ผู้เขียน หัวข้อ: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ  (อ่าน 9107 ครั้ง)

ออฟไลน์ Krissurg

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 156
    • อีเมล์
ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2013, 20:35:39 »
พอดีวันนี้เอารถไปเชคระยะ20000โล ก็เปลี่ยนถ่ายของเหลวตามปกติช่างเค้าใช้นำ้มันเครื่อง5w50G
ผมไม่แน่ใจว่านำ้มันเครื่องเบอร์นี้มันเหมาะรึเปล่าครับผมใช้Audi Q5อยู่มันจะมีผลไรกับเครื่องเปล่าคับ
หมายเหตุ ผมจำได้ว่าครั้งก่อนเปลี่ยนมันไม่ใช่เบอร์นี้

ออฟไลน์ secrecyguy

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,744
  • 3.2plus
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2013, 20:47:28 »
ดูที่คู่มือครับ

ออฟไลน์ 6162002

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,089
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2013, 21:51:52 »
เบอร์ 50  ยิ่งปกป้องเครื่องได้ดีครับ 

แต่มันน่าจะหนืดเกินไป จนส่งผลต่อประสิทธิภาพของเครื่องยนต์นะ  -.-

ยังไงก็ลองดูคู่มือก่อนละกันครับ ว่าเขาแนะนำเท่าไร

ออฟไลน์ Krissurg

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 156
    • อีเมล์
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2013, 23:15:04 »
ขอบคุนครับจะลองไปเปิดดูอีกทีครับ

ออฟไลน์ kez

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,591
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2013, 23:25:00 »

 รถใหม่ถือว่าหนืดเกินไป  แต่ถ้าคู่มือบอกว่าใช้ได้ ก็ไม่เป็นไร

 ถ้าคู่มือไม่มีบอกควรถ่ายออก

ออฟไลน์ crucifixzz

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 960
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2013, 08:19:42 »
ถ้าเป็น audi ไม่มีปัญหาครับ จากที่คุยกับคนขายนมค ในคลับออดี้

ออฟไลน์ Whisky

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 48
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2013, 09:47:15 »
ความหนืดควรเลือกตามที่คู่มือระบุครับ ไม่ใช่ว่ายิ่งหนืดยิ่งดี หรือยิ่งใสยิ่งดี

น้ำมันที่หนืดน้อยหรือใสเกินไป เวลาวิ่งที่รอบสูงอาจทำให้กำลังอัดในกระบอกสูบไม่เพียงพอ(ต่ำกว่ามาตรฐานที่ผู้ผลิตทำการทดสอบเครื่องยนต์ของตัวเอง) และรถจะไม่มีกำลัง แถมอาจจะทำให้เกิดการสึกหรอสูงกว่าปกติอีกด้วย

ส่วนน้ำมันที่หนืดเกินไป จะทำให้เกิดแรงเสียดทานในกระบอกสูบมาก เป็นภาระกับปั๊มน้ำมันเครื่อง กินน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น จำนวน flow ในระบบน้อยลง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการพาความร้อนไปจากผิวโลหะในเครื่องยนต์ หรือกระบอกสูบ และอาจทำให้การหล่อลื่นไม่ทั่วถึง

ผู้ผลิตเค้าได้ทำการทดสอบหาความหนืดที่เหมาะสมมาให้แล้วจากระยะ clearance ของชิ้นส่วนภายใน ถ้าจะขยับเบอร์จริงๆ ก็ให้เปลี่ยนอย่างมากก็เพียงหนึ่ง step ในกรณีที่หาเบอร์นั้นไม่ได้จริงๆ และขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของคนขับนั้นๆด้วย

แต่ถ้าเป็นผม ผมไม่แนะนำให้ขยับเพิ่มจนกว่าระยะ clearance ที่เกิดจากการสึกหรอภายในเพิ่มมากขึ้นเช่นใช้งานมาแล้ว ซัก 7หมื่น ถึงแสนโล แบบนี้ก็สมควรที่จะขยับเบอร์เพิ่ม

ถ้าอยากได้การปกป้องที่ดี ก็ใช้น้ำมันเครื่องคุณภาพดี ขับรถถนอมๆ ไม่ใช่ตะบี้ตะบันเหยียบ และเปลี่ยนถ่ายให้เหมาะสมกับการใช้งานของเรา อย่าขี้เหนียวเรื่องของเหลว เพราะน้ำมันหล่อลื่น หรือจารบีมันมีอายุการใช้งานของมัน ที่เสื่อมสภาพไปตามสภาพแวดล้อ เวลา และการใช้งานของแต่ละคน

แนะนำเท่านี้แหละครับ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ

ออฟไลน์ Krissurg

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 156
    • อีเมล์
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2013, 10:18:16 »
ขอบคุนทุกท่านนะครับผมไปเปิดดูที่คู่มือมันบอกspec เป็นรหัสที่ผมไม่เข้าใจ
คือถ้าเป็นlong life service ใช้VW 504 00  แต่ถ้าเป็นinspection service ใช้VW 502 00  alternatively : VW504 00
มันคือรหัสอะไรครับผมไม่เข้าใจเลยรบกวนด้วยครับ

ออฟไลน์ HornbilL

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 233
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2013, 10:44:26 »
มันคือค่ามาตรฐานครับ คล้ายๆ API ที่เราๆท่านๆชินกัน เช่น API SL, API SM, API SN ประมาณนั้นครับ
แต่ทางค่าในเครือ VW ก็จะใช้มาตรฐาน VW ครับ
ว่าแต่ในคู่มือไม่บอกค่าความหนืดไว้ซักหน่อยเหรอครับ  :)

ออฟไลน์ Whisky

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 48
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2013, 11:50:31 »
ขอบคุนทุกท่านนะครับผมไปเปิดดูที่คู่มือมันบอกspec เป็นรหัสที่ผมไม่เข้าใจ
คือถ้าเป็นlong life service ใช้VW 504 00  แต่ถ้าเป็นinspection service ใช้VW 502 00  alternatively : VW504 00
มันคือรหัสอะไรครับผมไม่เข้าใจเลยรบกวนด้วยครับ

spec Q5 ใช้เบอร์ 30 ครับ คุณจะขยับมาใช้ 40 ก็ได้กรณีหาไม่ได้ หรือใช้จนใกล้ๆ จะแสนโลแล้วนั่นแหละ ถ้าวันหลังไปเปลี่ยนก็บอกช่างว่าเอาเบอร์ตาม spec
อย่าให้ช่างลักไก่อีก จะใช้ 50 ก็ต่อเมื่อมันสมควรแก่เวลาจริงๆ และคุณไม่ต้องการจะ overhaul เครื่อง เพื่อให้ clearance กลับมาฟิตเหมือนตอน ซื้อรถใหม่ๆ เช่น รถมีอาการกินน้ำมันเครื่อง หรือ กำลังอัดในกระบอกสูบลดลง แต่ผมว่าคุณคงใช้ไม่ถึงตอนนั้นหรอกก็คงจะเปลี่ยนรถใหม่ซะก่อน

มาว่ากันต่อเรื่อง Inspection Service กับ Longlife Service
จริงๆ ผมเคยตอบเรื่องที่มีคนมาถามเรื่องการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องไปแล้ว ว่ามี 2 กรณี คือ Normal Service Condition กับ Severe Service Condition
Normal Condition คือ คุณใช้รถหลักๆ นอกเมืองวิ่งไกลๆ ไม่ได้ใช้รอบสูงจัด ไม่ได้ตะบี้ตะบันเหยียบ รถไม่ได้แต่ง ใช้กรองปกติไม่ใช่กรองเปลือย ความร้อนสะสมไม่มาก ฝุ่นละอองน้อย กรองสามารถกรองได้ดี อายุน้ำมันเครื่องอยู่ได้อีกนาน

