ผู้เขียน หัวข้อ: พอดีไปเจอที่ศูนย์มาเลยจำมาฝากครับ ราคาโดยประมาณที่จะเพิ่มขึ้นในต้นปีหน้า  (อ่าน 10919 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ji.Cl.

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 680
    • อีเมล์
ผมคือหนึ่งในคนที่มีอคติต่อแบรนด์โตโยต้าในไทย (เฉพาะ TMT ใต้ปีกของประธานคนปัจจุบัน)

แต่ตัวเลขนี้ เขาไม่ได้โกหกหรือปั้นขึ้นมานะครับ ผมกดเครื่องคิดเลขตามแล้วเป็นเช่นนั้นจริงๆ

สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ มีแหล่งอ้างอิงจากเว็บไซต์กรมสรรพากร http://bta.excise.go.th/calculate_tax_car.php?calculate_id=0002

และเว็บผู้จัดการมอเตอริ่ง http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9490000064778

ใจความสำคัญคือ ภาษีสรรพสามิต ไม่ได้เรียกเก็บเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาดิบหน้าโรงงาน

แต่เป็นเปอร์เซนต์ของราคาสุกที่รวมภาษีตัวมันเองเข้าไปแล้ว

การคิดภาษีอย่างที่บางท่านในนี้ใช้ อาจจะคลาดเคลื่อนได้เยอะครับ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หลายๆ ท่านในนี้อาจจะทราบวิธีการคำนวณที่ถูกต้องจริงๆ ไปแล้ว แต่ผมขออนุญาตอธิบางตรงนี้สักเล็กน้อยนะครับ

เผื่อผมมีเข้าใจตรงไหนผิดพลาด ท่านสามารถแย้งได้เลยครับ เพราะผมก็ไม่ได้ทำงานหรือใช้ชีวิตเกียวกับการคำนวณภาษีส่วนนี้ อาจจะพลาดได้ครับ

ผมขอยกตัวอย่างเป็น Toyota Camry 2.5HV Premium นะครับ ซึ่งปัจจุบัน เสียภาษีที่พิกัด 10% และราคาขายปลีกอยู่ที่ 1,899,000 บาท

สมมติโดยคร่าวๆ นะครับ

ในจำนวนนี้ สมมติว่าเป็น Dealer Margin สัก 10% = 379,800 บาท

ดังนั้นราคารถที่แท้จริงคือ 1,899,000-379,800 = 1,519,200 บาท

ในจำนวนนี้ ให้แบ่งเป็น 107 ส่วนครับ

7 ส่วนแรก คือภาษีมูลค่าเพิ่ม

10 ส่วนต่อมา คือภาษีสรรพสามิต (ตามเรตของ Camry)

1 ส่วนต่อมา คือภาษีมหาดไทย เรียกเก็บ 1/10 ของภาษีสรรพสามิต

89 ส่วนที่เหลือ จึงจะเป็นราคาหน้าโรงงาน ซึ่งจะได้ว่าราคานี้อยู่ที่ (89/107)*1519200 = 1,263,634 บาท

(ประกอบไปด้วยต้นทุนทั้งหมด + กำไร + อากรนำเข้าเฉพาะชิ้นส่วนที่นำเข้า แต่ไม่จำเป็นต้องเจาะลงไปลึกกว่านี้ในการคำนวณราคาที่ภาษีใหม่)

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

แต่ด้วยอัตราภาษีใหม่ Camry ซึ่งปล่อยไอเสียประมาณ 120 (ในขณะที่ Accord 100 เดียว) จะเสียภาษีที่ 20%

โครงสร้างใหม่จึงเป็น

ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 ส่วน

ภาษีสรรพสามิต 20 ส่วน

ภาษีมหาดไทย 2 ส่วน

และราคาหน้าโรงงาน 78 ส่วน

ซึ่งเมื่อราคาหน้าโรงงานอยู่ที่ 1,263,634 บาทเท่าเดิม แต่อัตราส่วนของมันลดลงจาก 89 เหลือ 78 ส่วน

ดังนั้นเมื่อเทียบบัญญัติไตรยางค์ ราคาใหม่ (ไม่รวม Dealer Margin) จะอยู่ที่

1,263,634*(107/78) = 1,733,446 บาท

รวม Dealer Margin ที่ตัดไว้ตอนแรกกลับเข้าไปอีก 379,800 ก็จะได้ราคาขายปลีกใหม่ที่ 2.11 ล้านบาท

แพงกว่าเดิม 210,000 บาท ใกล้เคียงกับที่ระบุไว้ในแผ่นป้ายนี้ครับ

ปล. ใครจะลองทำตามสูตร ภาษีที่ให้ไว้ในลิงค์อ้างอิงดูก็ได้ครับ สูตรเขาให้ไว้ว่า

(ราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรม x อัตราภาษีสรรพสามิต)/( 1-(1.1x อัตราภาษีสรรพสามิต))

ลองดูเลยครับ ได้เท่ากัน (ปล. สูตรนี้มีแค่สรรพสามิตอย่างเดียวนะครับ อย่าลืมรวมมหาดไทยกับ VAT ด้วยนะครับ)

หรือจะลองเข้าเว็บผู้จัดการมอเตอริ่ง ดูตารางซึ่งเป็นสูตรสำเร็จก็ได้ครับ ว่าการขึ้นภาษีสัก 5 หรือ 10 เปอร์เซนต์

จะกระทบราคารถอย่างไร

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผมลองกดเครื่องคิดเลขกับ Vios และ Fortuner แล้ว พบว่า ได้ค่าใกล้เคียงกับที่เขาระบุครับ

ตัวเลขในป้ายนี้ไม่ได้มั่วครับ ไม่เหมือนมาสด้าในกระทู้ก่อน ที่เขียนเรตภาษีของรถที่ตัวเองขายยังไม่ถูกเลย

ถ้าโตโยต้าไม่ตัด Dealer Margin หรือหาวิธีอื่นช่วยดัมพ์ราคา จะเป็นตามนี้จริงครับ

สิ่งที่โตโยต้าควรถูกตำหนิ ไม่ใช่ตัวเลขบนแผ่นป้ายนี้ครับ ทุกท่านกรุณาพิจารณาส่วนนี้ด้วยครับ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เอาล่ะ ผมปกป้องโตโยต้าไปมากพอแล้ว ทีนี้ขอด่าบ้าง (เนื้อหาต่อจากนี้ เป็นโซนอคติส่วนตัว 555555)

