ปัญหามันมาจาก
1) ทุกวันนี้ Marketshare แต่ละยี่ห้อ มันสุดโต่งเกินไป
เอาตัวเลขหยาบๆ ตลาดรถบ้านเรา สัดส่วน รถเก๋ง : รถกระบะ = 50:50
ในรถกระบะ 2 เจ้าใหญ่สุด คือ Toyota กับ Isuzu ได้ไปฝ่ายละ 40 และ 40 เหลืออีก 20 แบ่งกันระหว่าง Nis , Mit , Chev , Ford , Maz
ในรถเก๋ง 2 เจ้าใหญ่สุด คือ To กับ Hon ได้ไปฝ่ายละ 40 และ 40 เหลืออีก 20 แบ่งกันระหว่าง Nis , Mit , Chev , Ford , Maz , Benz , BMW , ฯลฯ
Marketshare ตลาดรถ โดยรวม ได้เป็นว่า To = 40 , Is = 20 , Hon = 20
3 ค่ายใหญ่ กินไปแล้ว 80% เหลืออีก 20% แบ่งกันระหว่าง 10 กว่ายี่ห้อ
--> ไอ้รายใหญ่ ก็ใหญ่ซะ ไอ้รายเล็ก ก็เล็กแบบว่า...
คนทำศูนย์ 3 ค่าย จึงกำไรเพียบ แต่ค่ายที่เหลือ ได้ยอดขายน้อยมากๆ
(ดีลเลอร์โตโยต้าแห่งหนึ่ง มีศูนย์แค่ 2 ศูนย์ (ศูนย์ที่ 3 กำลังสร้าง)
ปีที่แล้ว กำไรก่อนจ่ายภาษี 70 กว่าล้านบาท จ่ายภาษีธุรกิจ 20 กว่าล้าน)
2) ลงทุนทำโชว์รูม
3 ยี่ห้อใหญ่ ชักจูงแนวคิดว่า ซื้อรถสักคัน โชว์รูมต้องใหญ่โต โอ่อ่า กว้างขวาง ห้องโชว์รถ เพดานต้องสูงเป็น 6 เมตร กระจกใสรอบด้าน แต่แอร์เย็นฉ่ำ
ศูนย์บริการ ต้องมีช่องจอดเยอะๆ มีศูนย์ซ่อมสีและตัวถังด้วย
ยี่ห้อเล็กๆ ที่เหลือก็มองตาปริบๆ แล้วคิดว่า ถ้าตูลงทุนแบบมัน แล้วตูจะคืนทุนเมื่อไหร่วะ ?
ผมไปต่างประเทศบ่อยๆ โชว์รูมรถในยุโรป ในเกาหลี เป็นแค่ห้องแถว หรือชั้นล่างของอาคารสำนักงานเองครับ เหอ เหอ
หลายๆ แห่ง อยู่นอกๆ เมืองหน่อย ลักษณะเหมือน อาคารชั่วคราวตามงานแสดงสินค้าแบบนั้นเลยครับ
(สี่เหลี่ยม ชั้นเดียว เพดานไม่สูง) ในอาคารมีรถไฮไลท์จอดซักคัน 2 คัน นอกนั้นที่เหลือ จอดอยู่ด้านหน้า รับแดดรับลมเย็นๆ นั่นแหละ
3) ราคาขายต่อ
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุหลัก และสาเหตุย่อยใดๆ มารวมกัน รถสำหรับคนไทย แพง - แพงมาก
คนไทยส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงราคาขายต่อไว้เป็นหัวข้อสำคัญข้อนึงของการพิจารณา
รถที่น่าสนใจ สมรรถนะรถ จะเด่น คุณภาพรถ จะสูง แค่ไหน แต่พอเห็นยี่ห้อ รู้ว่าราคาขายต่อจะตก / ขายยาก ก็เริ่มลังเล
พอหันไปดูยี่ห้อรถตลาดๆ ก็เห็นว่า เออ มันก็ด้อยกว่ากันนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้มากมาย แล้วมันก็ยังมีจุดเด่นบางด้าน ที่รถไม่ตลาด ยังสู้ไม่ได้
แล้วหันไปดูบนท้องถนน ก็เห็นมันมีวิ่งออกเยอะแยะ --> คิดเอาเองว่า มันก็คงใช้ได้ล่ะน่า ไม่งั้น มันคงไม่มีคนซื้อใช้กันต่อเนื่องแบบนี้
ไม่ต้องอะไรมาก มีหลายคน เคยลองซื้อรถไม่ตลาดไปใช้ ก็พบว่า เออ มันก็ดีนี่หว่า ไม่เห็นจะซ่อมแพง จุกจิกตรงไหน ใช้ๆ ไปก็ Happy
แต่พอถึงเวลาเริ่มเก่า จะเปลี่ยนรถใหม่ ตอนนั้นแหละถึงรู้ ถ้าเค้าไม่กดราคาแบบว่า รับไม่ได้ ก็บอกง่ายๆ เลยว่า รุ่นนี้ไม่รับซื้อ
4) พฤติกรรมคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเอง+ชอบออกความเห็นแทนคนอื่นด้วย
2 แรงบวก (แต่เป็นแรงต้านนะ) ทำให้ "ยอดขายที่น่าจะขายได้" ของรถไม่ตลาด ต้องลดเหลือแค่ "ยอดขายที่ขายได้จริง"
ทั้ง 4 ข้อ คงเป็นแค่ส่วนนึง เท่าที่มองเห็น จากฝั่งคนซื้อ (ไม่รวมฝั่งคนขาย ผู้ผลิต ไฟแนนซ์ ประกันภัย ของแต่ง อะไหล่ ฯลฯ)
ไม่รู้เหมือนกันว่า อะไรเกิดก่อน อะไรเกิดหลัง (เหมือน ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน) แต่รวมๆ แล้ว เหมือนเป็นวงจรอุบาทว์
รถยี่ห้อไม่ตลาด ถึงไม่มีวันจะได้เกิดสักที