ผมเคยทำวิธีนี้แล้ว ตอนแบตทำท่าไม่ดี (เริ่มสตาร์ทลำบาก)
โดยผมซื้อกรดซัลฟูริก 90 เปอร์เซ็นต์หยอดเลยครับ
หยอดไปวัดด้วยเครื่องวัดความถ่วงจำเพาะไป ทีละช่องจนครบ 6 ช่อง
(ทุกช่องเครื่องวัดความถ่วงอยู่ในระดับเขียวทุกช่องเลย)
จากนั้นก็ชาร์ตไฟด้วยเครื่องชาร์ต เครื่องผมมีให้เลือก 2 ช่องคือ 6 กับ 12 โวลต์
และจากนั้นระยะแรกเปิดไปที่ 12 โวลต์ HI สัก 4 ชม.ได้
และต่อไปก็เปลี่ยนเป็น 12 โวลต์ LOW สัก 4 ชม.
จนกระแสการชาร์ตเริ่มชาร์ตได้น้อยลง (ชาร์ตใกล้เต็ม)
แรกๆก็โอเคได้สัก 3 วันครับก็เริ่มสตาร์ทยากอีกแล่ะ
ผมก็ทนชาร์ตต่อนะ
พอปรับกรดให้ได้ค่าแล้วมันชาร์ตง่ายครับ
(แต่มันเก็บไฟไม่ค่อยดีอ่ะครับ)
จนได้เรื่องครับคือ
ใช้ได้ประมาณ 3 วันหลังชาร์ต
ผมขับรถไปตอนเช้า แล้วก็จอดไว้
พอตอนเย็นสตาร์ท ก็ไม่ติดแล้วครับ
เครื่องวัด(แบบที่เขี่ยบุหรี่)บอกมีไฟ 8-9 โวลต์ได้
(จะให้ดีก่อนสตาร์ทเครื่องต้องมี 12 โวลต์ขึ้น)
ก็โทรไปร้านแบตให้เอาแบตมาเปลี่ยนให้ ก็เทรินลูกเก่าเรียบร้อยกันไปครับ
ผมทำแบบนี้มากับรถ 2 คัน
แล้วผลออกมาวันที่ 3 - 4 นี่แหล่ะได้เรื่องเลย
พอตอนเย็นมาสตาร์ทไม่ติดครับ
ที่ผมสังเกตุ คือ
1.ที่ร้านแบตมีเครื่องชาร์ต(ตู้ใหญ่ๆ)ระดับ 60 โวลต์ครับ (ผมว่ามันกระตุ้นแบตเตอรี่ได้ดีกว่า) แต่ต้องลงทุน
2.ผมชาร์ตตอนแบตเตอร์รี่ติดกับรถ(ไม่ได้ถอดชาร์ต)ผมว่า
อาจจะเป็นไปได้ที่ผมไม่ได้เขย่าแบตให้น้ำกรดผสมกันให้ดี (ผมใช้วิธีใช้เครื่องวัดความถ่วง บีบเข้า บีบออกให้มันผสมกันเท่าที่ได้แทน)
ปล.
ถ้าอยากทดลองทำ
ผมอยากให้ถอดแบตออกมาชาร์ตครับ
เพราะอะไรหรอครับ เพราะเวลาที่จะหยอดน้ำกรด จะได้ไม่กระเด็นโดนตัวรถครับ
และตอนที่กำลังชาร์ต (โดนปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไป) น้ำกรดจะร้อนมากครับ
มันเพียงพอจะกระเด็น(เล็กๆ)ออกมาโดนคานหน้ารถ พอ(สังเกตุ)
ดูทีไรก็รู้สึกเจ็บกระดองใจและเซ็งเป็ดครับ (ไม่รอบคอบเลยเรา)
(โดนสีรถแล้วมันจะเป็นสีดำๆดวงๆเล็กๆ)
ปล.ปล.
น้ำกรดซัลฟูริกเข้มข้น บอกตรงๆอันตรายนะครับ
แค่ละอองเข้าตา ตาฝ้าแน่นอน ได้ไม่คุ้มเสียครับ
(ผมรู้ครับแต่ผมอยากทดลอง ใครอยากลองระวังให้เยอะๆครับแจ้งล่วงหน้าเลย)