ผู้เขียน หัวข้อ: ‘บิ๊กตู่’ชงแก้น้ำหนักปิกอัพ... ลุ้นปลดล็อคพลิกโฉมอุตฯ  (อ่าน 12180 ครั้ง)

ออฟไลน์ Koong

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 992
ออกกฎเพิ่มน้ำหนักแล้วตัวรถไม่จำเป็นต้องโตขึ้น ของแบบนี้มันไปทีล๊ะสเต๊ปลองสเต๊ปแรกผ่านได้สเต๊ปกระบะไซค์ใหญ่ผลิตตามก็มีตามมาอีกฉ๊อต อยู่แล้ว ของแบบนี้หลับตาก็เห็นภาพแล้ว
ออกกฎเพิ่ม น้ำหนัก ผมว่าควรแยก ภาษีด้วยเป็น 2 แบบ อยากขับคันใหญ่ๆก็จ่ายค่าป้ายวงกลมต่อทะเบียนแพงขึ้นเป็นอีกแบบเอาเงินเข้าหลวง และควรเก็บภาษีเมื่อประกอบเสร็จแล้วขายด้วยให้แพงกว่า กระบะไซค์ปกติ
ทุกวันนี้ กระบะยกสูง เข้าซอยก็จะเบียดเข้าออกลำบากอยู่แล้ว
ที่จอดรถก็ไม่มีกันเอารถมาจอดในซอย เข้าออกก็ลำบาก
เวลาชนกันเกิดอุบัติเหตุ สมมุติชนกับรถเก๋ง รถเก๋งคงแย่ครับแบบนี้ถ้ากระบะคันโตกว่านี้อีก และเรื่องทัศนวิสัยบนท้องถนนด้วย ยิ่งคันโตขึ้น ผู้ร่วมใช้เส้นทางคงไม่ไหว ถนนหนทางยังคับแคบอยู่

แก้กฎเพื่ออะไร มีประโยชน์ตรงส่วนไหน กับสิ่งรอบด้านแล้วผลกระทบมีอะไร ต้องดูที่รายละเอียดปลีกย่อยด้วย การเอาใจผู้ผลิตอย่างเดียว กระทบถึงโครงสร้างของภาษีรึเปล่า
ที่ควรแก้ ควรห้ามรถบรรทุกใหญ่วิ่งทั่วประเทศตอนเทศกาล ใหญ่ๆเช่น ปีใหม่สงการณ์มากกกว่าเพราะทำให้ การจราจรติดขัด และ อาจเป็นต้นเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
ปีนึงหยุดวิ่ง ไม่กี่วัน บริษัทคงไม่จนลงไปกว่าเดิมแน่ๆ เหตุผลส่งสินค้าไม่ทัน อ้างไม่ขึ้น เพราะจัดระเบียบกับวันหยุดได้ ช่วงไหนจะห้ามวิ่ง ก็ เร่งก่อนหน้าได้
ปีนึงหยุดวิ่งไม่กี่วัน เพื่อ ส่วนรวม มองยังไงมันก็ดีกว่าเพื่อส่วนตัว ที่วิ่งกันตลอดทั้งปีเลย
กระบะไซค์ยักษมาเมื่อไหร่ เราๆก็คงเห็นกระบะล้อโตยกสูงยางเท่ารถสิบล้อ คันท่วมรถสิบล้อแหละครับท่านๆ  แล้วเวลาท่านๆไปเที่ยวเขา ถ้าเจอกระบะคันโตไซค์ยักษ์วิ่งคับเลนเป็นยังไงกันครับถ้าเกิดภายภาคหน้ามันมี  ขึ้นเขากันสบายมั้ย ถ้าขับตามท้ายรึอยู่หน้า
ผมโดยส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยเลยครับ ถนนเมืองไทยยังคับแคบอยู่ครับ และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ถนนก็ยังแคบอยู่ จะไปขยายถนนตามสถานที่ท่องเที่ยวก็คงไม่ได้แล้ว
อารยธรรมตะวันตกไม่จำเป็นต้องตามครับ  ถ้าจะตามควรปรับสิ่งที่ควบคู่ไปด้วย

