โพลล์

EV
14 (42.4%)
Hydrogen
12 (36.4%)
น้ำมัน (สมมติว่าเกิดในอนาคต นักวิทยาศาสตร์สามารถสังเคราะห์เชื้อเพลิงน้ำมันได้)
7 (21.2%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 31

ปิดการโหวต: มิถุนายน 11, 2016, 14:03:01

ผู้เขียน หัวข้อ: ถ้าในอนาคตรถยนต์มี EV , Hydrogen , น้ำมันเชื้อเพลิงสังเคราะห์ ให้เลือกใช้ ?  (อ่าน 2746 ครั้ง)

ออฟไลน์ Carrera

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,339
เห็นกระแสรถ Tesla มาจุดกระแส  EV  เลยสอบถามความเห็นดู  ถ้าอนาคตมีตัวเลือกเหล่านี้ 

ผมว่าเทคโนโลยี  อะไรมันก็เป็นไปได้  การสังเคราะห์เชื้อเพลิงน้ำมัน  หรือชนิดใหม่ๆ  ที่ให้ CO2 น้อยลง  (ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับการวิจัยด้านนี้มาพักนึงละ) 

หรือว่าจะเป็นการมาของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (Nissan Tesla)

หรือรถ Hydrogen ที่สะดวกในการเติมไม่ต่างจากน้ำมันปกติ  (Toyota Honda Nissan Hyundai)
(จริงๆก็คือรถไฟฟ้า ที่เอา ไฮโดรเจนมาสร้างไฟไปชาร์ตแบต)

สันดาบแบบเดิมก็มันส์น่ะ ผมชอบเสียงเครื่อง  ไม่อยากให้รถในอนาคตมันเงียบไปซะหมด   ;D

ผมว่ารถ EV ยังต้องพัฒนาเรื่องแบตกันต่อ  ทำยังไงให้เล็กลง ความจุเพิ่ม ชาร์จประจุได้ไวขึ้น  รวมถึง Cycle ยาวนาน  เป็นเรื่องเทคโนโลยีที่ต้องรอกันต่ออีกหน่อย  แต่ถ้าแบตดีขึ้น  รถ Hydrogen ก็วิ่งได้ไกลขึ้นอีกเหมือนกัน เพราะมันก็ใช้ไฮโดรเจนชาร์ตไฟอีกที

แค่คิดก็สนุกละครับ  ::)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 01, 2016, 14:27:51 โดย Butterzai »

ออฟไลน์ AkE

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,398
ผมเอา EV ครับแรงดีเสียงมอเตอร์ผมแอบชอบนะ ไร้มลภาวะด้วย น่าใช้น่าดูครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 01, 2016, 14:56:40 โดย AkE »

ออฟไลน์ ps000000

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,768
ส่วนตัวชอบไฮโดรเจน ขี้เกียจเสียเวลาชาร์จไฟ

ออฟไลน์ Jacob

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,803
EV ตอนจอดอยู่บ้านก็ชาร์จไฟไป เช้ามาก็ขับต่อ ขับทางไกลจะชาร์จนานหน่อยก็ไม่เป็นไร นั่งพักไปในตัว
แต่ก่อนมือถือก็ชาร์จบ่อย วันนึงสองรอบ เดี๋ยวนี้ก็เรื่มจะวันละรอบละ แล้วก็มีแบตพกพา/สำรอง มันก็พัฒนากันไปได้เอง (แต่จะมีแบตระเบิดเหมือนมือถือรึป่าวนะ)

ออฟไลน์ iKrit

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,729
  • Blue. Just BLUE.
ผมจิ้มไปที่ Hydrogen แล้วกัน เพราะว่ามันวินๆ ทั้งฝ่ายผู้ผลิตเชื้อเพลิง (ที่จะกลายเป็นผู้ผลิตพลังงาน) และผู้บริโภค แต่ปัญหาคือ Hydrogen มันแพงกว่าน้ำมันในปริมาณที่เท่ากันนี่สิ แถมตอนเวลา Hydrogen หมดก็หาเติมลำบากมากในตอนนี้ แตกต่างจาก EV ที่จะชาร์จไฟที่ไหนก็ได้ แต่ต้องใช้เวลาชาร์จนานหน่อย แถมถ้าแบตเสื่อมหรือมีปัญหานี่อ่วมฮะ (แต่ถ้ามันเป็นที่นิยมมากก็อาจจะมีแบตเทียบหรือแกะแพคใหม่โดยอู่นอกได้)
"การไม่มีดราม่าเป็นลาภอันประเสริฐ"
แต่มนุษย์มาม่าบางคนก็ชอบเปิดประเด็นทุกที เอ้อ...แปลก

ออฟไลน์ JuLaJuP

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 26
คงต้องมามองก่อนว่า เพราะอะไรถึงเลิกใช้น้ำมัน เพราะ มลพิษ และ ใช้แล้วหมดไป ใช่หรือไม่
ถ้าต้องการทำเพื่อลดปัญหามลภาวะที่เกิดจากการใช้น้ำมันแล้ว ก็ขอมองลึก ๆ หน่อยนะครับ

