ขอเท้าความก่อนนะครับ ถ้าอยากข้ามไปที่เรื่อง GS 1.5T เลื่อนเลยเส้นได้เลย
ย้อนกลับไปปีที่แล้วประมาณกลางๆ ปี ผมได้ไปลอง MG6 ที่สนาม Driving Experience ของ MG ที่ซีคอน ศรีนครินทร์(ปัจจุบันปิดไปแล้ว) เนื่องจากดู The Clip แล้วรู้สึกว่ารถรุ่นนี้โดนด่าเยอะจัง ต้องไปลองซะหน่อย ซึ่งหลังจากที่ได้ลองผมรู้สึกประทับใจมากในอัตราเร่ง Handling และช่วงล่าง เลยตัดสินใจรอ MG6 MCE 2015 เพราะชอบรูปร่างหน้าตากับอ็อปชั่นที่ทันสมัยกว่า
แต่ปรากฏว่าพอถอยออกมา อ้าวเฮ้ย! ไม่เหมือนที่เคยลองไว้นี่หน่า ทั้งหน่วงเวลาออกตัว คิกดาวน์รอนานมาก เวลารถติดๆ ก็ขยับตัวยากและช้า ถอยจอดทางชันก็ยากมากเพราะไหลตามแบบ Dual clutch ตอนนั้นรู้สึกค่อนข้างเฟลว่าทำไมมันไม่ดีอย่างที่คิดไว้ แต่มันก็ยังมีข้อดีที่ช่วงล่างที่ Feel good ที่สุดใน C-segment กับเบาะหลังที่กว้างให้ผู้ใหญ่อ้วนๆ ในบ้านนั่งได้สบาย พร้อมแอร์หลัง
พอใช้ไปซักพักรู้สึกระบบไฟจะจุกจิก เอาเข้าศูนย์แล้วได้ MG6 รุ่น 2014 มาขับชั่วคราว ปรากฏว่าเฮ้ย นี่แหละที่เคย Test ไว้มันต้องแบบนี้! ปรากฏว่ารุ่นเก่าขับดีกว่ามากมายครับ มารู้ทีหลังว่าซอฟท์แวร์เกียร์คนละตัวทำเอาผมเซ็งเลย เกียร์ไม่หน่วง คันเร่งไว ปล่อยเบรครถก็ไหลเลย แต่มันก็มีข้อเสียที่ Interior มันพิการๆ เช่นที่บังแดดสั้นมากแบบคนเตี้ยใช้งานไม่ได้ ที่เก็บของข้างประตูใส่ขวดน้ำไม่ได้ อะไรพวกนี้
สุดท้ายเลยปล่อย MG6 ไป แล้วเอา MG5 มาใช้แทน ก็โอเคครับ ทั่วไปผมรู้สึกว่าขับสู้ MG6 ตัวเก่าไม่ได้ แต่ดีไซน์ภายในมีความอเนกประสงค์ ใส่ขวดน้ำ วางของ พิงแขน อะไรพวกนี้ดี รวมๆ แล้วเป็นรถที่จัดว่าโอเค คืออัตราเร่งตอนออกตัวมันหน่วงไปหน่อยกับกินน้ำมันหนักไปหน่อย แต่ขับทางไกลก็ยังสบายใจอยู่
มาถึง Motor Show เมื่อต้นปีผมได้ลอง MG GS ตัว 2.0T AWD ในงาน พอลองในสนามเอ้อ แรงดี แต่พอหลังจากนั้นมาลองข้างนอกที่ถนนเส้นบางนา ตราด อยู่ในเกณฑ์ไม่ค่อยประทับใจ ฟีลคล้ายๆ กับ MG6 ปี 2015 นั่นแหละ รู้สึก พวงมาลัยโหวงๆ กว่า MG5 แล้วการตอบสนองมันไม่ตรงกับใจ เหมือนเราเหยียบเท่านี้คิดว่ามันจะแซงได้ชิวๆ ปรากฏรอรอบนานเลยกว่าจะพุ่ง คือขับจริงๆ ต้องขับที่ 130+ ถึงจะได้ประโยชน์จากเครื่อง 2.0T ของมัน ซึ่งผมขับไม่เกิน 120 อยู่แล้ว เลยรู้สึกไร้ประโยชน์ ตอนนั้นรู้สึกหมดหวังในเกียร์ Dual Clutch ของ MG เลยครับ คิดว่าแนวทางการจูนของ MG คือหน่วงๆ เซฟๆ อุปกรณ์ เลยคิดว่าคันหน้าเราคงจะไม่ได้ใช้ MG แล้ว