ท่านซีเรียสเกินไปหรือเปล่าครับ   ตามความคิดผมนะ คือปัจจุบันนี้รถกระบะที่วิ่งๆกันอยู่นิ ก็น้ำหนักเกินกันทั้งนั้นอยู่แล้ว   ไอ้ครั้นจะบีบบังคับใช้กฎหมายให้ไปจดทะเบียนเป็นรถใหญ่กันหมดก็คงจะยาก    เขาก็เลยจะแก้กฎหมายเพื่อให้ภาคประชาชนสามรถปฎิบัติได้  และหลังจากนี้เมื่อ แก้กฎหมายให้แล้วก็คงไม่มีการผ่อนปรนอะไรให้อีกแล้ว...  ดังนั้นท่านไม่ต้องกังวลว่ารถกระบะมันจะคันใหญ่ไปกว่านี้  และตอนนี้ผมเริ่มได้ยินกระแสคนเริ่มเบื่อๆกระบะคันใหญ่กันบ้างแล้ว ผู้ผลิตคงไม่กล้าทำใหญ่กว่านี้แล้วหละ
แต่สิ่งที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบชัดเจนก็คือ  ภาคขนส่งที่คิดจะออกรถกระบะตอนเดียวมาส่งของ  จะเบนเข็มไปออกรถบรรทุก 4 ล้อแทน  ซึ่งเหมาะแก่การบรรทุกส่งของในเมืองมากกว่ารถกระบะ   (ข้อดีคือพื้นที่บรรทุกมากกว่า  ตัวรถสั้นกว่า  วงเลี้ยวแคบกว่า  คล่องตัวกว่า )

ประเด็นให้รถบรรทุกหยุดวิ่งวันหยุดเทศกาล   ผมว่าส่วนใหญ่เขาก็หยุดอยู่แล้วนะเพราะ ร.ง ต่างๆก็หยุด  แต่ภาคเกษตรภาคปศุสัตว์ ของพวกนี้เขาหยุดไม่ได้หรอกครับ  มันมีชีวิตมันเสียหายได้   ค้างส่งวันเดียวก็เน่าแล้วครับ และรถขนส่งพวกนี้เขาก็วิ่งอยู่  ตจว ของเขาอยู่แล้ว   คน กทม ต่างหากเอารถเก๋งไปวิ่งในเส้นทางประจำของเขาเอง แล้วมาบ่นให้เขาหยุดวิ่ง  ใครกันแน่ที่เห็นแก่ตัว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 07, 2014, 20:46:40 โดย Koong »

ออฟไลน์ JeansZ

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,239
    • อีเมล์
3.2 wildtrak หนัก​เกิน 2.2 ตันอีกครับ 2.2 ตันบางทีอาจไม่พอด้วยซ้ำครับ
Ford Fiesta 1.0 Ecoboost
Toyota Yaris 1.2

ออฟไลน์ Koong

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 992
3.2 wildtrak หนัก​เกิน 2.2 ตันอีกครับ 2.2 ตันบางทีอาจไม่พอด้วยซ้ำครับ

เสริมให้อีกนิดนึงครับ   กฎหมายนี้เฉพาะกระบะแค็ป กับรุ่นตอนเดียว หรือรถอะไรก็แล้วแต่ที่จะจดทะเบียนเป็นรถบรรทุกส่วนบุคคล (ป้ายเขียว)    แต่ถ้าเป็นกระบะ 4 ประตู จดเป็นรถนั่งส่วนบุคคลไม่มีน้ำหนักมาควบคุมครับ   เราเลยไม่เห็น  เรนเจอ กับ บีที ที่เป็นรุ่นแค็ป 4WD   ออกมาขาย

ข้อดีอีกข้อก็อยู่ตรงนี้แหละ ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น  ไม่ใช่มีแต่รุ่นยกสูงอย่างเดียว   มีรุ่น 4 WDให้เลือกด้วยโดยที่ตัวรถก็ไม่ได้ใหญ่หรือเกะกะมากกว่ารุ่นยกสูงธรรมดา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 07, 2014, 22:36:20 โดย Koong »

