สวัสดีครับ หลังจากที่ผมเคยเขียน User's Voice ลง Headlightmag ครั้งก่อนและห่างเหินกันมาระยะหนึ่งแล้ว ผมตั้งใจทำรีวิวรถในบ้านของผมเพื่อเป็นการขอบคุณทุกๆคนในเว็บที่ทำรีวิวให้ผมอ่านอย่างสนุกสนาน
และได้ความรู้จากทางเว็บ นอกจากนั้นต้องการให้รีวิวของผมเป็นตัวประกอบในการตัดสินใจเพื่อเลือกซื้อรถ ผมจึงหวังว่า ทุกท่านคงจะเพลินเพลินไปกับรีวิวของผมไม่มากก้อน้อยนะครับ
หากข้อมูลต่างๆขาดตกบกพร่องและผิดพลากก็ขออภัยด้วยครับ
เนื่องจากผมคิดว่าผมเขียนรีวิวไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ ผมจึงคิดว่า ทำเป็น style เดิมแบบที่ผมเคยทำมานั่นแหละดีแล้ว คือเอารูปมาบรรยายซะมากกว่าครับ
โดยงานนี้ ผมก็พามาถ่ายที่ location เดิมครับ คงจะมีคนพอทราบอยู่บ้าง
และผมขอนำเสนอ Maserati Ghibli Diesel สีแดง Rosso Energia คันแรกในไทยครับ
โดยเท่าที่ทราบตอนนี้นอกจากเป็นคันแรกในไทยที่เป็น Rosso Energia แล้ว ก็ยังคงเป็นคันเดียวด้วยครับ
โดยที่เนื่องจากเป็นรถที่นำเข้า จึงสามารถสั่ง option ตามต้องการครับ แต่สิ่งที่เพิ่มไปก็มีแค่ Carbon Fibre Trim เท่านั้น (เดี๋ยวไปดูรายละเอียด)
ที่เหลือทาง Maserati Thailand จัดมาครบพอสมควรแล้วครับ เลือกแค่สีภายนอกภายในเท่านั้นเลย
อ้อ รุ่นนี้เป็นหนึ่งใน Maserati ที่ได้ผลิตและประกอบในโรงงาน Ferrari เลยครับผม
และคันนี้เป็นรถ Italian คันแรกของบ้านครับ (ไม่นับ Ducati ผมนะ นั่นสองล้อ ไม่นับแล้วกัน)
และนี่คือ Maserati Ghibli Diesel ครับ
ซึ่งชื่อรุ่นนี้ ผมก็ไม่แน่ใจว่า อ่านว่า "กิบ-ลี่" หรือ "กิบ-บลี" กันแน่ เอาเป็นว่ามันก็คล้ายๆกันนั่นแหละ
ไฟหน้า เป็น Bi-Xenon ครับ ส่วนไฟเลี้ยวและ DRL เป็น LED
เมื่อปีที่แล้วทาง Maserati ได้เปิดตัว Ghibli ในไทยอย่างเป็นทางการ ผมได้รับเชิญในงานเปิดตัว
แน่นอนครับ ผมหลงไหลแบรนด์นี้มานานแล้ว รวมถึงครอบครับผมค่อนข้างชื่นชอบการขับขี่ แต่ทุนก็ไม่ได้หนานัก จะซื้อ supercar ก็ใช่เรื่อง
และสุดท้ายทางบ้านก็ตกลงจัดครับ เย้~ ด้วยราคาที่ไม่แรงมาก และแบรนด์ที่ดูดี และฟังเสียงก็เซ็กซี่ด้วยครับ แค่ชื่อก็กินขาดแล้ว มาเซราตี
ดูหน้ากันชัดๆอีกทีหนึ่งนะครับ โหดใช้ได้เลยแม้ว่าจะเป็น 4-door sedan มาพร้อมกระจังหน้าเอกลักษณ์ (ต้องมีแง่งเล็กๆนั่นด้วย)
ซึ่งรุ่นนี้ผมอยากบอกว่า มันหลอกตามากครับ ถ้าดูเผินอาจจะขนาดพอพอกับ E-class แต่ถ้าวัดจริงๆแล้ว มันกว้างกว่า Porsche Cayenne อีกนิดหนึ่งด้วยซ้ำครับ
