รถเก๋ง ขนาดกลางและเล็ก ราคาแพงกว่า รถ กะบะ สี่ประตู
ในขณะที่ รถ กะบะ ดีเซล ควันดำ คันใหญ่ กินพื่นที่ถนน กลับภาษีและราคาถูกกว่า ราคาน่าดึงดูด
เอ...ผมไม่แน่ใจว่า รถเก๋งขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่พี่ว่า ขนาดเล็ก คือ B-segment ใช่มั้ยครับ??
ถ้างั้นผมว่า B-segment ถูกกว่ากระบะ 4 ประตูนะครับ
B-segment เริ่มต้น 550,000 มี ABS,Airbagคู่หน้า ครบ
กระบะ 4 ประตู เริ่มต้น 650,000 ABS,Airbag อะไรไม่มีเลย
ส่วนทำไมกระบะถึงต้องราคาไม่แพง ภาษีสรรพสามิตถูกกว่า
ในมุมมองของผมมองว่า รถกระบะตอนเดียว, กระบะแค็ป เป็นรถพื้นฐานของการขนส่งสินค้า
รถของพ่อค้า แม่ค้า รถของวงการก่อสร้าง ผู้รับเหมา ช่างแทบจะทุกประเภท
ชาวสวน ชาวไร่ ช่างไฟ ช่างสวน ช่างประปา ช่างติดตั้งโทรศัพท์ ช่างก่อสร้าง
รถขนผัก ขนผลไม้ รถขนเนื้อสัตว์ รถขนน้ำแข็ง รถขนส่งน้ำดื่ม
รถพ่อค้าแม่ขายอาหารตามตลาด
ถ้าหากโครงสร้างภาษีของรถกลุ่มนี้ปรับขึ้น ส่งผลให้ราคาขายแพงขึ้น
ผมคิดว่าต้นทุนของสินค้าและบริการแทบทุกชนิด ราคาจะปรับแพงขึ้นหมด
ส่งผลให้ค่าครองชีพก็สูงขึ้น ในขณะที่ฐานเงินเดือน และรายรับของทุกคนจะเท่าเดิม
เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับโครงสร้างภาษีรถกระบะแต่อย่างใด แบบนี้จะดีหรอครับ?
ในแง่ของรถกระบะ 4 ประตู ราคาอาจจะดึงดูดก็จริง แต่ภาษีป้ายจดทะเบียน
ก็สูงกว่ารถ Ecocar,B,C-segment ถึง 3-6 เท่าตัว
ภาษีรถเก๋ง 1.2 ลิตร 1,000 ต้นๆ
ภาษีรถเก๋ง 1.5 ลิตร 1,000 กลางๆ
ภาษีกระบะ 4 ประตู 2.2-2.5 ลิตร อยู่ 3,000 ปลายๆ
ภาษีกระบะ 4 ประตู 3.0-3.2 ลิตร อยู่ประมาณ 7,000 บาท
อีกทั้งค่าบำรุงรักษากระบะทั้งหลายทั้งตอนเดียว แค็ป 4 ประตู ก็แพงกว่า
น้ำมันเครื่องใช้ 6-9 ลิตร ค่ายางรถกระบะก็แพงกว่ารถเก๋ง 2 เท่าตัว
ไหนจะอัตราสิ้นเปลืองที่ด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะรถใหญ่ ต้านลม เครื่องใหญ่กว่า
นั่นก็น่าจะสมเหตุสมผลแล้วครับ เพราะกระบะ 4 ประตูก็ต้องเป็นผู้มีฐานะปานกลาง
เรื่องน้ำมันดีเซลก็เช่นกันครับ ถ้าจะบอกว่าเดี๋ยวนี้ขนส่งเปลี่ยนไปใช้ก๊าซ NGV กันหมดแล้ว
นั่นก็ถูกต้องครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็น Logistic ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ใช้ในรถบรรทุกซะมากกว่า
แต่กลุ่มรถที่ผมบอกข้างต้น
พ่อค้าแม่ขาย ช่างต่างๆ ก็ยังคงใช้ดีเซลอยู่ เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักของเค้าคือใช้ในการขนของ
ระยะทางไม่ได้มาก แต่ของเยอะ หรือออกไปติดตั้ง หรือขนของไปตาม site งานต่างๆ
ไม่ใช่ขนส่งระยะทางไกลๆแบบกลุ่ม logistic จะไปใช้ ก๊าซ NGV ก็ไม่คุ้มค่าติดตั้ง
ส่วนใหญ่เท่าที่สำรวจดูกลุ่มรถกระบะ 1 ตันที่วิ่งบนท้องถนน
ใช้น้ำมันดีเซล 75-80%
10-15% ก๊าซ LPG
5% ก๊าซ NGV
ถ้าน้ำมันดีเซลขึ้น เหตุการณ์ก็คงคล้ายๆกับที่ปรับโครงสร้างภาษีรถกระบะแหละครับ
ส่วนรถหรูที่เป็นเครื่องดีเซล แต่ได้ใช้น้ำมันดีเซลราคาถูก นั่นก็เป็นผลพลอยได้
ถ้าพูดถึงจำนวนปริมาณสัดส่วน รถหรู ดีเซลก็ไม่น่าจะมีสัดส่วนที่เยอะซักเท่าไหร่
ผมยังเคยเห็นกระทู้เปรียบเทียบ BMW 320i กับ 320d เลยครับว่า
จริงๆแล้วซื้อ 320i ราคาส่วนต่างกับการซื้อ 320d เอาส่วนต่างที่ถูกกว่านั้น
ไปเติมน้ำมันยังคุ้มค่ากว่าเลย
เพราะฉะนั้นจริงๆแล้ว กลุ่มรถหรูดีเซล ก็ได้อย่างเสียอย่างครับ
จ่ายแพงกว่า แต่ใช้น้ำมันถูกกว่า เพราะรถแบบนี้ผมเห็นทุกคันที่เป็นเครื่้องดีเซล
แพงกว่าเครื่องเบนซินทั้งนั้นครับ
ทั้งหมดนี้ก็เป็นความเห็นของผมครับ อาจจะผิดถูกยังไงก็ร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้ครับ