ออฟไลน์ top3245

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 466
ออกกฎเพิ่มน้ำหนักแล้วตัวรถไม่จำเป็นต้องโตขึ้น ของแบบนี้มันไปทีล๊ะสเต๊ปลองสเต๊ปแรกผ่านได้สเต๊ปกระบะไซค์ใหญ่ผลิตตามก็มีตามมาอีกฉ๊อต อยู่แล้ว ของแบบนี้หลับตาก็เห็นภาพแล้ว
ออกกฎเพิ่ม น้ำหนัก ผมว่าควรแยก ภาษีด้วยเป็น 2 แบบ อยากขับคันใหญ่ๆก็จ่ายค่าป้ายวงกลมต่อทะเบียนแพงขึ้นเป็นอีกแบบเอาเงินเข้าหลวง และควรเก็บภาษีเมื่อประกอบเสร็จแล้วขายด้วยให้แพงกว่า กระบะไซค์ปกติ
ทุกวันนี้ กระบะยกสูง เข้าซอยก็จะเบียดเข้าออกลำบากอยู่แล้ว
ที่จอดรถก็ไม่มีกันเอารถมาจอดในซอย เข้าออกก็ลำบาก
เวลาชนกันเกิดอุบัติเหตุ สมมุติชนกับรถเก๋ง รถเก๋งคงแย่ครับแบบนี้ถ้ากระบะคันโตกว่านี้อีก และเรื่องทัศนวิสัยบนท้องถนนด้วย ยิ่งคันโตขึ้น ผู้ร่วมใช้เส้นทางคงไม่ไหว ถนนหนทางยังคับแคบอยู่

แก้กฎเพื่ออะไร มีประโยชน์ตรงส่วนไหน กับสิ่งรอบด้านแล้วผลกระทบมีอะไร ต้องดูที่รายละเอียดปลีกย่อยด้วย การเอาใจผู้ผลิตอย่างเดียว กระทบถึงโครงสร้างของภาษีรึเปล่า
ที่ควรแก้ ควรห้ามรถบรรทุกใหญ่วิ่งทั่วประเทศตอนเทศกาล ใหญ่ๆเช่น ปีใหม่สงการณ์มากกกว่าเพราะทำให้ การจราจรติดขัด และ อาจเป็นต้นเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
ปีนึงหยุดวิ่ง ไม่กี่วัน บริษัทคงไม่จนลงไปกว่าเดิมแน่ๆ เหตุผลส่งสินค้าไม่ทัน อ้างไม่ขึ้น เพราะจัดระเบียบกับวันหยุดได้ ช่วงไหนจะห้ามวิ่ง ก็ เร่งก่อนหน้าได้
ปีนึงหยุดวิ่งไม่กี่วัน เพื่อ ส่วนรวม มองยังไงมันก็ดีกว่าเพื่อส่วนตัว ที่วิ่งกันตลอดทั้งปีเลย
กระบะไซค์ยักษมาเมื่อไหร่ เราๆก็คงเห็นกระบะล้อโตยกสูงยางเท่ารถสิบล้อ คันท่วมรถสิบล้อแหละครับท่านๆ  แล้วเวลาท่านๆไปเที่ยวเขา ถ้าเจอกระบะคันโตไซค์ยักษ์วิ่งคับเลนเป็นยังไงกันครับถ้าเกิดภายภาคหน้ามันมี  ขึ้นเขากันสบายมั้ย ถ้าขับตามท้ายรึอยู่หน้า
ผมโดยส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยเลยครับ ถนนเมืองไทยยังคับแคบอยู่ครับ และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ถนนก็ยังแคบอยู่ จะไปขยายถนนตามสถานที่ท่องเที่ยวก็คงไม่ได้แล้ว
อารยธรรมตะวันตกไม่จำเป็นต้องตามครับ  ถ้าจะตามควรปรับสิ่งที่ควบคู่ไปด้วย