เรามาดูรอบๆด้านนอกกันก่อนดีกว่า หลังจากที่ด้านหน้าไปแล้วก็ด้านข้าง เส้นสายสวยงามมากครับ กระจกหลังเป็น privacy glass ตามสมัยนิยม ล้อผมเลือกเป็นลาย Proteo 19" ถามว่าทำไม 19" ทั้งๆที่มีตั้งแต่ 18"-21" เพราะผมว่าถ้า 18" มันจะดูเล็กไปนิดถ้าเทียบกับรถ นี่ขนาด 19" ยังดูโล่งหน่อยๆเลยครับ แต่ถ้า 20" 21" คงจะกระด้างไป เข็ดตั้งแต่ Cayenne 21" แล้วครับ 555 บวกกัยลายนี้สวยถูกใจด้วยครับ โดยยางหน้า 235 และยางหลัง 275 ครับ มากับ Dunlop Sport Maxx
และแน่นอนครับ จะเป็น Maserati ไม่ได้ ถ้าไม่มีช่องอากาศสามช่องด้านข้างนี่
และตราที่ C pillar
แถมให้อีกรูปกับมุมโปรดของผม
ไปดูบั้นท้ายกันบ้าง อวบอั๋นสุดๆเลยคันนี้ ท่อไอเสียสองคู่จัดเต็ม เสียงจัดว่าดที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาใรื่อง diesel ทั้งหมดในชีวิต
โดยรายละเอียดเรื่องนี้ผมขอพูดในเรือง feeling ละกันครับ
ไฟท้าย เบรค เลี้ยว ถอย และตัดหมอก อยู่รวมกันครับ เสียดายที่ไฟเลี้ยวและถอยไม่ใช่ LED
และจุดเอกลักษณ์อีกแล้วครับ ตัวเขียน Maserati และแง่งเล็กๆเหมือนเดิม
ก่อนไปดูข้างใน มาตรงนี้ก่อนดีกว่าครับ จัดวางได้สวยและลงตัวมาก รายละเอียดเนี๊ยบ มีฝาปิดเครื่องเอาไว้ การทำสีก็เรียบร้อยดีครับ
(วัสดุฝาครอบเครื่อง feeling เหมือนคอนโซลหน้า interior ของ Toyota Vgo กะ Fortuner เลยครับ 5555)
มาดูเครื่องกันชัดๆ V6 3.0 Turbo เดี่ยวนะครับผม วางได้สวยมากครับ และแน่นอนผลิตโดยโรงงาน Ferrari เช่นกัน
เรี่ยวแรง 280 แรงม้าที่ 4000 รอบ, บิด 570 Nm และสามารถ overboost ได้ถึง 600 Nm ที่ 2000-2600 มาให้ใช้ต่ำๆเลย
ส่วนอันนี้ฝาถังเชื้อเพลิง ไม่มีฝาหมุนครับ เปิดแล้วเสียบลงไปได้เลย ที่แปลกตรงที่มันอยู่ด้านเดียวกับรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่ (ซ้าย) ซึ่งผมไม่ค่อยชินเท่าไหร่
ได้เวลาเปิดเข้าไปดู อันนี้กุญแจครับ ผมบอกเลยว่าโคตรหนัก หนักแบบไร้เหตุผลมาก ทางศูนย์บอกว่าทำให้หนักเพื่อใดูดีเฉยๆ = ="
ซึ่งเป็นแบบ keyless entry and drive จับเพื่อปลดล๊อคและเข้าไปกด start ได้เลยตามยุคสมัย
อันนี้ก็จะเป็นอีกมุมมองหนึ่งก่อนเข้ารถ
สิ่งที่ผมโปรดปรานมากครับ ประตูไร้ขอบ
เวลาเอากระจกลงแล้วเจ๋งดี
แต่ข้างหลังนี่สิ เอาลงได้ไม่สุด
ห้องโดยสารด้านหน้า
ตัวเบาะโอบเยอะ แต่ใหญ่ ทำให้ตัวผมแม้ว่าจะอ้วนก็หลวมอยู่เหมือนกันครับ แต่ feeling ดีมาก ไม่นุ่มเกิน ไม่แน่นเกิน พอดีเลย
หัวหมอนกดลายมาให้เลย ไม่ต้องเป็น option จ่ายตังเพิ่มแบบ Porsche
ข้างหลังนั้น ตัวเบาะนั่นสบาย เอนตัวใช้ได้ หัวเหลือพื้นที่ (ผม 175 cm) ไม่มีปัญหาเลย ปัญหาไปอยู่ที่ขาหมด legroom ไม่ต่างอะไรกับ 3-series เลย
เรามาลงรายละเอียดข้างในกัน ปกติผมชอบรถที่ปุ่มเยอะๆ แต่เจอคันนี้ผมว่า แม้ปุ่มจะไม่เยอะแต่ก็ดูเรียบ เรียบแบบดูดีมาก การออกแบบนี่ยกให้อตาลีเค้าล่ะ