สิ่งที่โตโยต้าควรถูกตำหนิมากที่สุดในความคิดของผม คือการไม่ยอมพัฒนารถตัวเองให้ทัดเทียมคู่แข่ง

จนส่งผลเสียมาหาผู้ซื้อต่างหากครับ

Vios รับเชื่อเพลิง E20 เสียภาษีปีหน้า 30% แต่ City เติม E85 ได้ เสียภาษี 25%

Camry Hybrid ปล่อย CO2 ประมาณ 120 (ตามคลับ) เสียภาษี 20% แต่ Accord Hybrid ปล่อย CO2 ประมาณ 100 เสียภาษี 10%

Fortuner ปล่อย CO2 ประมาณ 2xx เสียภาษี 30% แต่ Pajero Sport ปล่อยประมาณ 19x เสียภาษี 25%

ฯลฯ

ทำไม? ถึงไม่ยอมอัพสเปกของรถให้มันได้ภาษีขั้นที่ถูกกว่า

ทำไม? ผู้ซื้อจะต้องซื้อแพงขึ้นเพื่อให้ได้รถที่ดีเท่าเดิม ถ้าคุณพัฒนา

ราคารถคุณอาจจะสูง แต่เมื่อเรตภาษีต่ำกว่า ราคาสุทธิออกมาอาจจะออกมาเท่ากับที่คุณปล่อยเลยตามเลยแบบที่คุณทำอยู่นี้ก็เป็นได้ครับ

ออฟไลน์ neung23

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,662
ต่อให้ตามนี้จริงๆ ค่ายรถคงต้องมีวิธีลดมันลงล่ะคับ ปรับสเป็ค ลดมลภาวะให้ได้เรทถูกลง ฯลฯ แพงแบบนี้ผมคนนึงล่ะรับไม่ได้ รถญี่ปุ่นเกรดปกติ2ล้าน -*-

เคยออกคัมรี่สิบปีที่แล้ว 1.6 ล้านว่าโคตรแพงแล้ว ขับได้เดือนนึงแทบจะอยากขายทิ้ง ไม่สมราคาอย่างแรง แต่รุ่นใหม่ๆเข้าใจว่าดีขึ้นเยอะ แต่ผมเข็ด ขยาด มาก ยอมซ่อมรถยุโรปเก่าๆดีกว่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 20, 2015, 02:48:36 โดย neung23 »
2013 W204 C250 AMG Plus
2011 Prius
2010 X5 xDrive 4.8i
2003 E39 523i Sport

ออฟไลน์ musicman1892

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 170
รุ่นล่างๆไม่เท่าไหร่รุ่นใหญ่ๆนี้ขึ้นเอาซะเกือบล้าน

ออฟไลน์ YenChar

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,179
ขู่ให้กลัว

ถึงเวลา บ.รถนั่นแหละที่ต้องยอมลด Margin เอง
เค้าไม่ผลักต้นทุนทั้งหมดไว้ที่ราคาขายหรอกครับ

ประเด็นคือ ทำไมดีลเลอร์ถึงเล่นการตลาดแบบนี้
ถ้าปีหน้า ราคาไม่เป็นแบบที่ประกาศ ตัวเองนั่นแหละที่เสียเครดิต

ต่อไป ตลาดการเงิน สินเชื่อรถยนต์ดิ้นกันพล่านแน่ๆ ทุกวันนี้ขายไม่ได้อยู่แล้ว
ประกัน ทุนประกัน เบี้ยประกัน คงขยับขึ้นไปหมด

ตกลง ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแน่หรือเปล่า ของมีแต่จะแพงขึ้น เศรษฐกิจกับสิ่งแวดล้อม มันไปด้วยกันไม่ได้
ทุกวันนี้ จริงจังกันแค่ไหนกับมลภาวะ ไม่ใช่มาบีบกับโรงงานและรถป้ายแดงอย่างเดียว

ออฟไลน์ w212cdi

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 718
alphard บวก 7 แสน !!! 

บวกให้จริงเหอะ งานนี้ grey ยิ้มแก้มปริ tmt ส่งลุกค้ามาให้อีก

ออฟไลน์ Slipknot`

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 21,866
  • *** HLM.COM ***

ออฟไลน์ SM.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 27,431
รอประกาศอย่างเป็นทางการดีกว่าครับ

ออฟไลน์ bojung

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 379
แคมรี่กับไฮบริดน่ากลัวมาก
ส่วนรีโว่ดูแล้วไม่ปรับขึ้นเยอะ เพราะว่าขนาดเครื่องลดลงแล้ว และผ่านมาตรฐานยูโร 5 ส่วนลดเงินสดผมว่าปีหน้าอาจจะลดเพิ่มอีกนะ กระตุ้นตลาดอีก
ส่วนพวกรถอีโคคาร์ก็ดูไม่น่าปรับขึ้นเยอะ
แต่ที่ผมทราบข่าวมาก็คือ โรงงานเร่งผลิตรถภายในปีนี้ เพราะเขาคิดภาษีในปีที่รถถูกประกอบ นั้นหมายความว่ารถที่ผลิตในปีนี้ยังคงภาษีเดิม แล้วเอาไปขายปีหน้าโดยไม่แน่ใจว่าเขาจะตั้งราคาบวกภาษีหรือไม่ อาจจะไม่บวกครับ เพื่อความได้เปรียบในราคารถที่ขายราคาเดิม

ออฟไลน์ 6162002

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,089
ผมคือหนึ่งในคนที่มีอคติต่อแบรนด์โตโยต้าในไทย (เฉพาะ TMT ใต้ปีกของประธานคนปัจจุบัน)

แต่ตัวเลขนี้ เขาไม่ได้โกหกหรือปั้นขึ้นมานะครับ ผมกดเครื่องคิดเลขตามแล้วเป็นเช่นนั้นจริงๆ

สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ มีแหล่งอ้างอิงจากเว็บไซต์กรมสรรพากร http://bta.excise.go.th/calculate_tax_car.php?calculate_id=0002

และเว็บผู้จัดการมอเตอริ่ง http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9490000064778

ใจความสำคัญคือ ภาษีสรรพสามิต ไม่ได้เรียกเก็บเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาดิบหน้าโรงงาน

