กลับมาอีกครั้งครับ กับหัวข้อที่มีชื่อว่า แฉให้ฟังหลังเข้าศูยน์ฯ โดยคราวนี้มาดู Suzuki Swift ECO กันครับ
รีวิวฉบับนี้เป็นครั้งแรกของผม ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องของศูนย์บริการครับ เนื่องจากรถคันนี้เป็นของคุณแฟน
และตั้งแต่ 0-30,000km ที่ผ่านมา คุณเธอเอาไปเข้าศูยน์บริการเองตลอด แล้วพอกลับมาก็บ่นว่าแพงอย่างนั้น
ชอบยัดเยียดรายการนอกเหนือจากที่ระบุไว้ อย่างโน้น อย่างนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงซะด้วย เห็นทีว่าผมคงจะต้องออกโรงเองซะแล้ว
โดยครั้งนี้เป็นการเช็คระยะ 40,000km ซึ่งเป็นระยะ ที่มีค่าใช้จ่ายพอสมควร และรายการซ่อมเพิ่มเติมด้วยครับ
คือเบาะหลังฝั่งขวา พับลงไม่ได้ (ปลดสลักเพื่อจะพับไม่ได้) อย่างว่าแหละครับเมื่อผมคือผู้อ่านของ Headlightmag.com
มีหรือที่จะนิ่งเฉย เมื่อเรานำรถเข้าศูนย์บริการ เราก็ควรที่จะแบ่งปันข้อมูล ให้เพื่อนที่ใช้รถรุ่นเดียวกัน หรือคนที่จะซื้อรถ
ยี่ห้อเดียวกับเราได้รับรู้ถึงบริการหลังการขายว่าเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดีอย่างไร ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจในการซื้อ
หรือในการเข้ารับบริการของศูนย์บริการนั้นๆ ศูนย์ไหนดีกว่าว่าดี ศูนย์ได้ไม่ดี เราก็ก็เฉยๆ เพราะไปกล่าวหาเค้าไม่ได้
เดี๋ยวโดนฟ้อง ถ้าไม่มีหลักฐาน(นะ) ส่วนรถของผมเอง คือ MAZDA3 โฉม BK ไม่ได้เข้าศูนย์นานมากแล้วครับ
เพราะรถหลายปีแล้ว รวมถึงระยะทางก็ปาเข้าไป 160,000km จึงไม่มีโอกาสได้เขียนรีวิว แฉให้ฟังหลังเข้าศูนย์ฯ สักที เพราะว่าเข้าอู่นอกตลอด
การรีวิวครั้งนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ในฐานะลูกค้าของซูซูกิ ไม่ใช่ฐานะสื่อมวลชน เพราะฉะนั้นอาจมีผิดพลาดบ้าง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะเขียนให้เป็นกลางที่สุดครับ
__________________________________________________________________________________
ศูนย์บริการ ที่นำมารีวิวในครั้งนี้ก็คือ ศูนย์ซูซูกิ ชลบุรี ครับ ชื่อเต็มก็คือ (iTOA Auto Sales Co., ltd. สาขาชลบุรี)
แผนที่จากทางเวปไซด์
สำหรับ ไอทีโอเอ ออโต้เซลส์ มีอยู่ด้วยกัน 5 สาขาครับ
1. เพชรบุรีตัดใหม่
2. สิรินธร
3. ชลบุรี
4. รามคำแหง
5. และล่าสุด พัทยา
ทำไม่ต้องมาศูนย์นี้ล่ะ (ชลบุรี) ก็เพราะว่า ศูนย์บริการแห่งนี้ ผมเคยได้นำรถคันนี้มาเคลมสีครับ
ซึ่งค่อนข้างจะประทับใจในบริการครั้งนั้นครับ จึงทำให้คราวนี้ ลงทุนขับมาจากระยอง
เพื่อมาใช้บริการที่นี่อีกครั้งกันเลยทีเดียว โดยผมต้องโทรนัดล่วงหน้าถึง 2 อาทิตย์
เพื่อจะนำรถเข้าตรวจเช็คในวันเสาร์และต้องเป็นคิวแรก เพราะคิดว่าคงใช้เวลานานแน่ๆ