เหตุผลที่ต้องแก้กฎหมายนี้ มันก็มีแจ้งไว้ชัดเจนในลิงค์นะครับ

ผมเดาว่าคุณคงอยู่ในเมือง

ที่ต่างจังหวัดส่วนมากชอบรถกระบะคันโตๆ ครับ
ผมเป็นคนต่างจังหวัดและอยู่ต่างจังหวัด เชื่อว่ากับรถขนาดแค่ 2.2 ตัน (ทุกวันนี้พวกรถกระบะในประเทศไทยจริงๆ แล้ว มันก็หนักกัน 2 ตัน กันแล้ว) แค่นี้ถนนต่างจังหวัดกว้างและมีที่พอให้วิ่งได้สบายๆ ครับ

ออฟไลน์ redtopup

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 167
    • อีเมล์
คัดมาบางตอน

 จากร่างแก้ไขปรับปรุงพ.ร.บ.รถยนต์ดังกล่าว...  จึงเสมือนเป็นการปลดล็อคปิกอัพไทย ซึ่งถูกคุมน้ำหนักไม่เกิน 1,600 กิโลกรัม มาตั้งแต่ปี 2522 หรือยาวนานถึง 35 ปี และเป็นประเด็นที่ค่ายรถผลักดันให้มีการแก้ไขมาตลอด เพราะปัจจุบันปิกอัพที่ผลิตในไทยมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการเพิ่มอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ยิ่งแข่งขันกันใส่เข้ามาให้มาก เพื่อเป็นจุดเด่นในการตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้า แต่ที่สุดจะติดตรงข้อจำกัดเรื่องน้ำหนักรถ
      
        ตามกฎหมายการที่รถจะขาย หรือจดทะเบียนได้ ต้องมีการรับรอง 2 ขั้นตอน อันดับแรกผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานมาตฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) และการทำแบบวิศวกรรมกับกรมการขนส่งทางบก ในเรื่องการตรวจสอบขนาด และเครื่องยนต์ของรถ โดยส่วนใหญ่จะมาตกม้าตายตรงในส่วนของน้ำหนักรถ
      
        จะว่าไปปิกอัพในไทยปัจจุบัน แทบจะไม่ผ่านพ.ร.บ.รถยนต์ ว่าด้วยเรื่องน้ำหนักรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล เหตุนี้จึงได้มีการงัดสารพัดวิธีเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย มีตั้งแต่ถอดอุปกรณ์มาตรฐานบางอย่างออก รวมถึงยางอะไหล่ ใส่น้ำมันเพียงนิดหน่อย ถอดเบาะ และอื่นๆ อีกมากมาย หรือไม่ถึงกับทำสเปกพิเศษ เพื่อมาชั่งน้ำหนักโดยเฉพาะ

 เรื่องนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกรมการขนส่งทางบก เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีพอสมควร บวกกับการมีนอกมีในระหว่างเจ้าหน้าที่และบริษัทรถ จึงไม่เข้าไปตรวจสอบรายละเอียดมากนัก และนี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญในการพยายามผลักดันปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับน้ำหนักรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
      
        ทั้งนี้หากห่างร่างพ.ร.บ.รถยนต์นี้ผ่าน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนในอุตสาหกรรมการผลิตปิกอัพอย่างมาก เนื่องจากปิกอัพจะมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากขึ้นได้ และสามารถจดทะเบียนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลได้ปกติ ทำให้เสียภาษีป้ายประจำปีสูงสุดประมาณ 1,000 บาท/ปี ขณะที่หากเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (เก๋ง) ต้องเสียภาษีอัตราก้าวหน้าตามขนาดความจุกระบอกสูบ (ซีซี) ทำให้ต้องจ่ายค่าภาษีป้ายทะเบียนหลายพันบาทต่อปี จึงไม่เป็นที่นิยมของผู้ซื้อปิกอัพ หรือหากจดทะเบียนเป็นรถบรรทุก จะติดเรื่องของเวลาการวิ่งในเมืองอีก
      
        ที่แน่ๆ ปิกอัพที่มีขนาดใหญ่ในปัจจุบัน อย่าง “มาสด้า บีที-50” และ “ฟอร์ด เรนเจอร์” จะสามารถปลดล็อคในส่วนของปิกอัพรุ่นมีแค็บ ให้วางจำหน่ายรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อได้ ซึ่งปัจจุบันไม่มีรถรุ่นย่อยนี้ทำตลาด เพราะติดข้อจำกัดน้ำหนักรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ปิกอัพรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ จึงมีขายเฉพาะรุ่นดับเบิ้ลแค็บ หรือปิกอัพ 4 ประตู ที่ตามกฎหมายต้องจดทะเบียนเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล หรือเก๋งเท่านั้น