แต่เป็นเปอร์เซนต์ของราคาสุกที่รวมภาษีตัวมันเองเข้าไปแล้ว

การคิดภาษีอย่างที่บางท่านในนี้ใช้ อาจจะคลาดเคลื่อนได้เยอะครับ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หลายๆ ท่านในนี้อาจจะทราบวิธีการคำนวณที่ถูกต้องจริงๆ ไปแล้ว แต่ผมขออนุญาตอธิบางตรงนี้สักเล็กน้อยนะครับ

เผื่อผมมีเข้าใจตรงไหนผิดพลาด ท่านสามารถแย้งได้เลยครับ เพราะผมก็ไม่ได้ทำงานหรือใช้ชีวิตเกียวกับการคำนวณภาษีส่วนนี้ อาจจะพลาดได้ครับ

ผมขอยกตัวอย่างเป็น Toyota Camry 2.5HV Premium นะครับ ซึ่งปัจจุบัน เสียภาษีที่พิกัด 10% และราคาขายปลีกอยู่ที่ 1,899,000 บาท

สมมติโดยคร่าวๆ นะครับ

ในจำนวนนี้ สมมติว่าเป็น Dealer Margin สัก 10% = 379,800 บาท

ดังนั้นราคารถที่แท้จริงคือ 1,899,000-379,800 = 1,519,200 บาท

ในจำนวนนี้ ให้แบ่งเป็น 107 ส่วนครับ

7 ส่วนแรก คือภาษีมูลค่าเพิ่ม

10 ส่วนต่อมา คือภาษีสรรพสามิต (ตามเรตของ Camry)

1 ส่วนต่อมา คือภาษีมหาดไทย เรียกเก็บ 1/10 ของภาษีสรรพสามิต

89 ส่วนที่เหลือ จึงจะเป็นราคาหน้าโรงงาน ซึ่งจะได้ว่าราคานี้อยู่ที่ (89/107)*1519200 = 1,263,634 บาท

(ประกอบไปด้วยต้นทุนทั้งหมด + กำไร + อากรนำเข้าเฉพาะชิ้นส่วนที่นำเข้า แต่ไม่จำเป็นต้องเจาะลงไปลึกกว่านี้ในการคำนวณราคาที่ภาษีใหม่)

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

แต่ด้วยอัตราภาษีใหม่ Camry ซึ่งปล่อยไอเสียประมาณ 120 (ในขณะที่ Accord 100 เดียว) จะเสียภาษีที่ 20%

โครงสร้างใหม่จึงเป็น

ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 ส่วน

ภาษีสรรพสามิต 20 ส่วน

ภาษีมหาดไทย 2 ส่วน

และราคาหน้าโรงงาน 78 ส่วน

ซึ่งเมื่อราคาหน้าโรงงานอยู่ที่ 1,263,634 บาทเท่าเดิม แต่อัตราส่วนของมันลดลงจาก 89 เหลือ 78 ส่วน

ดังนั้นเมื่อเทียบบัญญัติไตรยางค์ ราคาใหม่ (ไม่รวม Dealer Margin) จะอยู่ที่

1,263,634*(107/78) = 1,733,446 บาท

รวม Dealer Margin ที่ตัดไว้ตอนแรกกลับเข้าไปอีก 379,800 ก็จะได้ราคาขายปลีกใหม่ที่ 2.11 ล้านบาท

แพงกว่าเดิม 210,000 บาท ใกล้เคียงกับที่ระบุไว้ในแผ่นป้ายนี้ครับ

ปล. ใครจะลองทำตามสูตร ภาษีที่ให้ไว้ในลิงค์อ้างอิงดูก็ได้ครับ สูตรเขาให้ไว้ว่า

(ราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรม x อัตราภาษีสรรพสามิต)/( 1-(1.1x อัตราภาษีสรรพสามิต))

ลองดูเลยครับ ได้เท่ากัน (ปล. สูตรนี้มีแค่สรรพสามิตอย่างเดียวนะครับ อย่าลืมรวมมหาดไทยกับ VAT ด้วยนะครับ)

หรือจะลองเข้าเว็บผู้จัดการมอเตอริ่ง ดูตารางซึ่งเป็นสูตรสำเร็จก็ได้ครับ ว่าการขึ้นภาษีสัก 5 หรือ 10 เปอร์เซนต์

จะกระทบราคารถอย่างไร

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผมลองกดเครื่องคิดเลขกับ Vios และ Fortuner แล้ว พบว่า ได้ค่าใกล้เคียงกับที่เขาระบุครับ

ตัวเลขในป้ายนี้ไม่ได้มั่วครับ ไม่เหมือนมาสด้าในกระทู้ก่อน ที่เขียนเรตภาษีของรถที่ตัวเองขายยังไม่ถูกเลย

ถ้าโตโยต้าไม่ตัด Dealer Margin หรือหาวิธีอื่นช่วยดัมพ์ราคา จะเป็นตามนี้จริงครับ

สิ่งที่โตโยต้าควรถูกตำหนิ ไม่ใช่ตัวเลขบนแผ่นป้ายนี้ครับ ทุกท่านกรุณาพิจารณาส่วนนี้ด้วยครับ



เอาแบบใช้แค่ความรู้เด็กมัธยมเลยนะครับ ขี้เกียจพิมพ์ยาว

ราคาเต็มรถ รวมทุกอย่าง 1.9 ล้าน   ต่อให้เพิ่ม 10% จากราคาป้ายเลย  ยังเพิ่มแค่ 190,000 บาท
แต่นี่มันไม่ได้คิดจากราคาป้าย คุณบอกว่าเพิ่ม 10% แต่ราคาเพิ่ม 210,000 บาท

ดูแค่นี้มันก็เป็นไปไม่ได้แล้วครับ แต่ขอไม่อธิบาย ลองกลับไปดูสูตรเองครับ

ออฟไลน์ Ji.Cl.

