เอาแบบเบาะๆก่อนละกันครับ วันนี้ไม่ค่อยฟิตจะมาพิมพ์อะไรยาวๆ
British Leyland เรื่องนี้ถ้าจะเริ่ม ก็คงต้องเริ่มที่จุดเริ่มต้นครับ (อันนี้มันก็แน่นอนอยู่แล้ว เน๊อะ?) ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองครับ เรามีอดีตเจ้าของโรงตัดขนแกะ เฮอร์เบิร์ต ออสติน เจ้าของบริษัทรถออสติน และอดีตเจ้าของโรงงานผลิตจักรยาน เซอร์วิลเลี่ยม มอรริส เจ้าของบริษัทรถมอรริส ผู้ซึ่งบริหารงานร่วมกับ เลโอนาร์ด ลอร์ด คราวนี้ครับ เลโอนาร์ด กับเซอร์วิลเลี่ยม เกิดไม่ลงรอยกัน เลโอนาร์ดจึงย้ายไปทำงานให้เฮอร์เบิร์ต ผู้ซึ่งเกษียณไป เรามีบริษัทรถขนาดใหญ่สองบริษัท ซึ่งเจ้าของ ไม่ชอบหน้ากัน หลังจากนั้น สงครามโลกครั้งที่สองก็เกิดขึ้น หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบ เซอร์วิลเลี่ยม ก็ได้เกษียณไป เลโอนาร์ด จึงเข้าซื้อมอรริส และให้กำเนิด British Motor Corporation
ก็น่าจะจบไปครับ เราก็คงมีบริษัทรถขนาดใหญ่อยู่บริษัทนึง ถ้าในปี 2508 BMC ไม่ซื้อบริษัทที่ชื่อว่า Pressed Steel ผู้ซึ่งผลิตตัวถังให้กับ โรเวอร์ จากัวร์ เอ็มจี โรลส์ อัลวิส ไรลี่ย์ เกือบจะทุกบริษัทผลิตรถในอังกฤษครับ เมื่อ BMC เป็นเจ้าของ Pressed Steel แล้ว BMC ก็รู้ความลับของคู่แข่งทุกอย่าง BMC เปลี่ยนชื่อเป็น British Motor Holdings ในปี 2509 ในตอนนั้น British Motor Holdings เป็นเจ้าของ เกือบทุกอย่างครับ แต่ว่าปัญหามันเริ่มบังเกิดตั้งแต่ก่อนจะเริ่มแล้วครับ BMH เริ่มที่จะเสียส่วนแบ่งตลาดจำนวนมาก รัฐบาลอังกฤษในยุคนั้นจึงสั่งให้เกิดการรวมตัวกันระหว่าง British Motor Holdings และ Leyland Motor ผู้ซึ่งในตอนนั้นมีสองสิ่งสำคัญรวมอยู่ครับ แสตนดาร์ด และ ไทร์อัมป์ ในปี 2511 การรวมตัวครั้งนี้ก็เสร็จสิ้น ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ British Leyland บริษัทผลิตรถที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก
ออสติน เอ็มจี ไทรอัมป์ มินิ จากัวร์ เดมเลอร์ มอรริส โรเวอร์ วอลซีลี่ย์ ไม่มีบริษัทรถไหนครับ ที่จะมีตัวเลือกให้ลูกค้ามากขนาดนี้
แล้วปัญหาหละ? มันควรจะเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีความสุข ขายรถ กำไรหัวแบะใช่ไหมครับ?
