สวัสดีครับ สมาชิก headlightmag ทุกท่าน หลังจากที่ได้รับรถ D-max 1.9 มากว่า 2 อาทิตย ถึงเวลารีวิวเจ้า 1.9 คันนี้สักที หลังจากเก็บข้อมูลการใช้งาน ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้งานในเมืองเป็นหลัก
ส่วนนอกเมืองนั้น ยังไม่มีโอกาศได้ขับยาวๆนะครับ เลยจะมีแค่อัตราสิ้นเปลืองในเมือง ซึ่งความเร็วส่วนใหญ่ จะอยู่ที่ประมาณ 60-90 กม/ชม.
และออกนอกเมืองระยะทางไม่ไกลนัก แค่ 2 ครั้ง ความเร็วที่วิ่ง อยู่ที่ประมาณ 100-110 กม/ชม. รวมๆระยะทางที่วิ่งไป อยู่ที่ 335.2 กม.
-เริ่มจากภายนอกก่อนเลยนะครับ-ด้านหน้านั้นมีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นเดิม ทั้งไฟหน้า กันชนหน้า กระจังหน้า และตำแหน่งการติดตั้งไฟ DRL ที่ย้ายมาอยู่ในชุดโคมเดียวกับไฟหน้า
รวมไปถึงการกลับมาของไฟตัดหมอก ส่วนด้านท้ายรถนั้น โคมไฟท้าย LED ยังเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือฝาท้ายที่ได้ออกแบบใหม่
ส่วนล้อแม็คในรุ่น Z DVD นี้ เป็นขอบ 16 นิ้ว ลวดลายคล้ายๆทรงเดิม รายละเอียดงานพ่นสีนั้น ถือว่าทำออกมาได้ดีครับ รอยต่อกันชนกับแก้มข้างสีเรียบสม่ำเสมอ
โดยสีของคันนี้จะเป็นสีเงินไอซ์เบิร์ก (Iceberg Silver) ซึ่งดูๆแล้วก็ไปคล้ายสีของเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง Chevrolet Colorado สี (Satin Steel Gray)
-โดยรวมงานภายนอกนั้น ถือว่าออกแบบมาได้ดีครับ ดูดุดันขึ้น ชุดไฟหน้าพร้อมไฟ DRL ออกแบบมาได้สวยงาม แต่ ไฟท้ายนั้น ยังไม่ผ่านครับ
เพราะไหนๆจะ MC ทั้งทีควรออกแบบรายละเอียดไฟท้ายใหม่ไปเลย ส่วนล้อนั้น ส่วนตัวคิดว่ายังไม่ค่อยลงตัวมากนัก น่าจะให้ล้อขอบ 17 นิ้ว








-มาดูภายในกันบ้างครับงานออกแบบยังเหมือนรุ่นเดิมเช่นกัน ทั้งพ่วงมาลัยแบบ 3 ก้านหุ้มหนัง ชุดเครื่องเสียงระบบ touchscreen ขนาด 7 นิ้ว พร้อม DVD ได้ 1 แผ่น
มีช่องเสียบ USB และ Bluetooth เชื่อมต่อกับมือถือได้ แสดงภาพขณะเข้าเกียรถอย ไม่มีระบบนำทางให้ ระบบปรับอากาศแบบธรรมดา
การตกแต่งภายในโทนสีดำ และสีเงิน แสงสีภายในนั้นยังใช้โทนแดงเช่นเดิม ไม่แสบมากนักในเวลากลางคืน
แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่คือชุดจอแสดงผลต่างๆ และมาตรวัดความเร็ว ความเร็วรอบเครื่อง ได้รับการออกแบบใหม่ เบาะนั่งต่างๆยังคงเหมือนเดิม
โดยรวมแล้วงานออกแบบภายใน ยังไม่ดีนัก วัสดุต่างๆส่วนใหญ่เป็นพลาสติกแข็ง ออปชั่นต่างๆที่ให้มา ยังขาดไปหลายๆอย่าง
ทั้งระบบควบคุมเครื่องเสียงที่พ่วงมาลัย ถุงลมที่ให้มาแค่ 2 ใบ การเก็บเสียงต่างๆยังทำไม่ได้ดีนัก ที่ความเร็ว 90 กม./ชม.
ขึ้นไปจะได้ยินเสียงลมและเครื่องยนต์ เข้ามามากอยู่
แต่ถ้าเทียบกับเครื่อง 2.5 และ 3.0 แล้วถือว่าดีขึ้นมาก เสียงรอบเดินเบาเครื่องยนต์ มีเข้ามาน้อยมาก การใช้งานปุ่มต่างๆเครื่องเสียง
ใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน ไม่ต้องพึ่งคู่มือ
ชุดเครื่องเสียงระบบ touchscreen ทำงานได้ดี มีหน่วงบ้าง เป็นบางครั้ง ส่วนเสียงที่ออกมานั้น ถึงจะมีลำโพงมาให้ 6 ตัว ยังให้รายละเอียดไม่ดีนัก
พอฟังได้ พอแก้ง่วงไปได้ เปลี่ยนชุดลำโพงและทวิสเตอร์ใหม่ น่าจะดีขึ้น เบาะนั่งด้านหน้า นั่งสบายไม่เมื่อยล้า เบาะไม่แข็ง เสียดายแต่ไม่มี ซัพพอร์ทหลัง
ด้านจอแสดงผลแบบสีนั้น ทำออกมาได้ดี จอภาพมีความละเอียดสูงพอสมควร แสดงผลตัวหนังสือต่างๆ ได้ชัดเจนทั้งกลางวันและกลางคืน
กดดูเมนูต่างๆและตั้งค่าทำได้ง่าย