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 680
    • อีเมล์
เอาแบบใช้แค่ความรู้เด็กมัธยมเลยนะครับ ขี้เกียจพิมพ์ยาว

ราคาเต็มรถ รวมทุกอย่าง 1.9 ล้าน   ต่อให้เพิ่ม 10% จากราคาป้ายเลย  ยังเพิ่มแค่ 190,000 บาท
แต่นี่มันไม่ได้คิดจากราคาป้าย คุณบอกว่าเพิ่ม 10% แต่ราคาเพิ่ม 210,000 บาท

ดูแค่นี้มันก็เป็นไปไม่ได้แล้วครับ แต่ขอไม่อธิบาย ลองกลับไปดูสูตรเองครับ
ต้องขออภัยครับ ผมอาจจะพูดเข้าใจยากไป เอางี๊ สมมติว่าเรตภาษีอยู่ที่ 40 เปอร์เซนต์

คำว่า ภาษี 40 เปอร์เซนต์ ของหลายคน คือ เอาราคาโรงงานมา x 1.4 ก็จะได้ราคารวม

แต่สิ่งที่ผมอธิบาย คือให้เอาราคารถมาหาร 0.6 ซึ่ง ถ้าเป็นเช่นนี้ รถราคาหนึ่งล้าน ก็จะขึ้นเป็น 1/0.6 = 1.67 ล้าน

แล้วถ้าภาษีขึ้นจาก 40 เป็น 50 โดยที่ราคาโรงงานหนึ่งล้านเท่าเดิมล่ะครับ? ราคาใหม่ก็จะเป็น 1/0.5 = 2 ล้าน

ส่วนต่าง 3 แสนกว่า คิดเป็นเกือบๆ 20 เปอร์เซนต์ของราคาป้ายเดิม ทั้งๆ ที่เรตภาษีเพิ่มแค่ 10 เปอร์เซนต์

เพราะฉะนั้น สิบเปอร์เซนต์แต่ขึ้น 210,000 ในคัมรี่เป็นไปได้เช่นกันครับ แนวคิดผมคือเปลี่ยนจากคิดแบบคูณมาคิดแบบหาร

สูตรในเว็บที่ผมอ้างอิงก็บอกไว้ชัดเจนว่าคิดแบบนั้น เว็บผู้จัดการมอเตอริ่งที่ยกตัวอย่างไว้เป็นขั้นๆ ขั้นละ 5%

แต่ลองเทียบสัดส่วนราคาสุทธิดูครับ ว่าได้ 5% ไหม แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่ได้ทำงานหรือเรียนใกล้ชิดภาษีตัวนี้ ศึกษาเองตามความสนใจน่ะครับ

ผมก็รู้ไม่ลึกไปกว่าที่พิมพ์ ผมอยากให้ท่านแชร์วิธีการคิดภาษีของท่านนะครับ ก็รบกวนชี้แนะด้วยเช่นกัน ผมอาจจะหัวแข็งไปแต่ก็อยากแลกเปลี่ยนครับ



แก้ไขเพิ่มเติม : แต่ผมก็เชื่อว่า ราคาคงไม่โดดครั้งเดียวเท่าที่ภาษีขึ้นหรอกนะครับ โตโยต้าอาจจะต้องปรับตัว เช่น ลดราคาโรงงานลง

หรือตัด Dealer Margin เพื่อซับราคาไว้ แล้วอาจจะค่อยๆ เพิ่มทีหลังแบบค่อยเป็นค่อยไป ถ้าขึ้นรวดเดียว 1.9 เป็น 2.1 นี่ผมก็คงรับไม่ได้

แต่สิ่งที่ผมจะสื่อคือ ถ้าโตโยต้ามาไม้แข็ง คงราคาโรงงาน และ Dealer Margin ไว้เท่าเดิมเป๊ะ 2.1 น่าจะมาครับ

ออฟไลน์ pongisra

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,459
ผมคือหนึ่งในคนที่มีอคติต่อแบรนด์โตโยต้าในไทย (เฉพาะ TMT ใต้ปีกของประธานคนปัจจุบัน)

แต่ตัวเลขนี้ เขาไม่ได้โกหกหรือปั้นขึ้นมานะครับ ผมกดเครื่องคิดเลขตามแล้วเป็นเช่นนั้นจริงๆ

สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ มีแหล่งอ้างอิงจากเว็บไซต์กรมสรรพากร http://bta.excise.go.th/calculate_tax_car.php?calculate_id=0002

และเว็บผู้จัดการมอเตอริ่ง http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9490000064778

ใจความสำคัญคือ ภาษีสรรพสามิต ไม่ได้เรียกเก็บเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาดิบหน้าโรงงาน

แต่เป็นเปอร์เซนต์ของราคาสุกที่รวมภาษีตัวมันเองเข้าไปแล้ว

การคิดภาษีอย่างที่บางท่านในนี้ใช้ อาจจะคลาดเคลื่อนได้เยอะครับ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หลายๆ ท่านในนี้อาจจะทราบวิธีการคำนวณที่ถูกต้องจริงๆ ไปแล้ว แต่ผมขออนุญาตอธิบางตรงนี้สักเล็กน้อยนะครับ

เผื่อผมมีเข้าใจตรงไหนผิดพลาด ท่านสามารถแย้งได้เลยครับ เพราะผมก็ไม่ได้ทำงานหรือใช้ชีวิตเกียวกับการคำนวณภาษีส่วนนี้ อาจจะพลาดได้ครับ

ผมขอยกตัวอย่างเป็น Toyota Camry 2.5HV Premium นะครับ ซึ่งปัจจุบัน เสียภาษีที่พิกัด 10% และราคาขายปลีกอยู่ที่ 1,899,000 บาท

สมมติโดยคร่าวๆ นะครับ

ในจำนวนนี้ สมมติว่าเป็น Dealer Margin สัก 10% = 379,800 บาท

ดังนั้นราคารถที่แท้จริงคือ 1,899,000-379,800 = 1,519,200 บาท

ในจำนวนนี้ ให้แบ่งเป็น 107 ส่วนครับ

7 ส่วนแรก คือภาษีมูลค่าเพิ่ม

10 ส่วนต่อมา คือภาษีสรรพสามิต (ตามเรตของ Camry)

1 ส่วนต่อมา คือภาษีมหาดไทย เรียกเก็บ 1/10 ของภาษีสรรพสามิต

89 ส่วนที่เหลือ จึงจะเป็นราคาหน้าโรงงาน ซึ่งจะได้ว่าราคานี้อยู่ที่ (89/107)*1519200 = 1,263,634 บาท

(ประกอบไปด้วยต้นทุนทั้งหมด + กำไร + อากรนำเข้าเฉพาะชิ้นส่วนที่นำเข้า แต่ไม่จำเป็นต้องเจาะลงไปลึกกว่านี้ในการคำนวณราคาที่ภาษีใหม่)