จึงพยายามให้เป็นคิวแรกไว้ดีจะกว่า ยอมตื่นเช้านิดนึง (ตื่นตี 5.45 ออกจากบ้านที่ระยอง 6.45 ถึงศูนย์ชลบุรี 7.50)
สำหรับมาตรฐานการให้คะแนนของผม ก็ยึดเอาหัวข้อและคะแนนมาจากเกณฑ์ของเว็บที่ตั้งไว้ในตอนแรกนี่แหละครับ
โดยจะไล่เรียงทีล่ะหัวห้อ แต่ละข้อมีคะแนนเต็ม 10 คะแนน
- หัวข้อไหนทำได้โคตรห่วย คะแนนจะต่ำกว่าครึ่ง
- หัวข้อไหนห่วย จะให้ตะแนนอยู่ที่ร้อยละ 50-59 ของคะแนนเต็มในแต่ล่ะหัวข้อ
- ไม่ห่วย แต่อย่าคาดหวังความดีงาม ให้ร้อยล่ะ 60-69
- ปานกลาง ให้ร้อยละ 70-79
- ดี ให้ร้อยละ 80-89
- โคตรเยี่ยม จัดไป 90-100
เริ่มกันเลยนะครับ
- ความสะดวกในการนำรถเข้าจอดยังจุดรับรถเริ่มจากขับรถเข้าไปยังศูนย์ จะเจอกับ รปภ. ซึ่ง รปภ. จะถามว่าติดต่ออะไร ไปว่านำรถมาเช็คระยะ
รปภ. ก็จะบอกให้ขับรถไปยังจุดรับรถของแผนกบริการครับ ซึ่งจะมีป้ายบอกอยู่ ไม่ถึงกับชัดเจนมาก
แต่ก็ไม่ถึงขั้นว่าเล็กจนมองแทบไม่เห็น
จุดจอดรถเพื่อแจ้งซ่อม
จุดที่จอดรถเข้าบริการ จะทาสีพื้นไว้ให้เห็นได้ชัดครับ สามารถรองรับได้ 4 คัน ตรงส่วนจุดรับรถนี้จะมีหลังคาครับ
แต่เมื่อจะนำรถเข้าไปยัง Workshop เพื่อจะนำไปทำการตรวจซ่อม พนักงานจะต้องถอยรถออก เพื่อที่จะขับเข้าไปยัง
Workshop ครับ ตรงส่วนนี้ ควรจะเพิ่มส่วนของหลังคาอีกสักหน่อย เผื่อลูกค้าอยากเดินไปชมรถในส่วนของโชว์รูม
คืออย่างน้อยควรมีหลังคาบังแดด บังฝนซะหน่อยนึงนะครับ
คะแนนที่ได้ : 9/10- การต้อนรับ เมื่อนำรถเข้าจุดจอดรถ เปิดประตูลงมา พนักงานเห็นก็รีบวิ่งออกมาจากออฟฟิศ พร้อมเอกสารตรวจเช็ค
ว่าลูกค้าจะตรวจเช็คอะไร คือต้องบอกบอกก่อนว่า ผมไปถึงศูนย์บริการ ก่อนเวลาที่เค้าจะเริ่มงานนะครับ
เพราะฉะนั้น ตรงส่วนนี้ผมจะถือว่าเค้าทำงานแบบรับผิดชอบเต็มที่อยู่ครับ ไม่ใช่รอถึงเวลาก่อนแล้วค่อยออกมา
ปล่อยให้ลูกค้ารออะไรแบบนั้น แต่ดูจากสีหน้าของเจ้าหน้าต้อนรับ ดูรนรน นะครับ สงสัยคงตกใจว่าทำไมลูกค้ามาเร็วจัง 555+
คำกล่าวต้อนรับ หน้าตายิ้มแย้ม และความสุภาพ ก็ปกติครับ พนักงานจะถามก่อนว่าตรวจเช็คอะไร
แต่จริงแล้วพนักเค้าจะรู้อยู่แล้วล่ะครับว่าเราเข้ามาทำอะไร เพราะว่าเราจองคิวไว้แล้ว เพียงแค่เรายื่น Book Service
ให้เค้าก็แค่นั้นแต่กรณีของผมมีการแจ้งเพิ่มเติมคือเบาะหลังฝั่งขวา พับลงไม่ได้ ซึ่งเจ้าหน้าก็ตรวจสอบเบื้องต้น
แล้วก็แจ้งเราว่าจะแก้ไขให้ ถ้าเคลมได้ก็จะเคลมให้ด้วย อะไรประมาณนี้ครับ แล้วหลังจากนั้นก็เชิญผมกับแฟนขึ้นห้องรับรองลูกค้า
จุดแจ้งรายการซ่อม และประเมินราคา
ทางขึ้นไปยังห้องพักลูกค้า
คะแนนที่ได้ : 9.5/10- การแจ้งรายละเอียด รวมทั้งการประเมิณราคาการเข้ารับบริการหลังจากที่ขึ้นมานั่งรอบนห้องพักลูกค้าแล้ว ประมาณ 5 นาที เจ้าหน้าที่ก็นำใบประเมิณราคาคร่าวๆ มาแจ้งให้ที่โซฟาเลยครับ