อ้อ ส่วนเรื่องคุณภาพภายในนั้น ผมบอกเลยว่าการประกอบและวัสดุดีกว่า Porsche ครับผม
ขอไปดูข้างบนกันก่อน เปิดไปไฟ และ sunroof ครับ
และที่ชอบมากคือ หลังคาทั้งคันบุด้วย alcantara ครับ
พวงมาลัย.... ใหญ่ มีปุ่มควบคุม criuse control, จอกลางหน้าปัด และก็ voice command ครับ
อ่าว เครื่องเสียงล่ะ? มันซ่อมอยู่ครับ อยู่ด้านหลังพวงมาลัยครับ เวลาจับแล้วจะอยู่ตรงนิ้วพ ข้างซ้ายเป็น track ขวาเป็น volume
หน้าจอสามารถแสดง ความเร็ว digital, ข้อมูลการขับขี่และการประหยัดน้ำมัน realtime วิ่งๆ ลมยาง realtime อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์, เครื่องเสียง,
และ navigation และอื่นๆอีกมากมาย
คันนี้ผมสั่ง option พิเศษที่าป็น Carbon Fibre Trim ครับ ราคาก็แสนนึงพอดี มี 5 ชิ้น ตรง console กลาง และข้างประตูทั้ง 4 แต่มันคุ้มมากกก (ลายไม้แก่)
Carbon Trim ด้านข้างครับ
เกียร์ไฟฟ้า มันไม่ make sense เท่าของเยอรมันตรงที่มันมี P ด้วยนี่แหละ ทำให้มันต้องนับ lock เอา มีเปลี่ยนพลาดบ้างเหมือนกัน คันนี้เป็น 8-speed ครับ
แต่แผงที่ชอบที่สุดคืออันนี้ครับ
กดรูปโช๊คนั่นก็จะหนึบ แต่กด Sport นี่สิ มันปรู๊ดปร๊าดได้ใจเลย ดึงทีล่ะหน้าหงาย แถมเพิ่มเสียงโวยวายในแบบที่ diesel คันอื่นไม่มีแน่นอน
(ไม่ใช่แบบกระบะดันงนะ = =") มันจะคล้ายๆกับพวก muscle car อยู่พอสมควรครับ ทุ้มต่ำ เดี๋ยวว่าเรื่องรายละเอียดทีหลัง
ส่วน I.C.E นั่นคือ Increased Control and Efficiency ครับ feel เดียวกับ Eco Pro Mode ของ BMW หน่วงกันเลยทีเดียว
ขึ้นมาดูตรงกลาง พบกับจอสารพัดประโยชน์ที่ทำหน้าที่ทุกอย่างแทนปุ่มที่หายไป
เครื่องเสียง เบาะปั่นตด ม่านไฟฟ้าหลัง navigation (เป็นของ Garmin ครับ และมี map ไทยให้เรียบร้อยครับ สุดยอดมาก ปรบมือ) โทรศัพท์ และการตั้งค่ารถอยู่ตรงนี้หมดเลย
ส่วนปุ่ม volume และเปิดปิดเครื่อเสียงยังมีอยู่เป็น physical ครับ แหงล่ะ
ยังดีที่มีแผง climate control แยกมาให้เป็น physical ไม่งั้นแย่เลย
นี่ก็นาฬิกาเอกลักษณ์เค้าล่ะ รีรี
เวลากลางคืนสวยมากกกกครับ
มาพร้อมเก๊ะหน้าที่ใส่อะไรแทบไม่ได้จริงๆ ใส่เล่มน้ำตานั่นยังงอ มีไว้ทำไม = ="
และกระจกมองหลังหน้าตา... ไม่ค่อยจะไหว แต่ใช้งานได้ดี
สุดท้ายผมมั่นใจเข้า CTS เหมือนทุกคันครับ (ไม่ได้ค่าโฆษณานะ แค่ชอบเป็นการส่วนตัว ไม่ได้อะไรกับเค้าหรอก)
ตามมาด้วยเรื่องการขับขี่ดีกว่าครับ