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

แต่ด้วยอัตราภาษีใหม่ Camry ซึ่งปล่อยไอเสียประมาณ 120 (ในขณะที่ Accord 100 เดียว) จะเสียภาษีที่ 20%

โครงสร้างใหม่จึงเป็น

ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 ส่วน

ภาษีสรรพสามิต 20 ส่วน

ภาษีมหาดไทย 2 ส่วน

และราคาหน้าโรงงาน 78 ส่วน

ซึ่งเมื่อราคาหน้าโรงงานอยู่ที่ 1,263,634 บาทเท่าเดิม แต่อัตราส่วนของมันลดลงจาก 89 เหลือ 78 ส่วน

ดังนั้นเมื่อเทียบบัญญัติไตรยางค์ ราคาใหม่ (ไม่รวม Dealer Margin) จะอยู่ที่

1,263,634*(107/78) = 1,733,446 บาท

รวม Dealer Margin ที่ตัดไว้ตอนแรกกลับเข้าไปอีก 379,800 ก็จะได้ราคาขายปลีกใหม่ที่ 2.11 ล้านบาท

แพงกว่าเดิม 210,000 บาท ใกล้เคียงกับที่ระบุไว้ในแผ่นป้ายนี้ครับ

ปล. ใครจะลองทำตามสูตร ภาษีที่ให้ไว้ในลิงค์อ้างอิงดูก็ได้ครับ สูตรเขาให้ไว้ว่า

(ราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรม x อัตราภาษีสรรพสามิต)/( 1-(1.1x อัตราภาษีสรรพสามิต))

ลองดูเลยครับ ได้เท่ากัน (ปล. สูตรนี้มีแค่สรรพสามิตอย่างเดียวนะครับ อย่าลืมรวมมหาดไทยกับ VAT ด้วยนะครับ)

หรือจะลองเข้าเว็บผู้จัดการมอเตอริ่ง ดูตารางซึ่งเป็นสูตรสำเร็จก็ได้ครับ ว่าการขึ้นภาษีสัก 5 หรือ 10 เปอร์เซนต์

จะกระทบราคารถอย่างไร

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผมลองกดเครื่องคิดเลขกับ Vios และ Fortuner แล้ว พบว่า ได้ค่าใกล้เคียงกับที่เขาระบุครับ

ตัวเลขในป้ายนี้ไม่ได้มั่วครับ ไม่เหมือนมาสด้าในกระทู้ก่อน ที่เขียนเรตภาษีของรถที่ตัวเองขายยังไม่ถูกเลย

ถ้าโตโยต้าไม่ตัด Dealer Margin หรือหาวิธีอื่นช่วยดัมพ์ราคา จะเป็นตามนี้จริงครับ

สิ่งที่โตโยต้าควรถูกตำหนิ ไม่ใช่ตัวเลขบนแผ่นป้ายนี้ครับ ทุกท่านกรุณาพิจารณาส่วนนี้ด้วยครับ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เอาล่ะ ผมปกป้องโตโยต้าไปมากพอแล้ว ทีนี้ขอด่าบ้าง (เนื้อหาต่อจากนี้ เป็นโซนอคติส่วนตัว 555555)

สิ่งที่โตโยต้าควรถูกตำหนิมากที่สุดในความคิดของผม คือการไม่ยอมพัฒนารถตัวเองให้ทัดเทียมคู่แข่ง

จนส่งผลเสียมาหาผู้ซื้อต่างหากครับ

Vios รับเชื่อเพลิง E20 เสียภาษีปีหน้า 30% แต่ City เติม E85 ได้ เสียภาษี 25%

Camry Hybrid ปล่อย CO2 ประมาณ 120 (ตามคลับ) เสียภาษี 20% แต่ Accord Hybrid ปล่อย CO2 ประมาณ 100 เสียภาษี 10%

Fortuner ปล่อย CO2 ประมาณ 2xx เสียภาษี 30% แต่ Pajero Sport ปล่อยประมาณ 19x เสียภาษี 25%

ฯลฯ

ทำไม? ถึงไม่ยอมอัพสเปกของรถให้มันได้ภาษีขั้นที่ถูกกว่า

ทำไม? ผู้ซื้อจะต้องซื้อแพงขึ้นเพื่อให้ได้รถที่ดีเท่าเดิม ถ้าคุณพัฒนา

ราคารถคุณอาจจะสูง แต่เมื่อเรตภาษีต่ำกว่า ราคาสุทธิออกมาอาจจะออกมาเท่ากับที่คุณปล่อยเลยตามเลยแบบที่คุณทำอยู่นี้ก็เป็นได้ครับ

ผมเข้าใจที่คุณพิมนะครับ

เพราะจากสูตรในเวป "มูลค่า" = "(ราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรม+ภาษีสรรพสามิต+อัตราภาษีเพื่อมหาดไทย)" ทำให้ที่คุณพิมพ์อธิบายมาก make sense

แต่เข้าไปอ่านก็งงกับตัวอย่างที่เขาให้ในเวป ซึ่งตัวอย่างอิงจากสูตรบันทัดแรก คือคิดจากราคาหน้าโรงงาน คูณภาษีเข้าไปตรงๆเลย แล้วก็บวกอากรจากภาษีที่คิดได้อีกทีหนึ่ง


ออฟไลน์ 6162002

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,089
เอาแบบใช้แค่ความรู้เด็กมัธยมเลยนะครับ ขี้เกียจพิมพ์ยาว

ราคาเต็มรถ รวมทุกอย่าง 1.9 ล้าน   ต่อให้เพิ่ม 10% จากราคาป้ายเลย  ยังเพิ่มแค่ 190,000 บาท
แต่นี่มันไม่ได้คิดจากราคาป้าย คุณบอกว่าเพิ่ม 10% แต่ราคาเพิ่ม 210,000 บาท

ดูแค่นี้มันก็เป็นไปไม่ได้แล้วครับ แต่ขอไม่อธิบาย ลองกลับไปดูสูตรเองครับ
ต้องขออภัยครับ ผมอาจจะพูดเข้าใจยากไป เอางี๊ สมมติว่าเรตภาษีอยู่ที่ 40 เปอร์เซนต์