 นอกจากนี้ในส่วนของปิกอัพรุ่นใหม่ๆ ที่จะออกมา อย่าง “โตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้” โฉมใหม่ ตามข่าวจะมีตัวถังขนาดใหญ่กว่าเดิมมาก หากร่างพ.ร.บ.รถยนต์ดังกล่าวผ่าน จะทำให้สามารถออกมาโดยไม่ต้องพะวงกับเรื่องน้ำหนัก รวมถึงอาจจะได้เห็นการกลับมาของปิกอัพ “เกีย เค2900” ที่หายไปจากตลาด เพราะไม่ผ่านเรื่องน้ำหนักรถ ต้องจดทะเบียนเป็นรถใช้งานบรรทุก ทำให้ติดปัญหาเรื่องเวลาของการวิ่งรถในเมือง เหมือนกับรถบรรทุกขนาดใหญ่ จึงไม่เป็นนิยมเหมือนในรุ่นเค2700 ที่ผ่านน้ำหนักมาตรฐาน 1,600 กิโลกรัม จึงสามารถใช้งานในเมืองได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นจุดขายของปิกอัพรุ่นนี้ในอดีต เช่นเดียวกับกลุ่มรถบรรทุกเล็กอย่าง “อีซูซุ เอลฟ์” ที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นในอนาคต
      
        สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดการพลิกโฉม และทำให้เกิดความก้าวหน้าทางนวัตกรรม รวมถึงสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมปิกอัพในไทย แต่มองในมุมกลับการปลดล็อครถที่มีขนาดใหญ่ ให้สามารถวิ่งได้ในเมืองใหญ่ ภาครัฐจะรับมือกับปัญหาการจราจรอย่างไร? ตรงนี้จะต้องเตรียมแก้ไขไว้ด้วยเช่นกัน!!




สำหรับผม
ส่งเสริมยอดขาย ออกมาเมื่อไหร่ รถ4ล้อเล็กกึ่งใหญ่บรรทุกของนั่นแหละครับจะไม่ติดเวลา
ทุกวันนี้ปิคอัพมันไม่ติดเวลา สร้างความแข็งแกร่งเพื่อให้ต่างชาติกอบโกยเงินไปมากๆมั้ง มองดูดีๆ ฝ่ายมีสินค้าในมือ ดันสุดตัว ทุกวันนี้สีล้อใหญ่หกล้อเล้กมันติดเวลา จะว่าไปแล้วคนที่ทำธุรกิจเวลาจะเอารถมาส่งของแน่นอนว่าต้องให้ตรงกับธุรกิจของตน จะ4 ล้อใหญ่รึหกล้อเล็กมันเปิดข้างได้ขนส่งสะดวก แต่ติดเวลา ก็เลยต้องจำยอมเอากระบะติดหลังคาสูงมาขนของ  
แล้วถ้าสี่ล้อใหญ่ไม่ติดเวลาการจราจรจะไม่โกลาหลรึครับ ความคล่องตัวนั้นน้อยกว่ากระบะปิคอัพแน่ๆ วงเลี้ยวนั้นกว้างกว่าปิคอัพอยู่แล้ว  เรื่องแบบนี้ต้องรอบครอบ ว่าส่งเสริมอะไร เรื่องล๊อคสเป็คนั้นมีอยู่แล้วครับ มันไม่ผ่านหลายหนมันมีเหตุผลในตัวมันเองอยู่แล้ว ถ้าร่างก็ต้องร่างให้ละเอียดไหนๆจะแก้ทั้งทีแล้ว  จะเจาะจงลงไปเป็นรุ่นๆรายๆไปเดี่ยวก็หาว่าเข้าข้างเป็นรายๆไปอีก เรื่องแบบนี้ต้องรอบครอบมากๆ ผู้ผลิตรายอื่นมีค้อนได้ แต่ที่สำคัยเลยรถติดยิ่งกว่าเดิมแน่ๆ