Severe Condition คือ คุณใช้รถหลักๆ ในเมือง รถติด รถมีเทอร์โบ รถที่มีการ Modified เร่งแรงๆ ใช้รอบสูงบ่อยครั้ง กรองเปลือย อยู่ในที่ๆฝุ่นละอองเยอะ
แบบนี้ความร้อนสะสมสูง น้ำมันเสื่อมสภาพไวกว่าเดิม ถึง Additive ในน้ำมัน หรือแม้แต่ตัว Basestock เองยังไม่เสื่อม แต่ถ้ามี particle อยู่ในน้ำมันเครื่องเยอะ เช่น เศษโลหะจากการสึกหรอจากชิ้นส่วนภายใน และฝุ่นละอองที่ทะลุผ่านกรองเปลือยออกมา แบบนี้ก็ต้องเปลี่ยนถ่ายก่อนระยะเพื่อไม่ให้เครื่องยนต์ได้รับอันตราย และทุกครั้งควรเปลี่ยนกรองน้ำมันเครื่องร่วมด้วยเสมอ

กลับมาที่ Inspection Service กับ Longlife Service ใหม่ ก็จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับ Normal และ Severe ที่ผมได้กล่าวไปข้างต้น
Inspection ควาหมายคือ บริการตรวจเช็คทั่วไปว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ ถ้าไม่ก็ไม่ต้องซ่อมตรวจดูเฉยๆ

แต่ในกรณีบริการของ Audi จะกำหนดการบริการออกเป็น 2 กรณี แยกตามลักษณะการใช้งานของผู้ขับ
ซึ่ง Inspection Service จะหมายถึง ลักษณะการขับขี่ที่ตรงกับ Severe Service Condition จะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก1ปี หรือไม่เกิน 9,000 ไมล์หรือ 15,000 กม. โดยประมาณ
ส่วน Longlife ก็จะตรงกับ Normal Service Condition จะเปลี่ยนถ่าย จะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 2 ปี หรือไม่เกิน 19,000 ไมล์หรือ 30,000 กม. โดยประมาณ

ส่วนพวกที่ตะบี้ตะบันเหยียบ น้ำมันก็อาจต้องถ่ายเร็วกว่าปกติ อย่างกรณีของ GTR R35 ถ้าซัดหนักๆ ไม่ถึง 3,000 โลก็จำเป็นต้องถ่ายทิ้งแล้วเป็นต้น
ถ้าอยากประหยัดก็ขับถนอมๆ อย่างที่ผมบอกนั่นแหละครับ จะได้ไม่ต้องถ่ายบ่อยๆ ให้เปลือง แถมโลกไม่เป็นพิษอีก

รถยุโรป ถ้าเป็นน้ำมันที่ OEM ให้กับทางผู้ผลิตส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Longlife ซึ่งจากที่คุณบอกก็คือตัว vw 504 00 ส่วนถ้าเป็น Inspection ก็จะใช้ตัว vw 502 00

สรุป 502 00 หรือ 504 00 ใช้แทนกันได้ เวลาเลือกน้ำมันให้หาตัวที่ระบุ ตามนี้ ซึ่งจะมีคำว่า approved อยู่ด้วย ไม่เอาพวกที่เป็น meet or exceed

มีอะไรสงสัยก็ถามต่อละกันนะครับ ถ้าผมอธิบายไม่เคลียร์ และคนส่วนใหญ่ยังเข้าใจเรื่องระยะการเปลี่ยนถ่ายไม่ถูกต้องนัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละท่านด้วย เพราะเหตุปัจจัยแต่ละคนต่างกันไป


ออฟไลน์ Krissurg

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 156
    • อีเมล์
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2013, 15:16:51 »
ขอบคุณมากๆครับได้รุ้ขึ้นมาเยอะเลย
สรุปผมโดนช่างมันลักไก่อีกแล้วเซ็งจริง แล้วอย่างนี้ผมควรเปลี่ยนถ่ายออกเลยมั๊ยครับหรือใช้ไปก่อนแล้วครบอีกหมื่นโลค่อยไปเปลี่ยนครับแล้วจะมีผลอะไรกับเครื่องมากไหมครับ ชักกังวลแล้วสิครับ

ออฟไลน์ Whisky

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 48
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2013, 15:37:17 »
ขอบคุณมากๆครับได้รุ้ขึ้นมาเยอะเลย
สรุปผมโดนช่างมันลักไก่อีกแล้วเซ็งจริง แล้วอย่างนี้ผมควรเปลี่ยนถ่ายออกเลยมั๊ยครับหรือใช้ไปก่อนแล้วครบอีกหมื่นโลค่อยไปเปลี่ยนครับแล้วจะมีผลอะไรกับเครื่องมากไหมครับ ชักกังวลแล้วสิครับ

เค้าเติมตัวไหนมาให้ล่ะครับ? แต่จริงๆ ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหาหรอก เพราะไม่ใช่น้ำมันเครื่องผิดประเภท เว้นแต่จะไม่ได้ approved จาก vw ซึ่งน้ำมันที่ได้มาตรฐาน
502 00 504 00 หรือ น้ำมันเครื่องในยุคใหม่ๆ จะเป็นน้ำมันที่มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมสูงขึ้น แม้แต่มาตรฐาน API ก็เช่นกัน

โดยพวกนี้จะเป็นน้ำมันที่มีพวก กำมะถัน ฟอสฟอรัส เถ้าซัลเฟตต่ำ ที่เรียกว่า Low SAPS (Sulfate Ash, Phosphorus, Sulfur) เนื่องจากรถที่ได้มาตรฐานด้านไอเสีย จำพวก Euro IV ขึ้นไปจะก่อมลพิษต่ำลงกว่ารุ่นเก่าๆ มากขึ้น และมีอุปกรณ์ที่ควบคุมไอเสีย เช่น หม้อแคท ที่มี Oxygen sensor ทำงานร่วม

ถ้าคุณใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และหรือน้ำมันเครื่องที่ไม่ได้มาตรฐาน (แบบบ้านเรา) ก็จะทำให้อุปกรณ์เหล่านี้พังไวกว่าเดิม เช่น แคทตัน O2 sensor ไปไว เจอโค๊ดงี่เง่า หาทางแก้กันงงไปหมด

ตัวน้ำมันเครื่องถ้าไม่ได้มาตรฐานควรเปลี่ยนถ่ายให้ไวซักหน่อย ใช้ได้ใช้ไปก่อน รถมันไม่สำออยขนาดนั้น ขึ้นอยู่กับการขับขี่ของคุณด้วย แค่คราวหน้าก็ระวังให้มากกว่าเดิม เพราะอุปกรณ์มันแพง เสียแล้วก็งง ว่าทำไมพังเร็วจังรถใหม่

เหมือน bmw หลายคันที่สงสัยว่าทำไมน้ำมันเป็นโคลน นั่นก็เพราะเปลี่ยนถ่ายตาม information display ในรถซึ่งไม่ทราบกันว่าเป็น longlife service เปลี่ยนตามระยะก็จริงแต่การใช้งานในบ้านเรา กับคนขับโหดๆ เปลี่ยนถ่ายช้ามันก็เป็นเช่นนั้นแล

ถ้าใช้รถนานหลายปี ก็อย่าขี้เหนียวของเหลว และขี้เหนียวตอนซ่อม รับรองถ้ารถพูดได้มันคงบอกรักคุณทุกวันแน่นอน

ออฟไลน์ TorTy

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,992
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2013, 15:45:12 »
หนืดเกินไปครับมีผลต่อการกินน้ำมันด้วยตามคู่มือน่าจะไม่เกิน 30 นะครับลองเช็คดูหนืดไปไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป
เบอร์ 30 ตัวเลือกมีเยอะครับลองดูลองหาข้อมูลเก่าๆดูมีถามเรื่องน้ำมันเครื่องหลายกระทู้ครับ

ออฟไลน์ Krissurg

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 156
    • อีเมล์
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2013, 20:39:05 »
ขอบคุนครับท่านๆ
แล้วมันจะทำให้รถวิ่งอืดมะครับ

ออฟไลน์ wannachat

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 246
    • อีเมล์
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2013, 21:34:03 »
50 สำหรับรถใหม่ ขับแล้วรู้สึก อืด
ถ้าเป็นผมถ้าคิดจะเปลี่ยนก็ใช้ไปสักพอสมควรค่อยเปลี่ยน เสียดายของ

