ผมเคยสงสัยเหมือนกัน เลยไปลองอ่านๆและค้นอะไรมาได้นิดหน่อยครับ
แรงบิดของดีเซล มาเร็วแล้วก็ตกเร็ว
เริ่มกดออกตัวก็รอบต่ำๆก็เจอแรงบิดสูงๆมันก็ดึงมากแล้วก็ห้อยลง
พอถอนคันเร่งกลับมารอบต่ำลง กดอีกมันก็ถีบขึ้นอีก
ก็เลยรู้สึกว่าดึง ส่วนหนึ่งเพราะมันดึงหนักๆสั้นๆ สลับกับไม่ดึง
แต่เบนซิน มักจะค่อยๆไต่ไปแบบแรงบิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆไปจนปลายเกียร์
หรือจะเป็น flat torque ก็ตามแต่ ไม่ใช่ดึงแล้วหยุด แล้วก็ดึงแล้วหยุดไ่วๆแบบดีเซล
ในแง่ความรู้สึกเปรียบต่างน้อย ก็เลยเหมือนไม่ดึง
แต่เบนซินเทอร์โบพวกที่แรงบิดมาในรอบปลายๆก็ดึงทีจ๊ากกกเลยนะคร้าบ
อัตราเร่ง 0-100 , 0-160 , 0- top speed จริงๆมันใช้รอบเครื่องช่วงปลายเป็นหลัก
ดีเซลจะกวาดผ่านรอบแรงบิดสูงสุดอาจ จะแค่เกียร์แรกทีเดียว
แล้วสับเกียร์ถัดไปอาจจะเลยรอบแรงบิดสูงสุดไปสำหรับเกียร์ถัดไปที่เหลือ
นั่นคือหลังจากจึ๊กแรก แล้วไม่ได้กวาดมาผ่านรอบที่แรงบิดสูงสุดที่รอบต่ำๆของมันอีกเลย
ซึ่งส่วนสำคัญคือแรงบิดที่มีเหลืออยู่ในรอบปลายๆ ซึ่งอันนี้ต้องดูจากกราฟ
(ไม่สามารถรู้ได้จากค่าแรงบิดสูงสุดที่ลงในสเปค แต่พอจะประมาณคร่าวๆได้จากแนวโน้มค่าแรงม้า)
สังเกตตอนที่กดเต็มเร่งความเร็ว เกียร์จะคิ๊กดาวน์ ลงเกียร์ต่ำ
รอบเครื่องกวาดอยู่ในช่วงรอบปลาย แล้วสับขึ้นเกียร์ถัดไปก็เป็นช่วงรอบปลายๆอีก
ในการหาอัตราเร่งแซงสูงสูดที่ใต่ความเร็วขึ้นไปไม่ได้ไล่จาก 0
ก็จะใช้ผลค่าแรงบิดที่มีอยู่ในรอบปลายอีกเช่นเดียวกัน
เนื่องจาก "แรงม้า แรงบิด และรอบเครื่อง"
เป็น 3 สิ่งที่เกี่ยวเนื่องผูกพันกัน แกะไม่ออก
========================
แรงม้า = ค่าคงที่ x แรงบิด x รอบเครื่อง
========================
เจ้าค่าคงที่นั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เพียงแต่เราใช้หน่วยของแรงม้า แรงบิด และ รอบเครื่องเป็นหน่วยอะไรเท่านั้น
พูดง่ายๆก็คือ แรงม้า จะแปรผันตาม ผลคูณของแรงบิดและรอบเครื่อง
และถ้ารู้ค่าอยู่ 2 อย่าง ย่อมหาค่าที่ 3 ได้เสมอ
เช่น รู้่ว่า แรงบิด 300 Nm ที่รอบเครื่อง 2500 rpm ก็จะสามารถคำนวณหาค่าแรงม้า ณ จุดนั้นๆได้
หรือ ถ้ารู้ค่าแรงม้า ณ รอบเครื่องค่าหนึ่ง ก็จะคำนวณกลับมาหาค่าแรงบิดที่ค่ารอบเครื่องนั้นๆได้เช่นกัน
สมมุติที่ค่าแรงบิดสูงสุด 400 Nm เท่าๆกัน
แต่ถ้าอยู่ที่รอบเครื่องต่ำๆ ซัก 2000 rpm จะมีแนวโน้นที่จะมีแรงม้าสูงสุดน้อยกว่า
รถอีกคันที่มีแรงบิดสูงสุด 400 Nmเหมือนกัน แต่ไปอยู่ที่ รอบ 4500 rpm
เพราะแรงม้า แปรผันตาม ผลคูณของแรงบิดกับรอบเครื่อง