รถใหญ่ในที่นี้คือรถพ่วง เกษตรกรไม่มีผลกระทบหรอกครับ
เศรฐกิจวิ่ง เพราะมีการซื้อขาย แลกกันไปแลกกันมา ไปเที่ยวก็ต้องซื้อของกลับบ้าน ไม่มีใครที่เสียเปรียบต่างคนต่างได้ผลตอบแทนทั้งนั้น
ในโลกนี้ไม่มีใครไม่เห็นแก่ตัว
ภาคเกษตรกรนั้นเป็นหัวใจหลักของประเทศใครจะไม่รู้
รถบรรทุกผักหรืออื่นๆ โดยมากใช้ หกล้อและสิบล้อส่ง ช่วงเทศกาลนั้น ตลาดปิด
อาจจะออกกฎมาว่า ยกเว้น การบรรทุกสิ่งของแบบใดยกเว้น  แต่ก็คงยากมากๆ
บริษัทขนส่งใหญ่ๆนั้น น่าจะหยุดพวกรถพ่วงต่างๆ ผมหมายถึงสิ่งนี้  


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 07, 2014, 23:10:33 โดย redtopup »

ออฟไลน์ Arado_kung

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,070
    • อีเมล์
ออกกฎเพิ่มน้ำหนักแล้วตัวรถไม่จำเป็นต้องโตขึ้น ของแบบนี้มันไปทีล๊ะสเต๊ปลองสเต๊ปแรกผ่านได้สเต๊ปกระบะไซค์ใหญ่ผลิตตามก็มีตามมาอีกฉ๊อต อยู่แล้ว ของแบบนี้หลับตาก็เห็นภาพแล้ว
ออกกฎเพิ่ม น้ำหนัก ผมว่าควรแยก ภาษีด้วยเป็น 2 แบบ อยากขับคันใหญ่ๆก็จ่ายค่าป้ายวงกลมต่อทะเบียนแพงขึ้นเป็นอีกแบบเอาเงินเข้าหลวง และควรเก็บภาษีเมื่อประกอบเสร็จแล้วขายด้วยให้แพงกว่า กระบะไซค์ปกติ
ทุกวันนี้ กระบะยกสูง เข้าซอยก็จะเบียดเข้าออกลำบากอยู่แล้ว
ที่จอดรถก็ไม่มีกันเอารถมาจอดในซอย เข้าออกก็ลำบาก
เวลาชนกันเกิดอุบัติเหตุ สมมุติชนกับรถเก๋ง รถเก๋งคงแย่ครับแบบนี้ถ้ากระบะคันโตกว่านี้อีก และเรื่องทัศนวิสัยบนท้องถนนด้วย ยิ่งคันโตขึ้น ผู้ร่วมใช้เส้นทางคงไม่ไหว ถนนหนทางยังคับแคบอยู่

แก้กฎเพื่ออะไร มีประโยชน์ตรงส่วนไหน กับสิ่งรอบด้านแล้วผลกระทบมีอะไร ต้องดูที่รายละเอียดปลีกย่อยด้วย การเอาใจผู้ผลิตอย่างเดียว กระทบถึงโครงสร้างของภาษีรึเปล่า
ที่ควรแก้ ควรห้ามรถบรรทุกใหญ่วิ่งทั่วประเทศตอนเทศกาล ใหญ่ๆเช่น ปีใหม่สงการณ์มากกกว่าเพราะทำให้ การจราจรติดขัด และ อาจเป็นต้นเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
ปีนึงหยุดวิ่ง ไม่กี่วัน บริษัทคงไม่จนลงไปกว่าเดิมแน่ๆ เหตุผลส่งสินค้าไม่ทัน อ้างไม่ขึ้น เพราะจัดระเบียบกับวันหยุดได้ ช่วงไหนจะห้ามวิ่ง ก็ เร่งก่อนหน้าได้
ปีนึงหยุดวิ่งไม่กี่วัน เพื่อ ส่วนรวม มองยังไงมันก็ดีกว่าเพื่อส่วนตัว ที่วิ่งกันตลอดทั้งปีเลย
กระบะไซค์ยักษมาเมื่อไหร่ เราๆก็คงเห็นกระบะล้อโตยกสูงยางเท่ารถสิบล้อ คันท่วมรถสิบล้อแหละครับท่านๆ  แล้วเวลาท่านๆไปเที่ยวเขา ถ้าเจอกระบะคันโตไซค์ยักษ์วิ่งคับเลนเป็นยังไงกันครับถ้าเกิดภายภาคหน้ามันมี  ขึ้นเขากันสบายมั้ย ถ้าขับตามท้ายรึอยู่หน้า
ผมโดยส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยเลยครับ ถนนเมืองไทยยังคับแคบอยู่ครับ และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ถนนก็ยังแคบอยู่ จะไปขยายถนนตามสถานที่ท่องเที่ยวก็คงไม่ได้แล้ว
อารยธรรมตะวันตกไม่จำเป็นต้องตามครับ  ถ้าจะตามควรปรับสิ่งที่ควบคู่ไปด้วย