ผมขอพูดถึงรถคันนึงเพื่อแสดงให้เห็นถึงปัญหาของ British Leyland ละกัน เป็นรถที่ไม่แน่ใจว่าจะมีสักกี่คนที่รู้จักนะครับ ไทรอัมป์ สแต็ก รถสปอร์ตสองประตู เปิดประทุนซึ่งถูกผลิตในปี 2513 ถึง 2521 ดีไซน์โดย จิโอวานนี่ มิเชลลอตติ ผู้ซึ่งให้ดีไซน์ สปิตไฟร์ โดโลไมท์ และรถไทรอัมป์รุ่นอื่นๆอีกมากมายซึ่งแม้กระทั่งวันนี้ก็ยังสวยอยู่ ไม่รู้จักซักคัน? งั้นเอาแบบนี้ครับ จีโอวานนี่ มิเชลลอตติ ออกแบบ BMW New Class หรือที่รู้จักกันมากกว่าในชื่อ ... 2002 ซึ่ง เออร์โคเล่ สปาด้า นำ Design Language มา ปรับปรุงและพัฒนาใช้กับ BMW ที่เขาผลิตทุกรุ่น จนถึง E34 มิเชลลอตติ เป็นคนเริ่ม Design Language นี้ของ BMW ครับ
ไทรอัมป์ สแต็ก เป็นรถที่ดีครับ ขับดี ช่วงล่างนุ่มนวล เกียร์ที่ให้ความรู้สึกที่ดี แน่น พวงมาลัยเบาและให้ความมั่นใจ หลังคายังเป๊ะเลยครับ ในช่วงยุคนั้น อเมริกากำลังจะแบนรถเปิดประทุนทุกรุ่นเนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย ไทรอัมป์จึงพัฒนาดีไซน์ T-Bar ขึ้นมา ซึ่งจะให้ความปลอดภัยเมื่อเกิดการคว่ำ ขนาดชื่อยังเป๊ะเลยครับ ลากยาวๆ สแตกกกกกก มันเป็นรถที่ชื่อยังเจ๋งอยู่ ไม่เหมือนกับ ... แคมรี่ ... พริอุส ... สแต็ก ... บริษัทรถยุคนั้นรู้วิธีการตั้งชื่อรถจริงๆครับ มันเป็นรถทีเรียกได้ว่า ดีที่สุดเท่าที่ British Leyland เคยผลิตออกมา แต่นั่นก็เหมือนกับบอกว่าซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุดครับ ... แรงไปไหม? บอกตรงๆเลย ว่าไม่
เครื่องยนต์ของไทรอัมป์ สแต็ก เป็นเครื่องวี 8 ขนาดสามลิตร ซึ่งถูกพัฒนาโดยการนำเอาเครื่องของโดโลไมท์สองเครื่องมาเชื่อมติดกัน (อันที่จริงแล้ว บอกว่าเครื่องโดโลไมท์เป็นเครื่องสแต็กผ่าครึ่งจะถูกกว่า แต่ก็นั่นแหละครับ ไอเดียมันคือแบบนี้) มันเป็นเครื่องที่แย่ครับ มันเป็นเครื่องที่โอเวอร์ฮีตได้ง่าย และเมื่อมันโอเวอร์ฮีต ฝาสูบก็เจ๊ง ปัญหาคือ ในตอนนั้น โรเวอร์ มีเครื่องวี8 3.5ลิตร ซึ่งได้มาจากบูอิค ซึ่งเป็นเครื่องที่ดีครับ เครื่องยนต์ซึ่งถูกผลิตในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปี 2549 น้ำหนักเบา มีกำลังสูง ปรับจูนได้มาก คำถามที่สำคัญคือ ทำไมไทรอัมป์ไม่ไปหาโรเวอร์ แล้วขอเครื่องวี8 ตัวนี้มาใช้ครับ?
ไทรอัมป์บอกว่ามันใส่ไม่เข้าจริงๆ แต่มันก็แค่ขี้วัวครับ เจ้าของรถผู้ซึ่งเครื่องไทรอัมป์เดิมลาโลกไป ก็ใส่เครื่องโรเวอร์ วี8 กันถมเถ
มันเป็นเกมส์การเมืองครับ ทุกบริษัทในบริษัทใหญ่บริษัทเดียวนี้ ต้องแข่งขันกันเอง ไทรอัมป์ 2000 เป็นคู่แข่งของ โรเวอร์ 2000 ไทรอัมป์ สปิตไฟร์ เป็นคู่แข่งของ เอ็มจีบี แล้วก็มอรริสมาริน่า ซึ่งเป็นคู่แข่งของออสติน อัลเลโกร คู่นี้เป็นการไฝว้กันที่มันส์สุดๆครับ ไฝว์กันว่าคันไหนห่วยกว่ากัน ส่วนมากคำตอบที่จะได้มาคือมอรริส มาริน่าครับ ใครดูท๊อปเกียร์ น่าจะรู้จักกันดี ผมเคยลองมาแล้วเหมือนกัน มันเป็นจริงอย่างที่ท๊อปเกียร์แสดงให้พวกเราเห็นครับ มอรริส ส่งมาริน่า ไปให้บริษัทดีไซน์ชื่อดัง อิตัล ผู้ซึ่งให้กำเนิดดีลอเรียน กอล์ฟต้นฉบับ และอื่นๆอีกมากมาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมานั้น ห่วยกว่าสิ่งที่ให้ไปอีกครับ อันนี้ผมไม่ได้เห็นมาเองนะครับ แต่ในหนังสือรวมรถของบริษัทอิตัล ในนั้นมีรถหลายๆคัน ทั้งดี และไม่ดี ฮุนไดสเตลล่า ยังอยู่ในนั้นเลยครับ แต่ไม่มีการกล่าวถึงมอรริส อิตัล รถซึ้งถูกตั้งชื่อตามชื่อของบริษัท อิตัลดีไซน์