และถ้าเรามีกราฟแรงม้า vs รอบเครื่อง
เราจะสามารถใช้กราฟดังกล่าวสร้างกราฟ แรงบิด vs รอบเครื่องออกมาได้
ที่นี้สิ่งที่เราต้องการใช้เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนรถ ก็คือ แรงบิดที่ล้อ
อุปกรณ์ที่ช่วยแปลงแรงม้าที่มีอยู่
ออกเป็นแรงบิดที่ล้อและความเร็วล้อ
ก็คือชุดเกียร์และเฟืองท้่าย
การที่เครื่องมีแรงม้ามากกว่า นั่นหมายความว่ามี "ผลคูณของแรงบิดกับรอบเครื่อง" มากกว่า
การที่เรามีเจ้าผลคูณตัวนี้ "มากกว่า" หมายความว่า
เราจะใช้อัตราทดเกียร์ สร้างออกมาเป็นแรงบิดได้สูงกว่า ที่ความเร็วเดียวกัน
หรืออาจจะได้ค่าแรงบิดค่าเดียวกันออกมาในความเร็วที่สูงกว่า
ดังนั้นกราฟของแรงม้าของรอบเครื่องช่วงปลาย
ซึ่งมักเป็นช่วงที่เราใช้ในการเร่งไต่หาความเร็วสูงสุด หรือเร่งแซงแบบกดหนัก
จึงมีความสัมพันธ์กับอัตราเร่งมากกว่า ค่าแรงบิดสูงสุด
ลองดูรูปด้านล่างนะครับ
เป็น ของ E250 CGI และ E 250 CDI ที่เป็นเกียร์ 5 speed
ผมลองเอากราฟแรงม้าแรงบิด ผ่านเกียร์ เฟืองท้าย ออกมาเป็น แรงบิดที่ล้อ vs ความเร็ว
สีแดงเป็นของ CGI ไล่จากเกียร์ 1-5 , สีเขียวเป็นของ CDI ไล่จากเีกียร์ 1-5
จะเห็นเลยว่าแรงม้าสูงสุดเท่ากันเด๊ะ 204 ม้า แถมแรงบิดของดีเซล 500 Nm > 310 Nm ตั้งเยอะ
แต่พอผ่านอัตราทดเกียร์แล้วหลังจากช่วงความเร็ว 20-40 km/h เป็นต้นไป แรงบิดที่ล้อ
ของ GGI มากกว่าของ CDI ไปเกือบตลอดกราฟยันความเร็ว 240 km/h ที่เกียร์ 4
(ของ CDI สับเกียร์ถัดไปที่ความเร็วต่ำกว่าทุกเกียร์ Top speed อยู่ที่เกียร์ 5)
ของจริงๆที่ดูในรีวิวที่คุณ Jimmy คุณ แพนทดสอบก็พบว่า CGI ไปไวกว่า CDI
แต่ถ้าเป็นตัวใหม่ที่เป็น 7G ดูจากแนวโน้นของกราฟเดิมนี้แล้ว CDI น่าจะไปไวกว่านะครับ
แต่ยังไม่เคยลองเอาอัตราทดเกียร์มาลองพล็อตดูครับเลยยังไม่ทราบ
ทีนี้ถ้ารถคนละคัน น้ำหนักก็ไม่เ่ท่ากันจะดูแนวโน้มอัตราเร่ง
เค้าก็จะมักนิยมใช้ค่า แรงม้า/น้ำหนัก มาเป็นตัวเปรียบเทียบ
ซึ่งก็มาจากสูตรพื้นฐาน F = ma นั่นเอง
ไม่ได้เอาแรงบิด/น้ำหนักมาเปรียบเทียบ นะคร้าบ
สำหรับในการใช้งานในชีวิตประำจำวัน
ของการขับแบบเรื่อยๆ รอบเครื่องจะใช้อยู่ในย่านรอบต่ำๆ
เจ้าแรงบิดในช่วงรอบต่ำนี้ึจึงมีผลดี ในแง่ความกระฉับกระเฉงที่รอบต่ำๆ
ไม่ต้องรอลากรอบ และโอกาสที่จะต้องทวนลงเกียร์ต่ำดูว่ามีแนวโน้มจะน้อยกว่า
แม้ว่าตอนใช้รอบต่ำๆนี้ เราจะไม่ได้ิกดคันเร่งเต็ม ก็ตามนั่นคือไม่ได้ใช้ค่าแรงบิดสูงสุดนั้นๆ
แต่แนวโน้มของกราฟแรงบิดที่รอบต่ำๆนี้ ที่ % การเหยียบคันเร่งค่าต่างๆ ก็ยังมีแนวโน้มที่สูงอยู่ดี