เริ่มจากเครื่องกันก่อนเลย เป็นเครื่อง diesel 3000 cc turbo ที่แรงที่สุดเท่าที่เคยขับมาครับ แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าคันเร่งไม่ตแบสนองไวเท่าของ BMW กับ Porsche แต่ก็ยังไวกว่า Mercedes อย่างรู้สึกได้ เหมือนอยู่ตรงกลางพอดี พอ boost มาเท่านั้นแหละ หน้าหงายทีเดียว ซึ่งตาม spec แล้วคันนี้สามารถทำ 0-100 ได้ในเวลา 6.3 วินาทีครับ
เวลาเร่งเสียงถือว่าความเป็น diesel น้อยมาก ซึ่งสำหรับ Ghibli และ Quattroporte 3.0 Diesel ทั้งคู่จะมีสิ่งที่เรียกว่า sound actuator มาให้ ซึ่งผมไม่ทราบหลักการทำงานของอุปกรณ์ที่ส่า แต่มันจะช่วยทำให้เสียงดีเซลเพราะขึ้น ทั้งภายนอกและภายในครับ สำหรับเสียงนั้นผมขออนุญาติยืมมาจาก YouTube แล้วกันนะครับ
จะสังเกตได้ว่า ช่วงหลังของคลิปเสียงจะดังขึ้นอย่างชัดเจน นั่นคือเปิด Sport mode ครับ เป็นหนึ่งในลูกเล่นที่ทำให้รถไม่น่าเบื่อ ขับแล้วฟังเสียงเพลินกันเลยทีเดียว
ช่วงล่างค่อนข้างน่าประทับใจ อย่างที่กล่าวไว้ว่าที่บ้านค่อนข้างขับเร็ว ช่วงล่างคันนี้ไม่ใช่ถุงลมนะครับ แต่เป็น strut ปรับไฟฟ้า ทำให้ผม happy กว่าช่วงล่างของ S-Class เยอะมากทีเดียว นุ่มแหละหนึบ ส่วนถ้ากดปุ๊มรูปโช๊คแล้วก็จะทำให้ช่วงล่างแข็งขึ้นอย่างชัดเจนมากแทบจะคนละคันกันเลยครับ ซึ่งเค้าโค้งไดก้สนุกมาก มีเท่าไหร่ใส่เลย ด้วยความที่รถอ้วนอยู่แล้ว ฐานล้อกว้าง เอาอยู่ครับ เบรคหน้าข้างละ 6-pot แตะนิดก็หน้าทิ่มแล้วครับ
feeling ของพวงมาลัยนั้นค่อนข้างจะเป็นรถ GT จ๋าเลย คือไม่วูบวาบ ไม่ไวเหมือนรถ sport ออกหนืดเล็กน้อยให้ความรู้สึกมั่นใจและพร้อมขับไกลๆสบายๆครับ โดยตัวพวงมาลัยค่อนข้างใหญ่ทีเดียว และมี paddle shift อยู่ที่คอพวงมาลัยขนาดเขื่อง feeling ดีมาก เป็นโลหะครับ
เรื่องความประหยัดนั้น ผมขอยึดตามหน้าจอบอกข้อมูลของตัวรถนะครับโดยเท่าที่ขับมาจะแบ่งเป็นตามนี้ครับ
ขับแบบปกติ ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆของผมคือไม่ช้า แต่ไม่เหยียมเต็มตีนตลอด เร่งบ้างตามจังหวะแซง จะอยู่ราวๆ 9l/100km ครับ หรือประมาณ 11km/l แต่ถ้าอยากซิ่ง กด Sport เยียบมิด เล่นทั้งทาง ปาดไปทั่วล่ะก็ จะได้ประมาณ 12l/100km หรือ 8km/l ครับ ส่วนถ้าตั้งใจขับประหยัดจริงๆ เน้นไหล เร่งน้อย ชิวๆเรื่อยๆ เท่าที่ทำได้มากสุดคือ 6.2l/100km (16km/l) อันนี้คือโคตรตั้งใจเลยครับ แต่ถ้าเอาแบบขับประหยัดชิวๆธรรมดา ไม่คิดมาก ไม่พยายามมองหน้าปัดคุมตัวเลขแล้วก็ได้ 7.5l/100km หรือ 13km/l ครับ ถือว่าประทับใจสำหรับรถระดับนี้นะครับ (Cayenne S Hybrid ไม่มีทางทำได้ครับ 555)
แต่ถ้าให้พูดว่าชอบ feeling การขับคันนี้ไหม ผมตอบว่าไม่ทั้งหมด บอกว่าอยากได้เครื่องคันนี้ไปใส่ใน BMW E90 ดีกว่าครับ 555 อาจจะเพราะผมชอบขับมุดในเมืองด้วย แต่ถ้าขับทางไกลหรือรถโล่ง คันนี้ก็เหมาะมากครับ