ครั้งนี้เป็นการเช็คระยะ 40,000km เพราะฉะนั้นราคาโดยร่วม น่าจะประมาณที่ทางศูนย์ประเมินให้คือประมาณ 6,000 บาท
จากรายการที่ระบุไว้ ก็มาดูกันว่าราคาจริงหลังจากกระบวนการทำทุกอย่างแล้ว จะประมาณนี้มั้ย
คะแนนที่ได้ : 10/10- สิ่งอำนวนความสะดวก สำหรับรับรองลูกค้า เมื่อขึ้นบันใดมาก็จะเป็นประตูเข้าไปยังห้องรับรองลูกค้า
ซึ่งศูนย์บริการแห่งนี้ได้มีการทำ 5ส ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากครับ
บรรยากาศภายในอาจจะดูอึมครึมไปนิดนึงครับ เนื่องจากโทนสีเป็นสีเทา ไม่ถึงขึ้นว่าใหญ่โตมโหราร
แต่ขนาดพอเหมาะ กำลังดีครับ เพียงพอสำหรับรถที่เข้ารับบริการต่อวัน โดยเฉพาะวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันที่รถเข้ารับบริการเยอะที่สุด
เพราะวันที่ผมเข้ารับบริการก็คือวันเสาร์ จำนวนที่นั่งก็เพียงพอสำหรับผู้ใช้บริการครับ สิ่งอำนวยความสะดวกดังรูปก็จะมีทีวี
ซึ่งขนาดเล็กไปนิดนึง และถัดไปทางขวามือ ก็จะเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโตะ และรหัส WiFi ติดไว้ที่ผนังครับ
ปัจจุบันนี้ ทีวี กับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เหมือนจะเป็นแค่อุปกรณ์ประกอบฉากไปซะแล้ว เพราะว่าลูกค้าส่วนใหญ่นั้นมัวแต่นั่งคอตกกัน
เนื่องจากใช้ สมาร์ทโฟน ไม่ก็ แท๊ปเลท ซะส่วนใหญ่ จากที่ผมสังเกตุ แม้แต่คอมพิวเตอร์ที่ตั้งไว้เพื่อบริการลูกค้าเพียงเครื่องเดียว
ก็ไม่เห็นมีใครไปนั่งใช้บริการเลยครับ
มุมสำหรับนั่งพักแบบส่วนตัวก็มีครับ มุมนี้เหมาะสำหรับคนที่อยากแอบงีบ หลบหนีจากความวุ่นวายเล็กน้อยได้เป็นอย่างดี
นี่คือวิวเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ทางด้านที่ที่ไม่ใช่จุดซ่อมครับ เผื่อบางท่านไม่ชอบบรรยากาศที่อึดอัด ก็อาจจะปิดม่านไว้เล็กน้อย
ในส่วนของชั้นวางหนังสือ ก็จะมีหนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสารรายเดือน แนวแฟชั่น สำหรับคุณผู้หญิง และนิตรสารเกี่ยวกับรถยนต์
สำหรับคุณผู้ชายด้วย โดยจะมี ยานยนต์ และ กรังปรีย์ ครับ
ในส่วนของมุมเครื่องดื่มและของว่าง ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีครับ มี กาแฟแบบชงเอง โอวัลตินแบบ 3 อิน 1 (แต่ไม่แน่ใจว่ามีชารึเปล่า)
และยังมีของว่างให้รองท้อง ประมาณพวกขนมปังปี๊บ มาม่าคัพ และก็มียูโรเค้ก มาเพิ่มเติมให้อีกด้วย (ไม่ได้ถ่ายรูปมา)
น้ำดื่มตีตรา iTOA ครับ ก็เหมือนกับศูนย์บริการรถยี่ห้ออื่นที่ตีตราเป็นแบรนด์ของตนเอง
ส่วนห้องน้ำนั้น ความสะอาดถือว่าพอรับได้ครับ แต่อาจจะดูธรรมดาไปนิดนึง แต่เรื่องที่น่าติก็คือ ห้องส้วมน้อยไปครับสำหรับห้องน้ำชาย