คุณควรจะรู้ด้วยว่าคนขับบรรทุกเบื่อช่วงเทศกาลที่สุด ขนาดเพิ่มค่าแรงพิเศษให้แล้วถ้าเลือกได้เค้าอยากนอนอยู่บ้านเฉยๆมากกว่า เอาง่ายๆนะครับ กทม.-เชียงใหม่ปกติใช้เวลาประมาณ 12-13 ชม. แต่พอเป็นช่วงเทศกาลซัดไปขั้นต่ำ 18 ชม. บางครั้งล่อไปวันนึงเต็มๆกว่าจะถึง และส่วนใหญ่รถบรรทุกที่วิ่งช่วงเทศกาลเป็นรถขนของไปรองรับพวกคนกรุงเทพที่ไปเที่ยวกันน่ะแหละ ลองไม่วิ่งดูสิ ได้มีรายการของหมดร้านแบบตอนน้ำท่วมปี54แน่นอน

ออฟไลน์ Destiny_gun

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 372
    • อีเมล์
เพื่อนผมทำอยู่บริษัท logistic เดี๋ยวนี้มีแหล่งกระจายสินค้าเยอะอยู่แล้วนะครับถ้าเป็นของกินของใช้ แล้วก่อนช่วงเทศกาลเค้าจะมีการเพิ่มสั่ง stock สินค้าอยู่แล้ว เค้ามีการคำนวณยอดอยู่ตลอดว่าต้องทำยังไง เผื่อเลี่ยงการขนส่งช่วงเทศกาลเนี่ยแหละครับ เพราะต้นทุนเพิ่มทั้งนั้น ของสดเดี๋ยวนี้บางที่มีห้องแช่เผื่อสต็อกเรียบร้อยแล้วนะครับ ยกเว้นของสดตามตลาดสดที่ส่งกันทุกวัน

ที่ปี 54 ของขาดเพราะน้ำท่วม ถนนหนทางมันขาดของเลยส่งไม่ได้รึเปล่าครับ แล้วเกิดการตุนสินค้าในระดับครัวเรือนอีก พวกตามห้างเค้ามีการเผื่อล่วงหน้าไปบ้างแล้ว แต่มันก็ไม่พอความต้องการอยู่ดี บางคนก็หัวหมอตุนสินค้าเอาไปขาย บางคนอาจจะเรียกว่าโอกาสทำเงิน ก็แล้วแต่จะคิด... แถมสินค้าบางอย่างโรงงานน้ำท่วมไปแล้ว ไม่ก็ระหว่างจุดกระจายสินค้าน้ำท่วมไปก่อน เลยเข้ามาส่งสินค้าไม่ได้