สำหรับกรณีของ รถไฟฟ้า ไฟฟ้าที่นำมาชาร์จนั้นมาจากอะไร โรงงานไฟฟ้าถ่านหิน
โรงไฟฟ้าน้ำมันเตา หรือ พลังงานสะอาดกว่านั้นอย่างเช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์
พลังงานน้ำ หรือการเผาขยะ

ถ้าไฟฟ้าที่จะนำมาใช้ ยังมาจากโรงงานไฟฟ้าที่ยังให้เกิดมลภาวะ และเป็นการใช้
เชื้อเพลิงที่หมดไปได้ มันก็เปลี่ยนจากเราเป็นผู้ใช้เชื้อเพลิง เป็น โรงงานแทน
คงจะมามองว่า เชื้อเพลิงแอบแฝงที่ใช้ในการชาร์จไฟ ถ้าเทียบกับการใช้งาน
เชื้อเพลิงโดยตรงต่างกันอย่างไร เป็นตัวร่วมในการตัดสินใจ

แต่ถ้ามอง ไฮโดรเจน ก็อาจจะต้องมองว่า การผลิตไฮโดรเจนได้มาอย่างไร
แยกองค์ประกอบจากน้ำ ก็คงต้องดูว่าใช้อะไรเป็นพลังงานในการแยกอีกเช่นกัน
เช่นกัน ก็ขอดูการสร้างมลพิษแอบแฝงซะหน่อย

ส่วนน้ำมันสังเคราะห์ ก็คงต้องมองเช่นกันว่า ได้มาอย่างไร ใช้แล้วยังจะหมดไปหรือไม่
กระบวนการผลิต และใช้งานก่อให้เกิดมลภาวะอย่างไรบ้าง

สรุปว่า ขอเลือกแบบที่ก่อให้เกิดมลภาวะน้อยที่สุด และใช้พลังงานในการผลิตน้อย
สูญเสียพลังงานในระบบน้อยกว่าครับ ณ ความเข้าใจตอนนี้คงจะเป็น EV ครับ

ออฟไลน์ Smith686

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,949
    • อีเมล์
คงต้องมามองก่อนว่า เพราะอะไรถึงเลิกใช้น้ำมัน เพราะ มลพิษ และ ใช้แล้วหมดไป ใช่หรือไม่
ถ้าต้องการทำเพื่อลดปัญหามลภาวะที่เกิดจากการใช้น้ำมันแล้ว ก็ขอมองลึก ๆ หน่อยนะครับ

สำหรับกรณีของ รถไฟฟ้า ไฟฟ้าที่นำมาชาร์จนั้นมาจากอะไร โรงงานไฟฟ้าถ่านหิน
โรงไฟฟ้าน้ำมันเตา หรือ พลังงานสะอาดกว่านั้นอย่างเช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์
พลังงานน้ำ หรือการเผาขยะ

ถ้าไฟฟ้าที่จะนำมาใช้ ยังมาจากโรงงานไฟฟ้าที่ยังให้เกิดมลภาวะ และเป็นการใช้
เชื้อเพลิงที่หมดไปได้ มันก็เปลี่ยนจากเราเป็นผู้ใช้เชื้อเพลิง เป็น โรงงานแทน
คงจะมามองว่า เชื้อเพลิงแอบแฝงที่ใช้ในการชาร์จไฟ ถ้าเทียบกับการใช้งาน
เชื้อเพลิงโดยตรงต่างกันอย่างไร เป็นตัวร่วมในการตัดสินใจ

แต่ถ้ามอง ไฮโดรเจน ก็อาจจะต้องมองว่า การผลิตไฮโดรเจนได้มาอย่างไร
แยกองค์ประกอบจากน้ำ ก็คงต้องดูว่าใช้อะไรเป็นพลังงานในการแยกอีกเช่นกัน
เช่นกัน ก็ขอดูการสร้างมลพิษแอบแฝงซะหน่อย

ส่วนน้ำมันสังเคราะห์ ก็คงต้องมองเช่นกันว่า ได้มาอย่างไร ใช้แล้วยังจะหมดไปหรือไม่
กระบวนการผลิต และใช้งานก่อให้เกิดมลภาวะอย่างไรบ้าง

สรุปว่า ขอเลือกแบบที่ก่อให้เกิดมลภาวะน้อยที่สุด และใช้พลังงานในการผลิตน้อย
สูญเสียพลังงานในระบบน้อยกว่าครับ ณ ความเข้าใจตอนนี้คงจะเป็น EV ครับ
   Tesla มีโรงงานผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ แล้วจ่ายไฟไปยังสถานีย่อยต่างๆ   https://www.teslamotors.com/gigafactory
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 01, 2016, 21:33:54 โดย Smith686 »

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
จิ้ม EV แบบไม่ลังเลครับ คุณใช้ solar panel ชาร์ตไฟรถ คุณก็เป็นอิสระจากตัว energy firm ทั้งหลายแล ส่วนไฮโดรเจน บายครับ เพราะคุณก็ยังต้องขึ้นกับพวก firm พวกนั้นอยู่ดีไหนจะขึ้นราคา ปริมาณแก๊สสำรองหมดซึ่งไม่ต่างจากแก๊สอื่นๆที่ขุดมาแล้วใช้ไปหมด 