ออฟไลน์ Krissurg

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 156
    • อีเมล์
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2013, 21:57:59 »
คิดๆแล้วเซ็งครับพี่น้อง
เป็นเพราะเราเชื่อใจช่างมากไปคิดว่ามันจะเชื่อใจได้ถือเป็นบทเรียนต่อไปจะต้องรอบคอบกว่านี้

jaesz

  • บุคคลทั่วไป
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2013, 13:29:28 »
ไม่ว่าจะ Text book เล่มไหน, หรือไปเทรน ที่ไหน ก็ไม่มีใครบอกว่า น้ำมันเครื่องเบอร์หนา เช่น 50 เทียบกับ 30 ที่อุณหภูิมิทำงาน 100c จะทำให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากกว่าแบบวัดค่าได้

และ ยิ่งอุณหภูมิสูง น้ำมัน"บางลง" ก็จะทำให้แรงเสียดทานปลอกสูบ กับแหวนสูบ "เพิ่มขึ้น" ครับ ตรงนี้ที่น้ำมันเบอร์"บาง" จะส่งผลเสีย

ผมไม่ได้เก็บ Text book เอาไว้ แต่ power point เรื่องนี้ พอหาอ่านได้อยู่ OIL Thickness, Polymer Shear, Friction มันสัมพันธ์กันอย่างไร ลองไปอ่านดูเอาเองครับ

พอสรุปได้ว่า อุณหภูิมิแบบเมืองไทยโดยเฉลี่ย ใช้เบอร์ 50 ไม่มีคำว่าเสียครับ มีแต่ได้ ถ้ัามีใครบอกว่า เบอร์ 50 ทำให้เครื่อง อืด เร่งไม่ออก คงต้องวิ่งอยู่แถว ๆ ALASKA มากกว่าเมืองไทย หรือไม่อยู่ที่ ๆ มีอุณหภูมิไม่เกิน 20 องศาเซลเซียสตลอดปีมากกว่า




credit อยู่ใน link ของรูปครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 15, 2013, 13:34:22 โดย jaesz »

ออฟไลน์ Whisky

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 48
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2013, 14:42:38 »
ไม่ว่าจะ Text book เล่มไหน, หรือไปเทรน ที่ไหน ก็ไม่มีใครบอกว่า น้ำมันเครื่องเบอร์หนา เช่น 50 เทียบกับ 30 ที่อุณหภูิมิทำงาน 100c จะทำให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากกว่าแบบวัดค่าได้

และ ยิ่งอุณหภูมิสูง น้ำมัน"บางลง" ก็จะทำให้แรงเสียดทานปลอกสูบ กับแหวนสูบ "เพิ่มขึ้น" ครับ ตรงนี้ที่น้ำมันเบอร์"บาง" จะส่งผลเสีย

ผมไม่ได้เก็บ Text book เอาไว้ แต่ power point เรื่องนี้ พอหาอ่านได้อยู่ OIL Thickness, Polymer Shear, Friction มันสัมพันธ์กันอย่างไร ลองไปอ่านดูเอาเองครับ

พอสรุปได้ว่า อุณหภูิมิแบบเมืองไทยโดยเฉลี่ย ใช้เบอร์ 50 ไม่มีคำว่าเสียครับ มีแต่ได้ ถ้ัามีใครบอกว่า เบอร์ 50 ทำให้เครื่อง อืด เร่งไม่ออก คงต้องวิ่งอยู่แถว ๆ ALASKA มากกว่าเมืองไทย หรือไม่อยู่ที่ ๆ มีอุณหภูมิไม่เกิน 20 องศาเซลเซียสตลอดปีมากกว่า


คำว่ากินน้ำมันมากกว่าแบบวัดค่าได้ นี่ประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ครับ? ในแง่ของความประหยัดถ้ามองเพียงรถคันเดียว 1 เปอร์เซ็นต์อาจดูไม่มีความหมาย แต่ถ้าหลายล้านคันทั่วโลก คุณคิดว่าการประหยัดแม้เพียงเล็กน้อย ยังมีความหมายหรือเปล่าครับ?

ส่วนที่บอกว่า 50 ไม่มีเสีย มีแต่ได้ ต้องถามว่าแง่ไหนครับ? ทุกอย่างมันมี trade-off ของมัน การที่คุณใช้น้ำมันที่บางแน่นอนว่า metal to metal contact ย่อมเกิดได้มากกว่าเบอร์น้ำมันที่หนากว่า แต่ก็แลกมาด้วยความประหยัดน้ำมัน และด้วยเทคโนโลยีด้านวัสดุศาสตร์ก็พัฒนาต่อเนื่องมาเรื่อยๆ เค้าคำนวนความเหมาะสมแล้วว่าเครื่องยนต์น่าจะมีอายุการใช้งานประมาณกี่ปี ก่อนที่จะมีการ major overhaul เทียบกับการที่คุณใช้น้ำมันเบอร์หนาคุณอาจจะปกป้องการสึกหรอได้มากกว่าเดิม แต่แน่นอนคุณคงไม่ได้ความประหยัดที่จะได้จากน้ำมันเบอร์บางกว่าแน่นอน

การพัฒนารถยนต์ในปัจจุบันเป็นการร่วมมือระดับมหภาค ที่มีหลายองค์กรเกี่ยวข้อง เพราะต้องคุยถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลง และดูแนวโน้มการตลาด รวมถึงปัจจัยทางสภาวะแวดล้อมอีกมากมาย ดังนั้นรถสมัยใหม่จึงออกแบบให้ชิ้นส่วนภายในมีน้ำหนักลดลง จากสมัยก่อนที่เป็น cast iron ไม่ได้เป็น aluminum แบบในปัจจุบัน clearance ภายในก็ลดลงมาก ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันเบอร์หนาเพื่อรักษากำลังอัดภายในกระบอกสูบ และลดภาระการทำงานของปั๊มน้ำมันเครื่อง

ทิศทางการพัฒนาน้ำมันเครื่องมันก็ตามตลาดโลกนั่นแหละครับ แม้แต่รถเองก็ทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะต้องตอบโจทย์ของตลาด ที่ผู้บริโภคเอง concern กับ สิ่งทีเกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน ถ้าทุกอย่างไม่มีความสอดคล้อง ของมันจะขายได้หรือเปล่าครับ? มองภาพตั้งแต่ Upstream จนถึง Downstream เลยนะครับ

มาว่ากันที่น้ำมันเครื่องต่อ น้ำมันเบอร์บางเองถึงแม้จะบางจริงๆ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าที่อยู่ในน้ำมันเครื่องเองไม่ใช่คุณสมบัติด้านความหนืดของมันเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึง Additive Package ที่ผู้ผลิตน้ำมันนำมาใส่ในน้ำมันเครื่องของตัวเอง ซึ่งตัวที่ช่วยป้องกันการสึกหรอก็มีเช่น ZDDP หรือจะช่วยในเรื่องของความหล่อลื่น เช่น Moly  หรือ Teflon (PTFE) หรือแม้แต่พวก Ceramic เองที่เริ่มน้ำมาใช้พอกในส่วนที่เกิดการสึกหรอภายในเพื่อให้เกิดการ restoration ขึ้น กรณีที่การสึกหรอไม่สูงขนาดต้องทำ overhaul เพื่อที่อย่างน้อยก็คืนกำลังอัดกลับมาบ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

สิ่งที่ผมอยากให้มองคือ มองจากผู้ผลิตก่อน ว่าเค้าแนะนำน้ำมันเบอร์อะไรให้ใช้กับเครื่องยนต์ของเค้า ไม่ใช่คิดว่า เราอยู่ในประเทศที่ Ambient Temp สูงๆ แล้วจะต้องใช้เบอร์น้ำมันสูงๆ ตาม แบบนั้นแสดงว่ายังไม่เข้าใจถึง Operating Temp ในรถของตัวเองว่าอยู่ในช่วงเท่าไหร่ ซึ่งปัจจัยที่กระทบต่อ Operating Temp เอง ก็มีทั้ง Ambient Temp, ประสิทธิภาพของ Heat Exchanger ของรถคันนั้นๆ และแม้กระทั่งการขับขี่ของผู้ขับเองก็เช่นกัน เช่น คนขับรถบนท้องถนนทั่วไป กับ คนที่ขับรถใน circuit แม้จะเป็นรถคันเดียวกัน แต่แน่นอนว่า Operating Temp ต่างกัน แบบนี้การเลือกน้ำมันควรจะแตกต่างออกไปตามเงื่อนไขดังกล่าว