ออฟไลน์ Koong

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 992
เรื่องห้ามรถบรรทุกวิ่งในช่วงเทศกาล   จะบอกว่าถูกต้องที่เกษตรกรเขาไม่มีรถบรรทุกขนาดใหญ่   แต่เขาก็ได้รับผลกระทบไปด้วยอยู่แล้ว ในเมื่อพ่อค้าหรือคนที่จะมาซื้อของเขาไม่มา ขอเลื่อนไป อีก 3-4 วัน หลังจากนั้นของที่อั้นๆไว้ โดนกดราคาแน่นอน  ท่านๆ อาจจะไม่เห็นภาพ ขอยกตัวอย่างเช่น  เจ้าของบ่อเลี้ยงกุ้ง  เกิดกุ้งมีอาการจะน็อค ถ้าไม่จับวันนั้นก็ตายหมดบ่อ    เลี้ยงไก่  เลี้ยงหมูไว้ ถึงเวลารถเข้ามาจับไม่ได้  ค่าอาหรที่ต้องจ่ายต่อไปอีก 3-4 วันมันก็คือต้นทุนที่เพิ่มขึ้น    เลี้ยงไก่ไข่ ก่อนถึงวันหยุดบอกให้มันไข่วันละ 3 ฟองเพื่อตุนไว้มันได้ไหม พอถึงวันหยุดบอกมันไม่ต้องไข่ได้ไหม  
ถูกต้องภาคบริษัทใหญ่ทุนหนาสามารถตุนสินค้าไว้ได้ มีห้องเย็น  แต่พวกรายกลางรายย่อย  เขาทำแบบนั้นไม่ได้ทุกคนนะ
ก็ขอความเห็นใจกันด้วยครับ  วันหยุดเทศกาลใครๆเขาก็อยากหยุด ที่เห็นวิ่งๆกันคงไม่เอารถบรรทุกมาขับเที่ยวแน่นอน  เขาคงมีความจำเป็นจริงๆ  อย่าไปเหมาว่าเขาเห็นแก่ตัวเลยครับ

เรื่องรถบรรทุก 4 ล้อจะเพิ่มขึ้นจนทำให้รถติดใน ชม เร่งด่วน  ครับรถ 4 ล้อเพิ่มขึ้นแน่นอน แต่รถปิคอัพจะน้อยลง   อีกอย่างถ้าไม่จำเป็นเขาก็ไม่ออกมาวิ่งถันอยู่แล้วช่วงเวลาแบบนั้นน่ะ  แต่ถ้าใช้รถที่ไม่ติดเวลาได้มันก็จะดี บางครั้งเวลามันคาบเกี่ยวแค่ 10 นาที ออกมาไม่ทัน ทำให้ต้องเสียเวลาไปอีก 3-4 ชม  เจ้าของก็ต้องจ่ายค่าเสียเวลาให้คนส่งของไปอีห ต้นทุนเขาก็มาบวกในสินค้าที่เราซื้อนนั่นแหละ
      
อีกเรื่อง
 รถ 4 ล้อ ตัวรถยาว 4.5 เมตร  ช่วงล้อยาว 2.5 เมตร วงเลี้ยว 5.5 เมตร (อาจจะน้อยกว่านั้น)
รถกระบะยาว 5.2 เมตร  ช่วงล้อยาว 3.1-3.2 เมตร   วงเลี้ยว 6 เมตร
ถามว่ารถอะไรคล่องตัว และกินเนื้อที่น้อยกว่ากัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 09, 2014, 00:01:06 โดย Koong »

ออฟไลน์ Destiny_gun

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 372
    • อีเมล์
สอบถามเพิ่มเติมนิดนึงครับ พอดีวันนี้ผ่านโชว์รูม Kia เห็น Kia 2700 อยู่ แล้วจำได้ว่าเมื่อก่อนมี k2900 แต่ติดเรื่องน้ำหนักตอนหล้งเลยเลิกเอามาขาย Kia2700 ถือเป็นรถประเภทไหนครับ พอดีเห็นเข้าข่ายที่พูดถึงพอดี แต่ไม่เห็นมีคนใช้

ออฟไลน์ Koong

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 992
มันก็คือรถบรรทุก 4 ล้อนี่แหละครับ แต่เพราะมันคือ KIA ไงครับถึงแม้จะจดทะเบียนป้ายเขียวได้แต่ไม่มีใครซื้อ     รถประเภทนี้ซื้อมาใช้งานหนักวิ่งเยอะ ถ้าไม่ทนทาน อะไล่แพง หาอะไหล่ยาก ศูนย์บริการน้อย ก็ขายยาก