คือมีแค่ห้องเดียว ซึ่งดูแล้วน้อยไปครับ และอีกสิ่งนึงที่ควรติคือ กระดาษเช็ดมือ หรือเครื่องเป่ามือให้แห้ง ซึ่งควรมีติดตั้งไว้ครับ
ไม่ควรที่จะเป็นเพียงผ้าเช็ดมือที่ใช้ร่วมกันแบบนี้ อย่าลืมนะครับ พื้นที่ตรงส่วนนี้ถือว่าเป็นพื้นที่ที่คนแปลกหน้าเข้าออกบ่อยพอสมความ
ไม่ใช่บ้านพักอาศัยที่อยู่กับเป็นครอบครัว เพราะฉะนั้นในส่วนนี้โดนหักคะแนนครับ
ตรงนี้เป็นส่วนซ่อมสีและตัวถังครับ และเป็นพื้นที่ในการรับเครมด้วยครับ โดยจะแยกส่วนออกจากฝ่ายบริการเลย
รถของผมเป็นคิวที่ 1 ของวันนี้ครับ ส่วนที่จอดทางด้านซ้ายน่าจะเป็นเคสหนักๆ ที่ใช้เวลาซ่อมนานๆ ครับ
หรือไม่ก็อาจจะรออะไหล่บางตัวที่ทางศูนย์ไม่ได้สต๊อกไว้ ในความเข้าใจของผมนะ
จุดนั่งพัก จะมีโซฟาอยู่ 2 ชุดที่สามารถนั่งมองเห็นรถของเรา และการทำงานของช่างได้ในระดับนึงครับ
ซึ่งศูนย์บริการแห่งนี้สามารถ ตรวจเช็ดพร้อมกันได้ถึง 4 คัน ความสะอาด และการจัดการพื้นที่ถือว่ายอมรับได้ครับ
ช่วงเวลาที่ผมไปคือตอนเช้า เข้าใจว่าช่วง 8.30น. ทางผู้จัดการส่วนงานบริการคงเรียกพนักงานรวมแถว
หรือเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มงานครับจากที่เห็นในภาพ
นี่คืออะไหล่ที่ทางศูนย์ได้สต๊อกไว้ครับ ช่วงนี้อาจจะเยอะนิดนึงเนื่องจาก ทาง SUZUKI เองได้มีการแก้ไข
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากผู้ผลิต (defect) ครับ โดยรายละเอียดจะมีดังนี้ ตาม link ครับ
http://www.suzuki.co.th/webpage/after-sales-services/campaign-service.html เมื่อเราเข้าไปยังเวปไซด์ของ
www.suzuki.co.th แล้วคลิ๊กไปที่ After sales service ก็ปรากฏหน้าจอดังรูปครับ
โดยตรงส่วนนี้คือให้ป้อนเลขตัวถังของรถที่เราใช้อยู่เข้าไปครับ โดยถ่ายรูปจากรถของเราเองแล้วนำมากรอกครับ
ตำแหน่งของเลขตัวถังจะอยู่บริเวณมุมบนด้านซ้าย ถ้าเรามองเข้าหารถนะครับ
รูปแทน จาก
www.one2car.comเลขตัวถึงจะอยู่บริเวณที่วงไว่ในรูปครับ หรือจะดูเลขตัวถึงจาก Book service หรือ เล่มทะเบียนก็ได้ครับ
เมื่อเรากรอกเลขตัวถังเรียบร้อยแล้วกดตรงช่องคำว่าตรวจสอบ ถ้าเลขตัวถังเป็นล๊อตทาง SUZUKI กำหนดไว้
ก็จะปรากฏแถบข้อความ 2 ข้อคือ
1. Steering Gear Box Cover = ซึ่งก็คือเปลี่ยนแรคพวงมาลัย
2. Front Strut Dust Cover = ซึ่งก็คือเปลี่ยนยางกันฝุ่นโช้คคู่หน้า
โดยเราสามารถโทรแจ้งกับ Suzuki Call Center ได้เลยครับ เพื่อที่จะล๊อคคิวในการเข้ารับบริการ
เพราะว่าตอนนี้ผมถามเจ้าหน้าที่ว่ากรณีของผมจะเปลี่ยนได้เมื่อไหร่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ได้แจ้งว่าตอนนี้คิวยาวไปถึงเดือนพฤษภาคมแล้ว
และถ้าเกิดว่าจะนัดเปลี่ยน จะต้องนัดวันพุธ กับวันพฤหัสเท่านั้นครับ ระยะเวลาในการเปลี่ยน จากที่ผมจับเวลา ยกแพรช่วงล่างด้านหน้าลงมา