ดังนั้นสิ่งที่คุณ jaesz กล่าวมาผมเห็นด้วย แต่ผมขอแสดงความเห็นในอีกมุมที่คุณอาจจะมองข้ามไป

ไม่มีเบอร์น้ำมันที่ดีที่สุด...มีแต่เบอร์น้ำมันที่เหมาะสมที่สุด
ด้วยความเคารพ

jaesz

  • บุคคลทั่วไป
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2013, 16:20:14 »
ไม่ว่าจะ Text book เล่มไหน, หรือไปเทรน ที่ไหน ก็ไม่มีใครบอกว่า น้ำมันเครื่องเบอร์หนา เช่น 50 เทียบกับ 30 ที่อุณหภูิมิทำงาน 100c จะทำให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากกว่าแบบวัดค่าได้

และ ยิ่งอุณหภูมิสูง น้ำมัน"บางลง" ก็จะทำให้แรงเสียดทานปลอกสูบ กับแหวนสูบ "เพิ่มขึ้น" ครับ ตรงนี้ที่น้ำมันเบอร์"บาง" จะส่งผลเสีย

ผมไม่ได้เก็บ Text book เอาไว้ แต่ power point เรื่องนี้ พอหาอ่านได้อยู่ OIL Thickness, Polymer Shear, Friction มันสัมพันธ์กันอย่างไร ลองไปอ่านดูเอาเองครับ

พอสรุปได้ว่า อุณหภูิมิแบบเมืองไทยโดยเฉลี่ย ใช้เบอร์ 50 ไม่มีคำว่าเสียครับ มีแต่ได้ ถ้ัามีใครบอกว่า เบอร์ 50 ทำให้เครื่อง อืด เร่งไม่ออก คงต้องวิ่งอยู่แถว ๆ ALASKA มากกว่าเมืองไทย หรือไม่อยู่ที่ ๆ มีอุณหภูมิไม่เกิน 20 องศาเซลเซียสตลอดปีมากกว่า


คำว่ากินน้ำมันมากกว่าแบบวัดค่าได้ นี่ประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ครับ? ในแง่ของความประหยัดถ้ามองเพียงรถคันเดียว 1 เปอร์เซ็นต์อาจดูไม่มีความหมาย แต่ถ้าหลายล้านคันทั่วโลก คุณคิดว่าการประหยัดแม้เพียงเล็กน้อย ยังมีความหมายหรือเปล่าครับ?

ส่วนที่บอกว่า 50 ไม่มีเสีย มีแต่ได้ ต้องถามว่าแง่ไหนครับ? ทุกอย่างมันมี trade-off ของมัน การที่คุณใช้น้ำมันที่บางแน่นอนว่า metal to metal contact ย่อมเกิดได้มากกว่าเบอร์น้ำมันที่หนากว่า แต่ก็แลกมาด้วยความประหยัดน้ำมัน และด้วยเทคโนโลยีด้านวัสดุศาสตร์ก็พัฒนาต่อเนื่องมาเรื่อยๆ เค้าคำนวนความเหมาะสมแล้วว่าเครื่องยนต์น่าจะมีอายุการใช้งานประมาณกี่ปี ก่อนที่จะมีการ major overhaul เทียบกับการที่คุณใช้น้ำมันเบอร์หนาคุณอาจจะปกป้องการสึกหรอได้มากกว่าเดิม แต่แน่นอนคุณคงไม่ได้ความประหยัดที่จะได้จากน้ำมันเบอร์บางกว่าแน่นอน

การพัฒนารถยนต์ในปัจจุบันเป็นการร่วมมือระดับมหภาค ที่มีหลายองค์กรเกี่ยวข้อง เพราะต้องคุยถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลง และดูแนวโน้มการตลาด รวมถึงปัจจัยทางสภาวะแวดล้อมอีกมากมาย ดังนั้นรถสมัยใหม่จึงออกแบบให้ชิ้นส่วนภายในมีน้ำหนักลดลง จากสมัยก่อนที่เป็น cast iron ไม่ได้เป็น aluminum แบบในปัจจุบัน clearance ภายในก็ลดลงมาก ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันเบอร์หนาเพื่อรักษากำลังอัดภายในกระบอกสูบ และลดภาระการทำงานของปั๊มน้ำมันเครื่อง

ทิศทางการพัฒนาน้ำมันเครื่องมันก็ตามตลาดโลกนั่นแหละครับ แม้แต่รถเองก็ทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะต้องตอบโจทย์ของตลาด ที่ผู้บริโภคเอง concern กับ สิ่งทีเกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน ถ้าทุกอย่างไม่มีความสอดคล้อง ของมันจะขายได้หรือเปล่าครับ? มองภาพตั้งแต่ Upstream จนถึง Downstream เลยนะครับ

มาว่ากันที่น้ำมันเครื่องต่อ น้ำมันเบอร์บางเองถึงแม้จะบางจริงๆ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าที่อยู่ในน้ำมันเครื่องเองไม่ใช่คุณสมบัติด้านความหนืดของมันเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึง Additive Package ที่ผู้ผลิตน้ำมันนำมาใส่ในน้ำมันเครื่องของตัวเอง ซึ่งตัวที่ช่วยป้องกันการสึกหรอก็มีเช่น ZDDP หรือจะช่วยในเรื่องของความหล่อลื่น เช่น Moly  หรือ Teflon (PTFE) หรือแม้แต่พวก Ceramic เองที่เริ่มน้ำมาใช้พอกในส่วนที่เกิดการสึกหรอภายในเพื่อให้เกิดการ restoration ขึ้น กรณีที่การสึกหรอไม่สูงขนาดต้องทำ overhaul เพื่อที่อย่างน้อยก็คืนกำลังอัดกลับมาบ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

สิ่งที่ผมอยากให้มองคือ มองจากผู้ผลิตก่อน ว่าเค้าแนะนำน้ำมันเบอร์อะไรให้ใช้กับเครื่องยนต์ของเค้า ไม่ใช่คิดว่า เราอยู่ในประเทศที่ Ambient Temp สูงๆ แล้วจะต้องใช้เบอร์น้ำมันสูงๆ ตาม แบบนั้นแสดงว่ายังไม่เข้าใจถึง Operating Temp ในรถของตัวเองว่าอยู่ในช่วงเท่าไหร่ ซึ่งปัจจัยที่กระทบต่อ Operating Temp เอง ก็มีทั้ง Ambient Temp, ประสิทธิภาพของ Heat Exchanger ของรถคันนั้นๆ และแม้กระทั่งการขับขี่ของผู้ขับเองก็เช่นกัน เช่น คนขับรถบนท้องถนนทั่วไป กับ คนที่ขับรถใน circuit แม้จะเป็นรถคันเดียวกัน แต่แน่นอนว่า Operating Temp ต่างกัน แบบนี้การเลือกน้ำมันควรจะแตกต่างออกไปตามเงื่อนไขดังกล่าว

ดังนั้นสิ่งที่คุณ jaesz กล่าวมาผมเห็นด้วย แต่ผมขอแสดงความเห็นในอีกมุมที่คุณอาจจะมองข้ามไป

ไม่มีเบอร์น้ำมันที่ดีที่สุด...มีแต่เบอร์น้ำมันที่เหมาะสมที่สุด
ด้วยความเคารพ

"""

อ่านแล้วเหมือนจะคุณจะเข้าใจเรื่องน้ำมันเครื่องบ้าง

พอไปเจอ PTFE
ผมเลยมองใหม่ http://www.ftc.gov/opa/2000/03/motor.shtm
ถ้าไม่คุ้นเคยกับ
Sequence IIID
Sequence VD
L-38