คำว่า ภาษี 40 เปอร์เซนต์ ของหลายคน คือ เอาราคาโรงงานมา x 1.4 ก็จะได้ราคารวม

แต่สิ่งที่ผมอธิบาย คือให้เอาราคารถมาหาร 0.6 ซึ่ง ถ้าเป็นเช่นนี้ รถราคาหนึ่งล้าน ก็จะขึ้นเป็น 1/0.6 = 1.67 ล้าน

แล้วถ้าภาษีขึ้นจาก 40 เป็น 50 โดยที่ราคาโรงงานหนึ่งล้านเท่าเดิมล่ะครับ? ราคาใหม่ก็จะเป็น 1/0.5 = 2 ล้าน

ส่วนต่าง 3 แสนกว่า คิดเป็นเกือบๆ 20 เปอร์เซนต์ของราคาป้ายเดิม ทั้งๆ ที่เรตภาษีเพิ่มแค่ 10 เปอร์เซนต์

เพราะฉะนั้น สิบเปอร์เซนต์แต่ขึ้น 210,000 ในคัมรี่เป็นไปได้เช่นกันครับ แนวคิดผมคือเปลี่ยนจากคิดแบบคูณมาคิดแบบหาร


ขออนุญาตตัดบางส่วน เพื่อไม่ให้ยาวเกินไปนะครับ จะพยายามอธิบายดูนะครับ

ที่ผมอยากจะสื่อคือ Cost Buildup ที่คุณใช้มันไม่ถูกครับ ผมก็ไม่ทราบโครงสร้างภาษีที่ชัดเจน ว่าต้องบวกภาษีอะไรก่อน จึงดูแค่วิธีการ Build cost เฉยๆ

เช่นการแยก Dealer Margin มาคิด แล้วแบ่งที่เหลือเป็น 107 ส่วนนี่ไม่ถูกต้องครับ

เพราะ VAT มันรวม มาร์จินตัวนี้แล้ว   เช่นรถ 1.9ล้าน มันมี VAT อยู่  1.9* (7/107) ครับ คือราคาขายจริง ต้องเป็น 1.776 ล้าน เป็น VAT 0.124 ล้าน (ปัดเศษ)

แล้วถ้าบอกว่า ดีลเลอร์มีมาร์จิน 20 %  (ผมก็งงที่คุณเขียนว่า 10% ได้ 379800 ครับ เดาเอานะ ว่าคุณหมายถึง 20%)

แปลว่าดีลเลอร์มีต้นทุน 1.42M (คิดจาก 1.776)  เป็นกำไร 0.356M

แล้วคุณถึงเอา 1.42 มาแยกครับ ว่ามันมีอะไรอยู่ในนี้บ้าง

ซึ่งถ้าคุณบอกว่า มันมี ภาษีสรรพสามิต 20% + มหาดไทย 10% ของสรรพสามิต แปลว่า สองภาษีนี้มันรวมกันได้ 22% ของราคาขายหน้าโรงงานครับ (ไม่คิดให้ดู น่าจะเข้าใจนะครับ)

นั่นแปลว่าราคา 1.42 คุณต้องมาแบ่งเป็น 122 ส่วน ครับ เป็นราคาตั้งหน้าโรงงาน 100 สรรพสามิต 22 มหาดไทย 2
ถ้าดูตามนี้ แปลว่าราคาหน้าโรงงานคือ 1.42*100/122 = 1.164 ครับ สรรพสามิต 0.233 และมหาดไทย 0.023  (ปัดเศษๆเอานะครับ)
เพราะงั้น ถ้าคุณขึ้น ภาษีสรรพสามิต เป็น 30% มหาดไทยมันก็จะกลายเป็น 3% ด้วย

เพราะงั้น จะได้ราคาใหม่เป็น 133 ส่วนแทน เพราะงั้น มันคือ 1.42 *133/122 = 1.548ล้านครับ (สรุปว่า ภาษีสรรพสามิต+มหาดไทย แพงขึ้น 128,000บาท)

ดังนั้น ถ้าดีลเลอร์เอากำไรเท่าเดิม (ใช้ Assumption ของคุณ) แปลว่าเขาต้องขาย 1.548+0.356 = 1.904 ล้าน
เมื่อรวม VAT ราคาขายใหม่คือ 1.904*1.07 = 2.04 ล้าน

สรุปแล้ว แพงขึ้นแค่ 140000 บาทครับ

แต่ถ้าดีลเลอร์จะเอามาร์จิน 20% เท่าเดิม มันก็ต้องขาย ( 1.548/0.8 )*1.07 = 2.07ล้าน แพงขึ้น 170000 บาทครับ

ขอสรุปสุดท้ายว่า ถ้าเอาราคาหน้าโณงงานเป็น BASE และข้อมูลอื่นตามคุณ
สมมติให้ภาษีสรรพสามิตเป็น A (เพราะมัน Varied)
มันต้องคิดแบบ [(100(ราคาตั้ง) + 1.1A)/0.8 (กำไร20%)] * 1.07 ครับ

ผมเข้าใจที่คุณบอกว่ามันมีแนวคิด คูณ กับ แนวคิดหาร

แต่ทั้งสองแนวคิด มันมีวิธีใช้ของมันครับ (เหมือนที่ผมใช้ทั้งคูณและหาร) ลองศึกษาดู จะได้ใช้ได้ถูกต้องครับ

ป.ล. สุดท้ายก็ต้องพิมพ์ยาวจนได้  T^T
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 24, 2015, 14:40:28 โดย 6162002 »

ออฟไลน์ Ji.Cl.

