่าAir/Fuel หนากว่าปกติหน่อยจึงจะได้แรงม้าสูง
นอกจากนี้ยังเสียเปรียบเรื่องการออกแบบท่อไอเสีย เวลาท่อเฮดเดอร์จะยิงออกจากพอร์ท
มันจะต้องยิงโค้งรับกับพอร์ทไอเสีย แล้วค่อยอ้อมไปทางที่ต้องการ สังเกตพวกรถสูบตั้ง
เวลาทำเฮดเดอร์แต่ง ก็จะต้องยิงท่อขึ้นเล็กน้อยแล้วค่อยๆม้วนกลับลงด้านล่าง
เครื่อง Boxer นั้นตัวก็เตี้ยติดพื้นอยู่แล้ว เครื่องก็เตี้ย ถ้าทำเฮดเดอร์ยิงออกมาสวยๆ
แล้วค่อยวนกลับ ท่อครูดพื้นพอดี ถ้าเป็นรถแต่ง รถแข่งนั้นยอมรับได้สบาย แต่รถโรงงาน
ออกขายคนทั่วไปคงไม่ค่อยดี
พูดง่ายๆคือถ้าเอามาวิ่งทางตรงแบบDrag เครื่อง Boxer แทบไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรเลย
เป็นภาระมากกว่าเสียด้วยซ้ำ แต่ที่ยังสามารถจำหน่ายขายอยู่ได้เพราะเป็นเอกลักษณ์
ที่คนต้องการให้คงเอาไว้ ถ้า Subaru Impreza ใช้เครื่อง 4 สูบเรียงวางขวาง..เอามั้ย
หรืออีกเหตุผลก็คือการจัดรูปทรงของรถที่ส่งผลกับรูปแบบของเครื่อง 911 เป็นเครื่องวางหลัง
ถ้าใช้เครื่องสูบตั้งแบบ V ท้ายก็จะต้องสูงกว่านี้ รูปทรงไม่สามารถออกแบบให้มีเอกลักษณ์
แบบ 911 ได้