ไม่ควรDiscuss เรื่อง Ambient temp ต่อนะครับ

ความรู้คุณน้อยไปนิดกับเรื่องนี้ ลองไปอ่านดูก่อน


ออฟไลน์ Krissurg

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 156
    • อีเมล์
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2013, 17:04:22 »
ได้อ่านบทวิเคราะห์ของแต่ละท่านรู้สึกตัวเองโง่มาก555 ไม่เคยรู้มาก่อนเลย

ออฟไลน์ Whisky

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 48
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2013, 17:13:00 »

"""

อ่านแล้วเหมือนจะคุณจะเข้าใจเรื่องน้ำมันเครื่องบ้าง

พอไปเจอ PTFE
ผมเลยมองใหม่ http://www.ftc.gov/opa/2000/03/motor.shtm
ถ้าไม่คุ้นเคยกับ
Sequence IIID
Sequence VD
L-38

ไม่ควรDiscuss เรื่อง Ambient temp ต่อนะครับ

ความรู้คุณน้อยไปนิดกับเรื่องนี้ ลองไปอ่านดูก่อน



ฟังดูแปลกๆ นะครับ แล้วเอา case ของ engine treatment มาให้อ่าน ต้องการสื่ออะไรหรือเปล่า เพราะผมไม่ได้สื่อถึงตัว treatment เลยแม้แต่น้อย ผมพูดถึง Additive Package?

ผมรู้น้อยเรื่องไหนก็รบกวนขอคำแนะนำด้วยจากคุณ jaesz จะได้ให้คนที่อยากรู้ หรือคนที่ไม่รู้ได้รู้มากขึ้น ไม่ใช่อะไรก็โยนให้ไปอ่าน แล้วเรื่องที่อ่านก็ปี 2000 เข้าไปแล้ว แล้วประเด็นที่ผมจะสื่อ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ engine treatment เลย ประเด็นผมอยู่ที่การเลือกความหนืดที่เหมาะสมกับ application เท่านั้นเอง เพราะเวลาผมเลือก ผมจะเลือกน้ำมันเครื่องที่หนืดน้อยที่สุดที่ตรงกับการใช้งานผม และสภาพเครื่องยนต์ตอนนั้น ข้อมูลที่ใช้ดูประกอบก็คือ Oil Pressure กับ Oil Temp สำหรับผมถือว่าเพียงพอในการพิจารณาน้ำมันมาใช้กับรถแล้ว

บอกตรงๆ ผมไม่เข้าใจนะ แต่ก็ขอบคุณมากที่ลงทุนทำลิงค์มาให้ ส่วนเรื่อง ambient temp จะไม่ discuss ต่อก็ได้ เพราะมันไม่ใช่ประเด็นที่ผมจะสื่อเหมือนกัน เพราะเห็นพูดไปถึง Alaska กับอุณหภูมิในประเทศไทย ถ้าเครื่องยนต์เป็นแบบ air cooled ผมคงเห็นด้วยมากกว่านี้ แต่สมัยนี้ไม่ใช่ ระบบการระบายความร้อนในรถก็พัฒนาไปเยอะเช่นเดียวกัน แถมในเขตหนาวก็มีตัวอุ่นน้ำมันเครื่องให้

ถ้าผมทำให้คุณไม่พอใจผมก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ไม่ได้มีเจตนาจริงๆ แต่อย่างไรก็รบกวนให้ความรู้ต่อด้วยนะครับ

ส่วนที่เหลือก็ให้คนที่เข้ามาอ่าน ใช้วิจารณญาณกันเองจะดีกว่า

jaesz

  • บุคคลทั่วไป
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2013, 17:33:11 »

"""

อ่านแล้วเหมือนจะคุณจะเข้าใจเรื่องน้ำมันเครื่องบ้าง

พอไปเจอ PTFE
ผมเลยมองใหม่ http://www.ftc.gov/opa/2000/03/motor.shtm
ถ้าไม่คุ้นเคยกับ
Sequence IIID
Sequence VD
L-38

ไม่ควรDiscuss เรื่อง Ambient temp ต่อนะครับ

ความรู้คุณน้อยไปนิดกับเรื่องนี้ ลองไปอ่านดูก่อน



ฟังดูแปลกๆ นะครับ แล้วเอา case ของ engine treatment มาให้อ่าน ต้องการสื่ออะไรหรือเปล่า เพราะผมไม่ได้สื่อถึงตัว treatment เลยแม้แต่น้อย ผมพูดถึง Additive Package?

ผมรู้น้อยเรื่องไหนก็รบกวนขอคำแนะนำด้วยจากคุณ jaesz จะได้ให้คนที่อยากรู้ หรือคนที่ไม่รู้ได้รู้มากขึ้น ไม่ใช่อะไรก็โยนให้ไปอ่าน แล้วเรื่องที่อ่านก็ปี 2000 เข้าไปแล้ว แล้วประเด็นที่ผมจะสื่อ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ engine treatment เลย ประเด็นผมอยู่ที่การเลือกความหนืดที่เหมาะสมกับ application เท่านั้นเอง เพราะเวลาผมเลือก ผมจะเลือกน้ำมันเครื่องที่หนืดน้อยที่สุดที่ตรงกับการใช้งานผม และสภาพเครื่องยนต์ตอนนั้น ข้อมูลที่ใช้ดูประกอบก็คือ Oil Pressure กับ Oil Temp สำหรับผมถือว่าเพียงพอในการพิจารณาน้ำมันมาใช้กับรถแล้ว

บอกตรงๆ ผมไม่เข้าใจนะ แต่ก็ขอบคุณมากที่ลงทุนทำลิงค์มาให้ ส่วนเรื่อง ambient temp จะไม่ discuss ต่อก็ได้ เพราะมันไม่ใช่ประเด็นที่ผมจะสื่อเหมือนกัน เพราะเห็นพูดไปถึง Alaska กับอุณหภูมิในประเทศไทย ถ้าเครื่องยนต์เป็นแบบ air cooled ผมคงเห็นด้วยมากกว่านี้ แต่สมัยนี้ไม่ใช่ ระบบการระบายความร้อนในรถก็พัฒนาไปเยอะเช่นเดียวกัน แถมในเขตหนาวก็มีตัวอุ่นน้ำมันเครื่องให้

ถ้าผมทำให้คุณไม่พอใจผมก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ไม่ได้มีเจตนาจริงๆ แต่อย่างไรก็รบกวนให้ความรู้ต่อด้วยนะครับ

ส่วนที่เหลือก็ให้คนที่เข้ามาอ่าน ใช้วิจารณญาณกันเองจะดีกว่า

ผมlink case นั้นให้ดูเพราะให้เห็นว่า PTFE น่ะ เขาฟ้องร้องกันไปจนจบตั้งแต่ปี 2000 แล้วว่าไม่ได้ช่วยอะไรครับ และยังทำให้เครื่องมีปัญหาครับ มีหลายCase อันนั้นแค่ตัวอย่าง

ถ้าคุณรู้และเข้าใจเรื่อง การทดสอบความหนืด เทียบกับแรงเสียดทาน คงไม่บอกหรอกว่าน้ำมันเบอร์ 50 ในไทยทำให้กินน้ำมันมากกว่า 30

น้ำมันเครื่องที่ 80 องศา 100 องศา  เบอร์ 50 กับ 30 มีความหนืดเท่าไหร่ ? มันต่างกันมากขนาดทำให้รถอืด หรือต้องออกแรงมากขึ้น ?
Test Sequence หรือ แม้กระทั่ง Real life test เขาก็ทำกันจนเปื่อยอยู่แล้วว่าสองเบอร์นี้ถ้าจุดทำงานเริ่มต้นสูงกว่า 20 องศาเซลเซียส ให้ผลทาง Friction ไม่ต่างครับ
แต่พอทำ HTHS เบอร์ 30 จะฝืดมากกว่า ครับ

Ambient temp 20 องศา  Heat Exchange ที่ 30000Btu
กับ Ambient temp 30 องศา Heat exchange ที่ 30000BTU เท่ากัน Oil temp ก็ขึ้นไปมากกว่า 20 องศาแล้วครับ ยิ่ง Ambient temp สูง การแลกเปลี่ยนความร้อนก็ต่ำ เครื่องก็ร้อนขึ้น