ออฟไลน์ golf8023

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,381
    • อีเมล์
EVครับ
คิดเอาเองว่าต่อไปแบตจะเล็กลงเรื่อยๆ อาจจะซื้อแบตสำรองมาเปลี่ยนได้เอง
ถอดแบตเอาไปชาร์จในบ้านได้ ไม่ต้องเสียบสายกับรถทุกครั้ง เดินทางไกลไปค้างคืนที่ไหนก็พกแบตสำรองไป แบตหมดก็เปลี่ยน ก้อนที่หมดก็พกไปชาร์จในโรงแรม

คือมันอาจจะสะดวกแบบแบตของสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน อะไรแบบนี้
ผมก็เพ้อเจ้อไปเรื่อยนะ  ;D

ออฟไลน์ Terng

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,757
ผมจิ้มเลือก Hydrogen ครับเพราะมันเติมได้ไวไม่ต่างจากน้ำมัน ส่วนเรื่องมลพิษแอบแฝงนั่นยังกังขาอยู่ แต่จากความเข้าใจคิดว่า กระบวนการผลิตไฮโดนเจนน่าจะสะอาดกว่าการปั่นไฟมาชาร์จรถ EV ครับ ลองนึกภาพว่า ถ้ารถทุกคันใช้ EV หมด พลังงานไฟฟ้าอีกมหาศาลที่จะต้องตามมา คือมีการตั้งโรงไฟฟ้าขึ้นมาเพิ่ม ถ้าเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้ายังพัฒนาตามไม่ทัน ผมว่ามันจะส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบครับ

แต่กับ Hydrogen เท่าที่ทราบขั้นตอนการผลิต แม้จะมีการปล่อย CO2 แต่เนืองจากเป็นโรงงานผลิต จึงสามารถออกกฎระเบียบข้อบังคับให้กำจัดก่อนปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศได้ด้วยกระบวนการหรือเทคนิคที่หลากหลาย ซึ่งการใช้โรงงานผลิต Hydrogen ขนาดใหญ่น่าจะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยถูกลง (ทั้งในแง่ของทุนที่เป็นตัวเงิน และต้นทุนทางด้านมลภาวะเนื่องจากการใช้พลังงานมาผลิต)

ทั้งนี้ก็ต้องรอดูกันต่อไปครับว่า EV จะสามารถพัฒนาตัวเองให้ชาร์จได้เร็ว มีอายุการใช้งานที่น่าพอใจ มีระยะทางวิ่งที่ดีไม่ต่างจากปัจจุบัน หาที่ชาร์จได้แม้กระทั่งบนยอดเขาหรือที่ทุรกันดารหรือไม่ (หรือพกในลักษณะถังสำรองเหมือนตอนใช้น้ำมันไปคอยเติมได้หรือไม่) ถ้าหากทำได้ ผมว่า Hydrogen ก็น่าจะไม่เกิดครับ เพราะต้นทุนเรื่องการเก็บรักษาการขนส่ง น่าจะต้องสูงกว่า
=====================
รถที่ใช้เป็นประจำ
2013 Toyota Camry Extremo 2.0
2015 Ford Ranger T6 XLT Open Cab 2.2 MT
2018 Toyota CHR HV Mid
=====================

ออฟไลน์ Jacob

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,803
ดูจากอีกกระทู้ ทำไม Mirai ไม่ได้รางวัลเครื่องยนต์เลย แปลกจัง green engine ก็ยังเป็นรถไฟฟ้าของ tesla อยู่ดี (หรือเพราะ Mirai ยังไม่ได้เปิดตัวในยุโรป??)

เรื่องไฟฟ้าไม่ต้องกังวลหรอกว่าจะไม่พอ ต่อไปประเทศจะมีรถไฟความเร็วสูง ยังไงเค้าก็ต้องผลิตให้เพียงพอ การผลิตกระแสไฟฟ้าก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มีการคิดค้นวิธีการผลิตออกมาเรื่อยๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 03, 2016, 12:09:30 โดย Jacob »

ออฟไลน์ -Brian

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,079
EV ครับ เพราะได้ทั้งความแรงสั่งได้ ต้นทุนเชื้อเพลิงถูก การบำรุงรักษาก็ถูก
แถมลดขยะมลพิษจากการเลิกใช้น้ำมันเครื่องได้อีก

ออฟไลน์ Ex_machina

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 721
ดูจากอีกกระทู้ ทำไม Mirai ไม่ได้รางวัลเครื่องยนต์เลย แปลกจัง green engine ก็ยังเป็นรถไฟฟ้าของ tesla อยู่ดี (หรือเพราะ Mirai ยังไม่ได้เปิดตัวในยุโรป??)


Mirai ได้รางวัล World Green Car of the Year ไปแล้วครับ
ที่ไม่ได้ green engine อาจเป็นเพราะไม่ได้บ้าพลังเหมือน tesla มั้งครับ  ;D
(ส่วนมากชอบรถแรงๆ)