-เครื่องยนต์และช่วงล่าง-ถือเป็นการวัดใจกับลูกค้าเลย ที่ถอดเครื่อง 2.5 ออกไปแล้วแทนที่ด้วยเครื่อง 1.9 Ddi ในรหัส RZ4E-TC พ่วง VGS เทอร์โบแปรผัน
ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที พร้อมเกียร 6 จังหวะ
และมีเครื่อง 3.0 อีกตัวซึ่งจะอยู่ในรุ่น ขับสี่ ด้านช่วงล่างต่างๆยังคงเหมือนเดิม
- การใช้งานโดยรวม ครั้งแรกที่ได้ลองขับ เครื่อง 1.9 ตัวนี้ สิ่งแรกที่น่าจะเป็นจุดเด่นคือ เสียงเครื่องที่เงียบลงกว่า เครื่อง 2.5 และ 3.0 มากๆ
ลืมไปได้เลยเสียงเครื่องที่ดังและสั่นสะเทือน ของ Isuzu
อัตราเร่งต่างๆ ทำออกมาได้ดีกว่าที่คิด จะติดก็ตรงการออกตัว เกียร 1 นั้นสั้นและหมดไว อัตราทดเกียร 1 สูงถึง 4.942
ทำให้ออกตัวไม่ทันใจนัก หลายๆครั้งที่ขับติดไฟแดง จะออกตัวเกียร 2 มากกว่า ออกตัวนุ่มๆไปเลย
เทอร์โบมีรอรอบบ้างเล็กน้อย กว่าจะเริ่มบูตก็ที่ 1,800 รอบ เมื่อบูตติดอัตราเร่งต่างๆ ทำได้ดีกว่าไวกว่าเครื่อง 2.5 VGS ตัวเดิม
แต่เสียงเครื่องยนต์ 1.9 ก็ดังขึ้นเช่นกัน ขับขึ้นเขาไปจุดชมวิว(ทุ่งดอกบัวตองแม่เมาะ) แอบลุ้นเหมือนกันว่าจะไหวรึเปล่า ถ้าลากเกียร 3
ก็ผ่านไปได้สบาย ถึงไม่ได้สูงชันมากนัก แต่ก็พอทดสอบกำลังเครื่องยนต์ได้ แต่เสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามาพอสมควร รอบเครื่องอยู่ที่ 2,000-2,200
-การบังคับควบคุมน้ำหนักของพ่วงมาลัย ไม่หนักไม่เบา อยู่กลางๆขับขี่สบาย ช่วงล่างก็เช่นกัน Isuzu ไม่เคยโดดเด่นด้านช่วงล่างที่มั่นใจได้มากนัก
การเก็บแรงสะเทือนต่างๆยังทำได้ดีพอสมควร ยังไม่ได้ลองขับที่ความเร็วสูงมากนัก แต่เท่าที่ได้ลองตอนที่ ทดลองขับที่ศูนย์ กดไป 120-130 กม./ชม.
ยังนิ่งอยู่ ไม่ร่อน ไม่มีอะไรให้หวาดเสียว แต่ต้องมีสมาธิมากๆหน่อย แต่ตัวที่ลองนั้น เป็นล้อขอบ 18 นิ้ว นั่งกัน 4 คน

-อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจากที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้น การขับขี่ส่วนใหญ่จะอยู่ในเมือง ดังนั้นจึงมีแค่อัตราสิ้นเปลืองเชิ้อเพลิงแค่ในเมืองไปก่อนนะครับ
วิ่ง 110 เดียวค่อยหาเวลาออกต่างจังหวัด ค่อยมาวัดกันอีกที
จากระยะทางที่ วิ่งไป 335.2 กม. เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาเลยแวะเติมน้ำมัน เพื่อหาอัตราสิ้นเปลือง ผลที่ออกมาก็ ในภาพละครับ
เติมเต็มถัง ไม่มีเขย่า แค่หัวจ่ายตัด เติมไปทั้งสิ้น 25.72 ลิตร คำนวณออกมาได้ วิ่งในเมืองและชานเมือง อยู่ที่ 13.04 กม./ลิตร
จากการใช้งานทั่วๆไป ขับเร็วบ้าง ช้าบ้าง คลานๆติดไฟแดง ไม่ได้ประหยัดกว่าที่คิดใช่มั้ยครับ คงต้องลองวิ่งทางไกล ยาวๆดูสักครั้ง รอพ้นรันอินด้วย
-สรุปข้อดี
-เสียงเครื่อง 1.9 เงียบมาก อัตราเร่งดี เพียงพอกับการใช้งานทั่วๆไป ระบบเบรกดีไว้ใจได้ มั่นใจมากขึ้น
-อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ดีกว่าที่คาดไว้ เคยขับ vigo 2.5 vn ยังกินมากกว่านิดหน่อย ต่างกันไม่มากนัก
ข้อควรปรับปรุง
-วัสดุภายใน การเก็บเสียง และออปชั่น ควรมีการปรับปรุง
-ช่วงล่าง น่าจะปรับปรุงให้ดีขึ้น ในรุ่นต่อๆไป
-อัตราทดเกียร 1 น่าจะเหมาะกับรถตอนเดียว ที่เน้นการบรรทุกหนักๆ ถ้าปรับเปลี่ยนเกียร 1 มาเป็นของ เครื่อง 2.5 หรือ 3.0 นาจะออกตัวได้ดีขึ้น



จบแล้วครับ ข้อมูลอาจมีการตกหล่น ไปบ้างนะครับต้องขออภัย ขอบคุณครับ

รีวิวนี้มอบให้เป็นลิขสิทธิ headlightmag.com