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 680
    • อีเมล์
ขออภัยที่ช้า และหวังว่าท่านจะยังไม่เงียบหายไปนะครับ และขออภัยอีกครั้งที่พิมพ์ยาว 5555555

ขอบคุณที่แชร์แนวคิด ตอนนี้ผมและคุณรู้ในวิธีคิดของอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว ทีนี้ ประเด็นคือ วิธีไหนน่าจะเป็นวิธีที่ถูกใช้จริง

ระหว่างวิธีคูณของท่าน และวิธีหารของผม

ทีนี้ ผมขอยกเหตุผลและหลักฐานของวิธีหารของผมนะครับ ผมเปรียบเทียบกับยอดเงินคืนตามโครงการ รถคันแรก นะครับ

http://firstcar.excise.go.th/

ท่านคนทราบว่าภาษีที่คืนนั้น เป็นภาษีสรรพสามิต ซึ่ง ในมุมล่างซ้ายของเว็บ จะมีคลิกให้ดูยอดเงินภาษีคืนในรถรุ่นต่างๆ นะครับ

ขอยกตัวอย่างเป็น Nissan March 1.2VL นะครับ ซึ่งราคา ณ ขณะนั้นอยู่ที่ 542,000 บาท อ้างอิงจาก

http://www.autospinn.com/2012/03/nissan-march-2012-eco-car-%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%8A-%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C/

ถ้าคิดไล่ตามสมมติฐานวิธีคูณของท่านนะครับ

หักลบภาษีมูลค่าเพิ่ม จะอยู่ที่ 542,000 x (100/107) = 506,542 บาท

และโครงสร้างจะประกอบไปด้วยราคารถ 100 + สรรพสามิต 17 + มหาดไทย 1.7 = 118.7 ส่วน

(ผมขอ Assume เลยว่า Dealer Margin = 0)

ซึ่งจะได้ว่า ภาษีสรรพสามิตของรถคันนั้นคือ 835,514 x (17/118.7) = 72,546 บาท

ซึ่ง จากเว็บของสรรพสามิต รถคันนี้ได้ภาษีคืน 76,000 บาท ซึ่งนั่นแปลว่า ต่อให้รถขายแบบไม่มี Dealer Margin เลย

การคิดภาษีในแบบตัวคูณ ก็ยังได้ตัวเลขต่ำกว่าตัวเลขภาษีจริงของ Nissan March นี่คือจุดที่ทำให้ผมคิดว่า

วิธีการคิดภาษีของสรรพสามิต น่าจะเป็นแบบหารครับ


ทีนี้มาคิดตามสมมติฐานวิธีหารของผมบ้างครับ ผมคิดให้ Dealer Margin อยู่ที่ 12%

ดังนั้น รถคันนี้จะเป็น Dealer Margin = 65,040 บาท

(ตรงนี้ต้องขออภัยที่อธิบายข้ามไปเมื่อครั้งที่แล้ว คือ Dealer Margin นี้จะแตกออกเป็น 107 ส่วน โดยเป็น VAT 7 ส่วนเช่นกัน

คือ ใน 65040 บาทนี้ เป็น Margin จริงๆ 60,785 บาท และเป็นภาษี VAT 4,255 บาทครับ

ดังนั้นทั้งโรงงานและดีลเลอร์จะมีก้อนของ VAT เป็นของตนเอง จึงทำให้รถเสียภาษี VAT เต็มราคาป้ายรถ

ซึ่งการมี VAT สองจุดนี้ก็พบได้เช่นกันในโครงสร้างราคาน้ำมันซึ่งสามารถดูได้ที่นี่ครับ

http://www.eppo.go.th/petro/price/ )

และเป็นราคาก่อนรวมมาร์จิ้นที่ 476,960 บาท

ซึ่งจะแบ่งเป็น 107 ส่วน ตามสมมติฐานของผม ซึ่งจะเป็นภาษีสรรพสามิตอยู่ 17 จาก 107 ส่วนนี้

ก็จะได้ว่าเสียภาษีสรรพสามิตที่ 476,960 x (17/107) = 75,779 บาท

ใกล้เคียงมูลค่าภาษีสรรพสามิตที่ระบุไว้ในเว็บไซต์ครับ


ดังนั้น หากนำวิธีหารของผมไปคิด Camry ก็จะได้อย่างที่ผมได้กล่าวไปครับ คือภาษีจะหนักขึ้น 210,000 บาท ถ้า TMT ไม่ทำอะไรเลย

แต่วิธีป้องกันไม่ให้ราคาโดดไปไกลมาก มีหลายอย่าง ตั้งแต่ลดราคาดิบที่ตั้ง หรือลดดีลเลอร์มาร์จิ้น หรือปรับปรุงเครื่องยนต์ให้ผ่านมาตรฐานมลพิษ

ส่วนตัวเชื่อว่า TMT จะยอมลดราคาดิบที่สำแดง เพื่อให้ภาษีสามก้อนลดตาม หรือตัดดีลเลอร์มาร์จิ้นครับ

ออฟไลน์ Ji.Cl.

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 680
    • อีเมล์
สำหรับท่าน pongisra ผมขอแสดงความคิดเห็นแบบนี้นะครับ

ด้านบนของตัวอย่างการคำนวณที่ท่านถ่ายรูปมา มีสูตรเขียนไว้ 3 บรรทัดครับ

บรรทัดแรกบอกว่า

ภาษีสรรพสามิต = อัตราภาษีสรรพสามิต x มูลค่า

บรรทัดที่สองบอกว่า

ภาษีสรรพสามิต = อัตราภาษีสรรพสามิต x (ราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรม+ภาษีสรรพสามิต+อัตราภาษีเพื่อมหาดไทย)

ดังนั้น ในความคิดผมนะครับ

มูลค่า = (ราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรม+ภาษีสรรพสามิต+อัตราภาษีเพื่อมหาดไทย)

การคูณภาษีเข้าไปตรงๆ น่าจะใช้ได้เมื่อคิดกับราคารถสำเร็จที่รวมภาษีตัวมันเองเข้าไปแล้ว

มากกว่าการคูณเข้าไปในราคาดิบหน้าโรงงานก่อนรวมภาษีของตัวรถครับ

ซึ่งในตัวอย่างที่ท่านให้มา ใช้คำว่า "มูลค่า" ดังนั้นตัวเลข 10 ล้านบาท คือราคาสุกของตัวรถที่รวมภาษีสรรพสามิตเข้าไปแล้ว

ไม่น่าจะใช่ราคาดิบที่ค่ายรถตั้งครับ

ออฟไลน์ pongisra

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,459
สำหรับท่าน pongisra ผมขอแสดงความคิดเห็นแบบนี้นะครับ

ด้านบนของตัวอย่างการคำนวณที่ท่านถ่ายรูปมา มีสูตรเขียนไว้ 3 บรรทัดครับ

บรรทัดแรกบอกว่า

ภาษีสรรพสามิต = อัตราภาษีสรรพสามิต x มูลค่า

บรรทัดที่สองบอกว่า

ภาษีสรรพสามิต = อัตราภาษีสรรพสามิต x (ราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรม+ภาษีสรรพสามิต+อัตราภาษีเพื่อมหาดไทย)