ถ้ารวมEngine Bay Heat temp เข้าไปอีก ถ้า Ambient temp 40 รถที่มีพัดลมอ่อน ๆ คุมอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นไม่ได้นะครับ

กราฟAmbient temp กับ Engine oil temp เอามาทำ Correlation ดูส่วนใหญ่จะอยู่บนแกน Log  ไม่ใช่ Linearครับ

ใครมาอ่านแล้ว พิจารณาเอาครับถูกผิด ผมใ้ห้ Keyword ไป Search มากพอแล้ว โต ๆ กันแล้วครับ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 15, 2013, 17:39:41 โดย jaesz »

ออฟไลน์ Whisky

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 48
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2013, 18:09:24 »

ผมlink case นั้นให้ดูเพราะให้เห็นว่า PTFE น่ะ เขาฟ้องร้องกันไปจนจบตั้งแต่ปี 2000 แล้วว่าไม่ได้ช่วยอะไรครับ และยังทำให้เครื่องมีปัญหาครับ มีหลายCase อันนั้นแค่ตัวอย่าง

ถ้าคุณรู้และเข้าใจเรื่อง การทดสอบความหนืด เทียบกับแรงเสียดทาน คงไม่บอกหรอกว่าน้ำมันเบอร์ 50 ในไทยทำให้กินน้ำมันมากกว่า 30

น้ำมันเครื่องที่ 80 องศา 100 องศา  เบอร์ 50 กับ 30 มีความหนืดเท่าไหร่ ? มันต่างกันมากขนาดทำให้รถอืด หรือต้องออกแรงมากขึ้น ?
Test Sequence หรือ แม้กระทั่ง Real life test เขาก็ทำกันจนเปื่อยอยู่แล้วว่าสองเบอร์นี้ถ้าจุดทำงานเริ่มต้นสูงกว่า 20 องศาเซลเซียส ให้ผลทาง Friction ไม่ต่างครับ
แต่พอทำ HTHS เบอร์ 30 จะฝืดมากกว่า ครับ

Ambient temp 20 องศา  Heat Exchange ที่ 30000Btu
กับ Ambient temp 30 องศา Heat exchange ที่ 30000BTU เท่ากัน Oil temp ก็ขึ้นไปมากกว่า 20 องศาแล้วครับ ยิ่ง Ambient temp สูง การแลกเปลี่ยนความร้อนก็ต่ำ เครื่องก็ร้อนขึ้น

ถ้ารวมEngine Bay Heat temp เข้าไปอีก ถ้า Ambient temp 40 รถที่มีพัดลมอ่อน ๆ คุมอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นไม่ได้นะครับ

Ambient temp กับ Engine oil temp เอามาทำ Correlation ดูส่วนใหญ่ต้องใส่ Log นะครับ ไม่ใช่ Linearครับ

ใครมาอ่านแล้ว พิจารณาเอาครับถูกผิด ผมใ้ห้ Keyword ไป Search มากพอแล้ว โต ๆ กันแล้วครับ




ผมขอโทษคุณ jaesz ก่อนแล้วกันนะครับ เพราะผมรู้สึกว่าคุณไม่พอใจ

ส่วนเรื่อง PTFE หรือ teflon ถึงจะจบประเด็นไปตั้งแต่ปี 2000 แล้วมันก็ไม่ได้สื่อถึง ประเด็นที่ผมพูดถึงจริงๆ ที่ผมยกตัวอย่าง additive มาแต่ละตัว ถึงแม้ในปัจจุบัน บริษัทผู้ผลิตไม่ได้ใส่ไปแล้วก็จริง แต่นั่นก็หมายความว่าไม่เคยใส่เลย เนื่องจากคุณสมบัติในตัวของมันเองทำให้ผูผลิตเลือกใช้มันใน additive package แล้วผมก็แค่ยกตัวอย่างเท่านั้นว่ามีอะไรบ้าง ไม่ได้บอกว่ามันดีเยี่ยม แล้ว additive package ก็ไม่ใช่ engine treatment ด้วยซึ่งทางผูผลิตรถ และน้ำมันเครื่องเค้าก็ไม่แนะนำให้ใช้ เนื่องจากมี additive package อยู่แล้ว

กลับมาเรื่องความหนืด ผมไม่ได้มุ่งเน้นประเด็นเรื่องเชื้อเพลิงอย่างเดียว  เพราะคุณก็บอกเองประมาณว่าแทบหาความแตกต่างไม่เจอ แต่ผมพูดถึงเรื่อง ภาระต่อปั๊มน้ำมันเครื่อง การพาความร้อนไปจากภายใน อย่างที่ผมพูดก็คือ เรื่อง จำนวน flow ของน้ำมันเครื่องนั่นเอง

ส่วนเครื่องร้อนขึ้น ไม่ได้แปลว่าการใช้น้ำมันเบอร์หนึดจะช่วยให้การพาความร้อนทำได้ดีกว่าหรือเปล่า? จริงๆผมก็พูดเรื่อง operating temp ไปแล้วว่าอะไรกระทบมันบ้าง ซึ่งนั่นก็เป็นเงื่อนไขในการที่จะเลือกใช้น้ำมันเครื่องให้เหมาะสม เพราะผมแต่งรถผมจึงดูว่า สภาวะการใช้งานจริงๆ ผมเหมาะกับน้ำมันเบอร์ที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำมาหรือเปล่า เช่น ถ้าแนะนำ เบอร์ 30 มา แต่ operating temp เวลาผมใช้งานมันสูงกว่า ผมก็จะขยับเบอร์ไปหนึ่ง step เพื่อไม่ให้ oil breakdown หรือ fail เวลาผมซัด เพราะถ้าไม่ปรับเบอร์น้ำมัน มันจะกลายเป็นว่าเครื่องพาเข้า safe mode รถกำลังตกวิ่งไม่ออก หรือถ้า overboost เครื่องผมคงพินาศไปเลย ถ้าไม่ถอนคันเร่งก่อน ทั้งๆ ที่เกจ์ก็เตือนแล้ว

ซึ่งจริงๆ ทางเลือก ผมมีมากกว่าเรื่องน้ำมันเครื่อง เพราะมันเป็นแค่ส่วนเดียว ผมเลือกที่จะใช้ heat exchanger (Oil, ATF, Radiator etc)ที่ขายกันแล้ว claim BTU สูงกว่าของติดรถ หรือเลือกน้ำมันที่มีคุณภาพสูงกว่าเดิมเพื่อให้ชดเชยความร้อนที่เพิ่มขึ้น

ถ้าผมหลุดประเด็นจากที่เจ้าของกระทู้ต้องการก็ขออภัยด้วย สิ่งที่พิมพ์มาก็เพื่อต้องการแชร์ข้อมูลเท่านั้น อย่าโกรธผมนะครับ คุณ jaesz ผมไม่มีเจตนาไม่ดีจริงๆ ขอบคุณที่แชร์ข้อมูลอีกครั้งครับ

jaesz

  • บุคคลทั่วไป
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2013, 18:15:38 »

ผมlink case นั้นให้ดูเพราะให้เห็นว่า PTFE น่ะ เขาฟ้องร้องกันไปจนจบตั้งแต่ปี 2000 แล้วว่าไม่ได้ช่วยอะไรครับ และยังทำให้เครื่องมีปัญหาครับ มีหลายCase อันนั้นแค่ตัวอย่าง

ถ้าคุณรู้และเข้าใจเรื่อง การทดสอบความหนืด เทียบกับแรงเสียดทาน คงไม่บอกหรอกว่าน้ำมันเบอร์ 50 ในไทยทำให้กินน้ำมันมากกว่า 30

น้ำมันเครื่องที่ 80 องศา 100 องศา  เบอร์ 50 กับ 30 มีความหนืดเท่าไหร่ ? มันต่างกันมากขนาดทำให้รถอืด หรือต้องออกแรงมากขึ้น ?
Test Sequence หรือ แม้กระทั่ง Real life test เขาก็ทำกันจนเปื่อยอยู่แล้วว่าสองเบอร์นี้ถ้าจุดทำงานเริ่มต้นสูงกว่า 20 องศาเซลเซียส ให้ผลทาง Friction ไม่ต่างครับ
แต่พอทำ HTHS เบอร์ 30 จะฝืดมากกว่า ครับ