รถทุกคันของ British Leyland มีการรับประกันให้ครับ 1ปี แต่มันเหมือนเป็นการรับประกันว่ารถจะต้องมีปัญหามากกว่า
วันนี้พอแค่นี้ก่อนละกันครับ ดึกแล้ว
ไม่เกี่ยวครับ บอกได้เลย เอาเมืองร้อนมาอ้างไม่ได้ คุณอาจจะไม่เคยเห็นของจริง แต่ผมเคยครับ คันที่อยู่ในเมืองหนาวด้วยนะ ไม่ใช่ทะเลทราย หรือเตาอบแบบไทย
ใช้รถกันแปปๆแล้วเปลี่ยน ก็เอามาอ้างไม่ได้เช่นกันครับ ญี่ปุ่นก็เป็นครับ คนไทยก็เป็น เปลี่ยนรถกันทุกปี มีรุ่นใหม่มาก็เปลี่ยน อย่าลืมนะครับ รถที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนั้น ออกขายกันตั้งแต่ก่อนยุคสมัยที่โลกจะมาสนใจเรื่องโลกร้อน รีไซเคิ้ลอะไรนั่น มันเป็นสันดานครับ อย่างที่ผมบอก คนอังกฤษมีความฉลาด สามารถคิดหาทางออกให้กับปัญหาได้อย่างชาญฉลาด และงานวิศวกรรม ก็ต้องเรียกได้ว่าดีเยี่ยม ถ้าไม่ได้ประสิทธิภาพ ก็เอาแค่สุนทรียะของมันก็พอแล้วครับ ความสวยงามทางวิศวกรรม คนอังกฤษทำด้านนี้ได้ดีมาก ยุโรปทำด้านนี้ได้ดีมาก อังกฤษทำด้านนี้ได้ดีเป็นลำดับต้นๆ ไม่เท่าอิตาลี่ แต่ก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อนจนเกินเหตุเละเทะแบบเยอรมัน แต่อย่างที่บอกครับ คนอังกฤษชอบหาประโยชน์ใส่ตัวมาก แอบลดต้นทุนอะไรนิดๆหน่อยๆในจุดที่ไม่มีใครเห็น นี่แหละ นิสัยของคนอังกฤษ
วันไหนผมคงต้องพูดถึง British Leyland บ้างหละ ... ไม่ใช่ในกระทู้นี้ เพราะว่ามันไม่เกี่ยวกัน
คือที่ผมกล่าวมา ไม่ได้หมายถึงรถทุกปีที่คุณว่ามา ผมกล่าวถึงlifestyle ของคนยุโรป อย่างก่อนปี90รถยุโรปไม่ได้เน้นพลาสติกรีไซเคิล แต่ถ้าจอดตากแดดตากฝนในบ้านเรา
ก็มีคอนโซลแตกกันบ้างหละ แต่หลังจากยุคปี90มาแล้วนั้นวัสดุรีไซเคิลมีบทบาทมากในรถยุโรป หลายๆยี่ห้อ
สังเกตได้จากพลาสติกภายในรถไล่ตั้งแต่ benz volk audi bmwในบ้านเรานี่เห็นได้ชัดแตกแทบทุกคัน โดยเฉพาะคันที่จอดตากแดดตากฝน แต่ถ้าเป็นพวกที่
จอดในร่มเป็นส่วนใหญ่มันก็ไม่ค่อยแตก ผมเลยคิดว่ามันมาจากอากาศในบ้านเรา พลาสติกอะไรที่มันตากแดดทุกวันยังไงมันก็ต้องแตก ไม่เชื่อลองสังเกตจากรถเมืองนอกผ่าน
ไป10กว่าปีพลาสติกก็ยังไม่แตกเหมือนบ้านเรา
ส่วนที่บอกว่าใช้รถแปปๆแล้วก็เปลี่ยน จริงครับว่าเป็นทุกประเทศ แต่เมืองนอกรถเกิน10ปี บ้านเค้าภาษีแพงกว่ารถใหม่ คนที่นั่นก็ตัดขายให้พวกประเทศกำลังพัฒนา
แบบบ้านเรา หรือไม่ก็บดทิ้งหมด ส่วนบ้านเรารถจะ10ปี 20ปี 30ปี มีให้เห็นวิ่งกันทุกวัน เอาหัวตัดของที่เค้าทิ้งมาเปลี่ยนใส่วิ่งกันแฮปปี้กันทั้งสองฝ่าย
ก็อาจจะจริงครับ แต่ผมไม่ได้พูดถึง Merc, Volk, Audi, BMW อยู่นะครับ เพราะผมไม่ได้มีความรู้เรื่องรถพวกนี้จนมาพร่ำเพรื่อได้ แต่ผมสามารถบอกได้เลยครับว่า ข้อนี้ใช้ไม่ได้กับอุตสาหกรรมรถอังกฤษ