ถ้าเทียบกับ 5-series, E-Class ล่ะ ไม่ทราบครับ ผมไม่ได้ขับ E-Class ตั้งแต่ขายไปเมื่อ 5 ปีก่อน แต่เรื่องความ premium ก็คนละระดับแน่นอน
และแน่นอนครับ ไม่มีรถคันไหนดีไปทุกเรื่อง เรามาดูข้อด้อยกันบ้าง
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องของเรื่องจุกจิกและการใช้งานครับ แต่หลักๆเลยคือเกียร์ เกียร์ในช่วงความเร็วต่ำ เวลาเร่งแล้วปล่อยคันเร่งจะค่อนข้างกระชากและกระตุก เหมือนกับรถมีอาการฮึดฮัดอยากไปอะไรประมาณนั้น ไม่ค่อยจะเป็นผู้ดีเท่าไหร่ ขับให้นิ่มนั่งสบายในรถติดอยากมากครับ ขับเองยังปวดหัวได้เลย 555 นอกจากนั้นยังมี logic แปลกๆของคนอิตาเลี่ยน เช่น
- Parking Sensor ที่แทบจะปิดเสียงเพลง (อันนี้ไม่เท่าไหร่) แต่ที่แย่สุดๆคือเวลาคุยโทรศัพท์เราแทบจะไม่ได้ยินคู่สนทนาเลยเพราะมันลดเสียงเกือบหมด ไม่สะดวกสำหรับผมเท่าไหร่ครับ โดยเวลา parking sensor ทำงานก็มีขึ้นในจอหน้าปัดด้วยครับ
- สมมติถ้าเราอยู่เกียร์ D อยากขึ้นไป N ปกติแล้วคันอื่นๆแค่ดันขึ้นไม่ต้องกดปลดล๊อค แต่คันนี้ต้องครับ แต่มันไมใช่แค่นั้น เพราะถ้าเราไม่กดแล้วดันขึ้น มันจะกลายเป็น manual mode ครับ แต่ถ้าจะขึ้นไป R นี่ยากกว่า เพราะคุณต้องนับ 1-2-3 โอเคพอ ไม่งั้นมันจะเลยไป P หรือถ้าน้อยไปนิดก็อยู่ N อันนี้เกียร์ไฟฟ้าของ Mercedes กับ BMW เวิร์คกว่า้เยอะครับ
- การที่จอ touchscreen ใหญ่มาก แต่กลับแสดงข้อมูลอะไรเกี่ยวกับตัวรถไม่ได้เลย แม้แต่เรื่องการใช้เชื้อเพลิง ทุกอย่างไปอยู่ที่คนขับ แถมผมยังคิดว่าการใช้งานแบบ i-Drive หรือ COMAND นั้ง่ายกว่ามาก เพราะเราสามารถจดจ่อที่ถนนมากกว่าแล้วใช้ sense นับ lock เอาแล้วหมุนปุ่มในตำแหน่งที่มือเราไปอยู่แถวนั้นอยู่แล้ว แต่อันนี้มองอย่างเดียวครับ
- เวลาเปลี่ยน mode ระหว่าง radio กับ iPod volume เสียงต่างกันมากครับ ตกใจเรื่อยเลย
- เปิดไฟเลี้ยวไว้นานๆ มันมีบ่นด้วย!
- เปิดไฟหรี่ไม่ด้ายยยย
- ถ้าคนนั่นไม่รัดเข็มขับ ขับออกไปปุ๊บ แม้ว่าความเร็วต่ำก็โวยวายทันที
- คิดไม่ออกและ 555 เดี๋ยวถ้าเจออะไรไม่ make sense อีกจะเอามา update ให้ครับ
สรุป:
ข้อดี - ขับสนุก รอ boost นิดเดียวแล้วเตรียมหน้าหงาย ได้ brand ชั้นดีในราคา premium และที่แน่ๆจอกพื้นแดง Paragon ได้ครับ 555 และที่แน่ๆ สวย
ข้อเสีย - เกียร์กระตุก อ้วน feeling รถหนักเล็กน้อย ที่้เหลือไม่มีอะไรไม่ดี แต่เรียกว่าไม่ดีที่สุด
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านครับ
ขอปิดท้ายด้วยภาพตอนกลางคืนแล้วกันครับ (ภาพเน่าครับ ไม่มีขาตั้ง)