Ambient temp 20 องศา  Heat Exchange ที่ 30000Btu
กับ Ambient temp 30 องศา Heat exchange ที่ 30000BTU เท่ากัน Oil temp ก็ขึ้นไปมากกว่า 20 องศาแล้วครับ ยิ่ง Ambient temp สูง การแลกเปลี่ยนความร้อนก็ต่ำ เครื่องก็ร้อนขึ้น

ถ้ารวมEngine Bay Heat temp เข้าไปอีก ถ้า Ambient temp 40 รถที่มีพัดลมอ่อน ๆ คุมอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นไม่ได้นะครับ

Ambient temp กับ Engine oil temp เอามาทำ Correlation ดูส่วนใหญ่ต้องใส่ Log นะครับ ไม่ใช่ Linearครับ

ใครมาอ่านแล้ว พิจารณาเอาครับถูกผิด ผมใ้ห้ Keyword ไป Search มากพอแล้ว โต ๆ กันแล้วครับ




ผมขอโทษคุณ jaesz ก่อนแล้วกันนะครับ เพราะผมรู้สึกว่าคุณไม่พอใจ

ส่วนเรื่อง PTFE หรือ teflon ถึงจะจบประเด็นไปตั้งแต่ปี 2000 แล้วมันก็ไม่ได้สื่อถึง ประเด็นที่ผมพูดถึงจริงๆ ที่ผมยกตัวอย่าง additive มาแต่ละตัว ถึงแม้ในปัจจุบัน บริษัทผู้ผลิตไม่ได้ใส่ไปแล้วก็จริง แต่นั่นก็หมายความว่าไม่เคยใส่เลย เนื่องจากคุณสมบัติในตัวของมันเองทำให้ผูผลิตเลือกใช้มันใน additive package แล้วผมก็แค่ยกตัวอย่างเท่านั้นว่ามีอะไรบ้าง ไม่ได้บอกว่ามันดีเยี่ยม แล้ว additive package ก็ไม่ใช่ engine treatment ด้วยซึ่งทางผูผลิตรถ และน้ำมันเครื่องเค้าก็ไม่แนะนำให้ใช้ เนื่องจากมี additive package อยู่แล้ว

กลับมาเรื่องความหนืด ผมไม่ได้มุ่งเน้นประเด็นเรื่องเชื้อเพลิงอย่างเดียว  เพราะคุณก็บอกเองประมาณว่าแทบหาความแตกต่างไม่เจอ แต่ผมพูดถึงเรื่อง ภาระต่อปั๊มน้ำมันเครื่อง การพาความร้อนไปจากภายใน อย่างที่ผมพูดก็คือ เรื่อง จำนวน flow ของน้ำมันเครื่องนั่นเอง

ส่วนเครื่องร้อนขึ้น ไม่ได้แปลว่าการใช้น้ำมันเบอร์หนึดจะช่วยให้การพาความร้อนทำได้ดีกว่าหรือเปล่า? จริงๆผมก็พูดเรื่อง operating temp ไปแล้วว่าอะไรกระทบมันบ้าง ซึ่งนั่นก็เป็นเงื่อนไขในการที่จะเลือกใช้น้ำมันเครื่องให้เหมาะสม เพราะผมแต่งรถผมจึงดูว่า สภาวะการใช้งานจริงๆ ผมเหมาะกับน้ำมันเบอร์ที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำมาหรือเปล่า เช่น ถ้าแนะนำ เบอร์ 30 มา แต่ operating temp เวลาผมใช้งานมันสูงกว่า ผมก็จะขยับเบอร์ไปหนึ่ง step เพื่อไม่ให้ oil breakdown หรือ fail เวลาผมซัด เพราะถ้าไม่ปรับเบอร์น้ำมัน มันจะกลายเป็นว่าเครื่องพาเข้า safe mode รถกำลังตกวิ่งไม่ออก หรือถ้า overboost เครื่องผมคงพินาศไปเลย ถ้าไม่ถอนคันเร่งก่อน ทั้งๆ ที่เกจ์ก็เตือนแล้ว

ซึ่งจริงๆ ทางเลือก ผมมีมากกว่าเรื่องน้ำมันเครื่อง เพราะมันเป็นแค่ส่วนเดียว ผมเลือกที่จะใช้ heat exchanger (Oil, ATF, Radiator etc)ที่ขายกันแล้ว claim BTU สูงกว่าของติดรถ หรือเลือกน้ำมันที่มีคุณภาพสูงกว่าเดิมเพื่อให้ชดเชยความร้อนที่เพิ่มขึ้น

ถ้าผมหลุดประเด็นจากที่เจ้าของกระทู้ต้องการก็ขออภัยด้วย สิ่งที่พิมพ์มาก็เพื่อต้องการแชร์ข้อมูลเท่านั้น อย่าโกรธผมนะครับ คุณ jaesz ผมไม่มีเจตนาไม่ดีจริงๆ ขอบคุณที่แชร์ข้อมูลอีกครั้งครับ

ผมไม่ได้โกรธครับ

ผมแค่จะมาแจงให้คนอ่านเขาเอาไปคิดต่อ

จะเชื่อผม หรือไม่ คงไม่เดือดร้อนผม

อย่างเรื่องความหนืด กับ Friction เข้าใจผิดกันเกือบทั้งประเทศ ไปฝืนตอนนี้ก็เท่ากับขวางทางน้ำ

ภาระปั๊มน้ำมันเครื่อง อธิบายด้วย Rheology ล้วน ๆ ไม่มีผลครับ เครื่องเย็น ๆของเมืองไทย 25 องศาเซลเซียล Flow มันมากพอที่จะทำให้ไม่รู้สึกอยู่แล้ว ไม่ถึง 5 นาที น้ำมันเครื่องก็ไป 80 องศาแล้ว

ทุกอย่างมันพิสูจน์ มีหลักเกณฑ์ทางวิทยศาสตร์ ครับ อธิบายกันด้วยหลักวิทยาศาสตร์ที่โลกนี้ยอมรับ ไม่ใช่เอาที่เขาไม่ยอมรับมาอธิบาย แบบนี้คนอ่าน ที่ไม่ไปหาอ่านต่อเอง ก็ยิ่งงงครับ

ออฟไลน์ Whisky

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 48
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2013, 18:37:11 »

ผมlink case นั้นให้ดูเพราะให้เห็นว่า PTFE น่ะ เขาฟ้องร้องกันไปจนจบตั้งแต่ปี 2000 แล้วว่าไม่ได้ช่วยอะไรครับ และยังทำให้เครื่องมีปัญหาครับ มีหลายCase อันนั้นแค่ตัวอย่าง

ถ้าคุณรู้และเข้าใจเรื่อง การทดสอบความหนืด เทียบกับแรงเสียดทาน คงไม่บอกหรอกว่าน้ำมันเบอร์ 50 ในไทยทำให้กินน้ำมันมากกว่า 30

น้ำมันเครื่องที่ 80 องศา 100 องศา  เบอร์ 50 กับ 30 มีความหนืดเท่าไหร่ ? มันต่างกันมากขนาดทำให้รถอืด หรือต้องออกแรงมากขึ้น ?
Test Sequence หรือ แม้กระทั่ง Real life test เขาก็ทำกันจนเปื่อยอยู่แล้วว่าสองเบอร์นี้ถ้าจุดทำงานเริ่มต้นสูงกว่า 20 องศาเซลเซียส ให้ผลทาง Friction ไม่ต่างครับ
แต่พอทำ HTHS เบอร์ 30 จะฝืดมากกว่า ครับ

Ambient temp 20 องศา  Heat Exchange ที่ 30000Btu
กับ Ambient temp 30 องศา Heat exchange ที่ 30000BTU เท่ากัน Oil temp ก็ขึ้นไปมากกว่า 20 องศาแล้วครับ ยิ่ง Ambient temp สูง การแลกเปลี่ยนความร้อนก็ต่ำ เครื่องก็ร้อนขึ้น