ถอดแรคอันเก่าออก แล้วใส่ของใหม่เข้าไป ถอดโช้ค ถอดยางเบ้าโช้ค แล้วเปลี่ยนยางกันฝุ่น แล้วประกอบทุกอย่างกลับเข้าที่
ใช้เวลาประมาณ ไม่เกิน 1 ชั่วโมง 15 นาทีครับ
แต่ผมสงสัยอยู่อย่างนึงคือเรื่องของการ Recall ทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องนี้เลย ถ้าไม่มีคุณผู้อ่านของ HLM มาโพสต์ในเวปบอร์ดไว้
http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,43169.0.html แล้วถ้าผมไม่ตามเวปบอร์ดล่ะ
ผมก็ไม่มีทางรู้เรื่องนี้เลยจริงมั้ย จะบอกว่าประกาศไว้แล้วที่เวปไซด์ แล้วถามว่าคนที่จะเข้าเวปส่วนใหญ่เค้าต้องการอะไรกันบ้าง
1. ราคารถยนต์ที่สนใจ 2.เบอร์โทรติดต่อของศูนย์บริการ เท่านั้นเอง ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องแบบนี้ควรจะมีการส่งจดหมายไปยังลูกค้า
ที่ซื้อรถในล๊อตที่มีปัญหาสิครับ หรือไม่ก็ให้ทาง Call Center โทรแจ้งไปยังเจ้าของรถก็ยังดีเพราะยังไงรายชื่อลูกค้าจะต้องมีอยู่แล้ว
ขอฝากเรื่องนี้กับทาง SUZUKI ด้วยครับ ..... หรือเป็นเพราะว่ารถของแฟนผมไม่มีอาการเกี่ยวกับระบบบังคับเลี้ยวเลย
จึงทำให้ไม่สงสัยเกี่ยวกับเรื่อง defect ที่เกิดขึ้นก็เป็นได้ครับ เรื่องของ defect และการแจ้ง recall ผมไม่ได้นำมาคิดคะแนนนะครับ
เพราะว่าอยู่นอกเหนือจากหัวข้อที่นำมาเป็นเกณฑ์การให้คะแนนครับ แค่ต้องการจะประชาสัมพันธ์ให้ทุกท่านทราบเท่านั้น
เรามาสรุปการให้คะแนนในหัวข้อนี้ (สิ่งอำนวนความสะดวก สำหรับรับรองลูกค้า) ที่จะโดนหักคะแนนก็จะโดนในเรื่องของ
บรรยายกาศภายในห้องพักลูกค้าที่ยังดูอึมครึมไปนิด แล้วก็ห้องน้ำที่มีห้องส้วมน้อย และไม่มีกระดาษ หรือเครื่องเป่าลมสำหรับเช็ดมือ
คะแนนที่ได้ : 7.5/10- การซ่อมบำรุงหรือทำตามความต้องการที่ลูกค้าแจ้งไว้ การเข้าเช็คระยะเปลี่ยนถ่ายต่างๆ ตามระยะ 40,000km ก็เป็นไปตามสมุดคู่มือที่ระบุไว้ว่าต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง
ไม่มีการให้น้ำยาล้างหัวฉีดเหมือนกับบางศูนย์ ซึ่งที่ที่แฟนของเคยเจอมาคือน้ำยาล้างหัวฉีด โดนยัดเยียดเข้ามานอกเหนือ
จากใบประเมินในตอนแรก แถมราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ ซะด้วย ซึ่งเจ้าตัวไม่ค่อยรู้เรื่องรถก็เลยตามเลยล่ะกัน
นอกเหนือจากการเช็คระยะ 40,000km ก็ยังมีส่วนที่ต้องซ่อมแซมเพิ่มเติมก็คือเบาะนั่งด้านหลัง
ซึ่งไม่สามารถดึงสลักพับเบาะเพื่อจะพับลงมาได้ ตรงส่วนนี้ผมมองดูช่าง 2 คน เค้าใช้เวลากันพอสมควรเลย
กว่าจะสามารถถอดเบาะออกมาได้ กินเวลาไปเป็นชั่วโมงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นกระบวนเช็คระยะเปลี่ยนถ่าย
และการซ่อมแซมถือว่าสอบผ่านครับ
คะแนนที่ได้ : 10/10