ดังนั้น ในความคิดผมนะครับ

มูลค่า = (ราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรม+ภาษีสรรพสามิต+อัตราภาษีเพื่อมหาดไทย)

การคูณภาษีเข้าไปตรงๆ น่าจะใช้ได้เมื่อคิดกับราคารถสำเร็จที่รวมภาษีตัวมันเองเข้าไปแล้ว

มากกว่าการคูณเข้าไปในราคาดิบหน้าโรงงานก่อนรวมภาษีของตัวรถครับ

ซึ่งในตัวอย่างที่ท่านให้มา ใช้คำว่า "มูลค่า" ดังนั้นตัวเลข 10 ล้านบาท คือราคาสุกของตัวรถที่รวมภาษีสรรพสามิตเข้าไปแล้ว

ไม่น่าจะใช่ราคาดิบที่ค่ายรถตั้งครับ

ตอนอ่านแรกๆผมก็มองแบบนั้นครับ

แต่ในตัวอย่างระบุชัดเจนเลยครับว่า "ราคาขาย ณ โรงอุตสาหกรรม คันละ 500,000 บาท"

ออฟไลน์ Ji.Cl.

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 680
    • อีเมล์

ตอนอ่านแรกๆผมก็มองแบบนั้นครับ

แต่ในตัวอย่างระบุชัดเจนเลยครับว่า "ราคาขาย ณ โรงอุตสาหกรรม คันละ 500,000 บาท"
อันนี้ผมเองยอมรับว่าอ่านตกไป แต่ว่า ตอนแสดงวิธีทำเขาก็เปลี่ยนไปใช้คำว่า "มูลค่า" นะครับ

รวมถึงตัวสูตรที่เขียนไว้ด้านบนที่บอกไว้ชัดเจนว่าอัตราภาษี เอาไปคูณ "ราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรม" ไม่ได้

แต่เอาไปคูณ "มูลค่า" ได้ ซึ่งจากบริบทโดยรอบ ผมคาดว่า ตัวอย่างนี้น่าจะหมายถึง "มูลค่า" มากกว่านะครับ

ออฟไลน์ 6162002

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,089
ผมบอกแล้วว่า ผมไม่ทราบวิธีคิดภาษี แค่อ้างอิงตามข้อมูลที่คุณแจ้งมา วิธีคิดแบบหารผมใช้เป็นครับ แค่บอกว่าวิธีคิดของคุณมันไม่ถูก (ถ้าความเข้าใจเรื่องภาษีของผมถูก)

แต่พอไปอ่านนิยามของสรรพสามิตแล้ว
ผมก็เข้าใจตรงกับคุณว่า

ภาษีสรรพสามิต = มูลค่า x อัตราภาษีสรรพสามิต
โดย มูลค่า = ราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหรรม+ภาษีสรรพสามิต+ภาษีเพื่อมหาดไทย

ดังนั้น ของคุณก็ถูกแล้วครับ แต่วิธีคิดมันเยิ่นเย้อมาก

ถ้า Dealer Margin 12% วิธีคิดมันไม่มีอะไรเลยครับ

หัก VAT 542000 * 1/1.07 = 506,542

หักมาร์จิน เหลือ = 506542*.88
                   = 445757 <<< ไอ่นี่แหละ เรียกว่า "มูลค่า" (แบ่งได้อีก 118.7 ส่วน แปลว่าราคาหน้าโรงงานจริง 375532 บาท)

เพราะงั้น ภาษีสรรพสามิต (อิงตามสูตรของกรมสรรพสามิต) คือ 445757*.17 = 75779 เท่ากับที่คุณคิด เนื่องจากความเข้าใจเป็นแบบเดียวกันแล้ว

แต่วิธีของคุณมันอ้อมไปครับ ถ้าเข้าใจจริงๆมันมีนิดเดียว

ต้องขออภัยที่ผมไม่ได้อ่านวิธีคิดของสรรพสามิตให้ดีก่อนครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 27, 2015, 02:56:13 โดย 6162002 »

ออฟไลน์ Ji.Cl.

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 680
    • อีเมล์
ผมบอกแล้วว่า ผมไม่ทราบวิธีคิดภาษี แค่อ้างอิงตามข้อมูลที่คุณแจ้งมา วิธีคิดแบบหารผมใช้เป็นครับ แค่บอกว่าวิธีคิดของคุณมันไม่ถูก (ถ้าความเข้าใจเรื่องภาษีของผมถูก)

แต่พอไปอ่านนิยามของสรรพสามิตแล้ว
ผมก็เข้าใจตรงกับคุณว่า

ภาษีสรรพสามิต = มูลค่า x อัตราภาษีสรรพสามิต
โดย มูลค่า = ราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหรรม+ภาษีสรรพสามิต+ภาษีเพื่อมหาดไทย

ดังนั้น ของคุณก็ถูกแล้วครับ แต่วิธีคิดมันเยิ่นเย้อมาก

ถ้า Dealer Margin 12% วิธีคิดมันไม่มีอะไรเลยครับ

หัก VAT 542000 * 1/1.07 = 506,542

หักมาร์จิน เหลือ = 506542*.88
                   = 445757 <<< ไอ่นี่แหละ เรียกว่า "มูลค่า" (แบ่งได้อีก 118.7 ส่วน แปลว่าราคาหน้าโรงงานจริง 375532 บาท)

เพราะงั้น ภาษีสรรพสามิต (อิงตามสูตรของกรมสรรพสามิต) คือ 445757*.17 = 75779 เท่ากับที่คุณคิด เนื่องจากความเข้าใจเป็นแบบเดียวกันแล้ว

แต่วิธีของคุณมันอ้อมไปครับ ถ้าเข้าใจจริงๆมันมีนิดเดียว

ต้องขออภัยที่ผมไม่ได้อ่านวิธีคิดของสรรพสามิตให้ดีก่อนครับ
ขอขอบคุณที่เปิดใจรับฟังและแลกเปลี่ยนความเห็นครับ ผมเองก็ยอมรับเช่นกันว่าวิธีของผมอาจจะอ้อมเกินไป

การหักแวต หักดีลเลอร์มาร์จิ้น แล้วค่อยคูณภาษี ลัดและง่ายกว่ามากจริงๆ ครับ