ถ้ารวมEngine Bay Heat temp เข้าไปอีก ถ้า Ambient temp 40 รถที่มีพัดลมอ่อน ๆ คุมอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นไม่ได้นะครับ

Ambient temp กับ Engine oil temp เอามาทำ Correlation ดูส่วนใหญ่ต้องใส่ Log นะครับ ไม่ใช่ Linearครับ

ใครมาอ่านแล้ว พิจารณาเอาครับถูกผิด ผมใ้ห้ Keyword ไป Search มากพอแล้ว โต ๆ กันแล้วครับ




ผมขอโทษคุณ jaesz ก่อนแล้วกันนะครับ เพราะผมรู้สึกว่าคุณไม่พอใจ

ส่วนเรื่อง PTFE หรือ teflon ถึงจะจบประเด็นไปตั้งแต่ปี 2000 แล้วมันก็ไม่ได้สื่อถึง ประเด็นที่ผมพูดถึงจริงๆ ที่ผมยกตัวอย่าง additive มาแต่ละตัว ถึงแม้ในปัจจุบัน บริษัทผู้ผลิตไม่ได้ใส่ไปแล้วก็จริง แต่นั่นก็หมายความว่าไม่เคยใส่เลย เนื่องจากคุณสมบัติในตัวของมันเองทำให้ผูผลิตเลือกใช้มันใน additive package แล้วผมก็แค่ยกตัวอย่างเท่านั้นว่ามีอะไรบ้าง ไม่ได้บอกว่ามันดีเยี่ยม แล้ว additive package ก็ไม่ใช่ engine treatment ด้วยซึ่งทางผูผลิตรถ และน้ำมันเครื่องเค้าก็ไม่แนะนำให้ใช้ เนื่องจากมี additive package อยู่แล้ว

กลับมาเรื่องความหนืด ผมไม่ได้มุ่งเน้นประเด็นเรื่องเชื้อเพลิงอย่างเดียว  เพราะคุณก็บอกเองประมาณว่าแทบหาความแตกต่างไม่เจอ แต่ผมพูดถึงเรื่อง ภาระต่อปั๊มน้ำมันเครื่อง การพาความร้อนไปจากภายใน อย่างที่ผมพูดก็คือ เรื่อง จำนวน flow ของน้ำมันเครื่องนั่นเอง

ส่วนเครื่องร้อนขึ้น ไม่ได้แปลว่าการใช้น้ำมันเบอร์หนึดจะช่วยให้การพาความร้อนทำได้ดีกว่าหรือเปล่า? จริงๆผมก็พูดเรื่อง operating temp ไปแล้วว่าอะไรกระทบมันบ้าง ซึ่งนั่นก็เป็นเงื่อนไขในการที่จะเลือกใช้น้ำมันเครื่องให้เหมาะสม เพราะผมแต่งรถผมจึงดูว่า สภาวะการใช้งานจริงๆ ผมเหมาะกับน้ำมันเบอร์ที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำมาหรือเปล่า เช่น ถ้าแนะนำ เบอร์ 30 มา แต่ operating temp เวลาผมใช้งานมันสูงกว่า ผมก็จะขยับเบอร์ไปหนึ่ง step เพื่อไม่ให้ oil breakdown หรือ fail เวลาผมซัด เพราะถ้าไม่ปรับเบอร์น้ำมัน มันจะกลายเป็นว่าเครื่องพาเข้า safe mode รถกำลังตกวิ่งไม่ออก หรือถ้า overboost เครื่องผมคงพินาศไปเลย ถ้าไม่ถอนคันเร่งก่อน ทั้งๆ ที่เกจ์ก็เตือนแล้ว

ซึ่งจริงๆ ทางเลือก ผมมีมากกว่าเรื่องน้ำมันเครื่อง เพราะมันเป็นแค่ส่วนเดียว ผมเลือกที่จะใช้ heat exchanger (Oil, ATF, Radiator etc)ที่ขายกันแล้ว claim BTU สูงกว่าของติดรถ หรือเลือกน้ำมันที่มีคุณภาพสูงกว่าเดิมเพื่อให้ชดเชยความร้อนที่เพิ่มขึ้น

ถ้าผมหลุดประเด็นจากที่เจ้าของกระทู้ต้องการก็ขออภัยด้วย สิ่งที่พิมพ์มาก็เพื่อต้องการแชร์ข้อมูลเท่านั้น อย่าโกรธผมนะครับ คุณ jaesz ผมไม่มีเจตนาไม่ดีจริงๆ ขอบคุณที่แชร์ข้อมูลอีกครั้งครับ

ผมไม่ได้โกรธครับ

ผมแค่จะมาแจงให้คนอ่านเขาเอาไปคิดต่อ

จะเชื่อผม หรือไม่ คงไม่เดือดร้อนผม

อย่างเรื่องความหนืด กับ Friction เข้าใจผิดกันเกือบทั้งประเทศ ไปฝืนตอนนี้ก็เท่ากับขวางทางน้ำ

ภาระปั๊มน้ำมันเครื่อง อธิบายด้วย Rheology ล้วน ๆ ไม่มีผลครับ เครื่องเย็น ๆของเมืองไทย 25 องศาเซลเซียล Flow มันมากพอที่จะทำให้ไม่รู้สึกอยู่แล้ว ไม่ถึง 5 นาที น้ำมันเครื่องก็ไป 80 องศาแล้ว

ทุกอย่างมันพิสูจน์ มีหลักเกณฑ์ทางวิทยศาสตร์ ครับ อธิบายกันด้วยหลักวิทยาศาสตร์ที่โลกนี้ยอมรับ ไม่ใช่เอาที่เขาไม่ยอมรับมาอธิบาย แบบนี้คนอ่าน ที่ไม่ไปหาอ่านต่อเอง ก็ยิ่งงงครับ

ขอบคุณที่ไม่โกรธครับ แต่เรื่องความหนืด ผมจะบอกตามความรู้สึกจริงๆ ว่า response ต่างไปจากเดิมแน่นอน ถ้าอยากจะรู้ว่าดีขึ้นหรือแย่ลง คงต้องจับขึ้น dynotest ให้เห็นกันไปเลย บางครั้งในรถคันนึงแม้ว่าผู้ผลิตจะแนะนำให้ใช้เบอร์นั้นๆ เช่น เบอร์ 30 แต่จริงๆ ถ้าใส่เบอร์ 40 กลับมีกำลังมากกว่า

สุดท้ายผมก็มักจะแนะนำเรื่องความหนืดให้อิงตามผู้ผลิต แล้วขยับตามการใช้งานของคนๆนั้นมากกว่าครับ เพราะคงไม่มีใครเอาเกจ์มาติดเพื่อดู performance กันทุกคน ส่วนเรื่องจำนวน flow ที่ผมพูดถึงว่ามันสำคัญ ก็ตัวอย่าง dry sump ใน application สูงๆ  หรือ high flow oil pump ที่ผมมา mod ใช้ในรถกันนั่นแหละครับ ในรถที่เป็น wet sump บ้านๆ ภาระปั๊มจริงๆ แล้วน้ำมันที่หนืดกว่าอย่างไรเสีย ก็ทำให้อายุของมันสั้นลงกว่าน้ำมันที่หนืดน้อยกว่าแน่นอน แต่มันอาจจะไม่มากสำหรับคนที่ขับแบบปกติทั่วไป

ออฟไลน์ HornbilL

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 233
Re: ถามนำ้มันเครื่องหน่อยครับ
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2013, 18:58:24 »
เข้ามาแจม
ถ้าใช้รถคันเดิมทุกวัน ความหนืดน้ำมันเครื่องเปลี่ยน เช่นเปลี่ยนจากเบอร์ 50 เป็น 30 หรือ 30 เป็น 50 ยังไงก็ต้องรู้สึก
ไม่ต้องอิงทฤษฎี อิงตามตรีนที่เหยียบนี่แหละ ยิ่งถ้าติดเกจ์วัดยิ่งเห็นชัด  ;D