อย่างไรก็ตามหลังจากที่แถวบ้านผมน้ำท่วมครั้งล่าสุด ผมตัดสินใจว่าคันหน้าจะใช้รถ SUV ผมเลยพยายามไปลองให้ครบทุกยี่ห้อครับ รุ่นที่ลองมาแล้วก็มี CX-3 CX-5 XV เสียดายไม่ได้ลอง Honda เพราะเซลไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไร บอกว่าขอลอง HRV ได้ไหม บอกว่ารถมีนะ แต่ต้องโทรมานัดก่อนถึงจะให้ขับได้ โอ้โหว์ เจอแบบนี้ไม่ลองก็ได้ ชาตินี้จะไม่อุดหนุน 5555 (แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนศูนย์เพื่อไปลอง Civic 1.8EL อยู่ดี)
----------------------------------------------------------------
เอาล่ะ เล่าเรื่องมานาน ขอเข้าเรื่อง รีวิว MG GS 1.5T เลยแล้วกัน
ผมคุยกับเซลไว้ครับว่าอยากลองรถติดๆ เพราะเกียร์ Dual Clutch มันจะมีปัญหาเวลาขับรถติดๆ ซึ่งวันนี้ถนนเส้นบางนาตราดก็รถติดสมใจ แต่เส้นหลักก็ยังความโล่งให้เร่งได้ถึง 120 km/h ได้สบาย
ไปถึงศูนย์ก็ออกมาเส้นบางนาตราด รถติดกระดึ๊บๆ ดูว่าเกียร์จะกระตุกมั้ยขับไปที่ 20 แล้วเหยียบคันเร่งแผ่วๆ จะกระตุกละ ตามธรรมชาติของเกียร์ ผมพยายามทำให้เกียร์กระตุกอยู่หลายครั้ง พบว่าการกระตุกของมันน้อยมาก ถือว่าพัฒนามาได้ดีมาก ค่อนข้างมั่นใจว่าคนที่ใช้เกียร์ Torque Converter มาก่อนจะไม่รู้สึกรำคาญ แต่คนใช้ CVT จะรู้สึกบ้าง
Driving Dynamic ของรถคันนี้ผมชอบมากๆ ผมไม่มีโอกาสได้ขับ CX-3 ยาวๆ แต่ถ้าเทียบแล้ว GS 1.5T ชอบมากกว่า CX-5 2.0S และ XV เลยล่ะ เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ถ้าคุณวัดความสนุกจากการเหยียบมิดคันเร่ง ผมคิดว่าคุณอาจจะชอบ CX-5 มากกว่าทำไมน่ะเหรอ
เพราะว่า GS มันมีแรงบิดรอบต่ำที่ดี แต่พอรอบเริ่มสูง 4000+ ผมรู้สึกว่ามันเริ่มไม่มีแรงละ ฟีลแบบเครื่องดีเซลเลย ซึ่งผมชอบแบบนี้มากกว่าการลากรอบไปที่ 4000-6000 เพราะผมมีนิสัยเท้าเบา ไม่ค่อยกดคันเร่งลึกๆ ซึ่งที่รอบเท่านั้นเครื่องยนต์ 2.0 Skyactiv มันทำงานได้ดีกว่าแบบไม่ต้องสงสัยเลย แต่จากที่ลอง CX-5 ผมรู้สึกว่าการใช้ความเร็วในรอบต่ำมันไม่ทันใจเท่าที่ควร ถ้าคนจำที่ผมเคยพูด CX-5 ได้ ผมเลยบอกว่ารู้สึกว่า Mazda 2 ขับสนุกกว่า รู้สึกแรงกว่า แม้ 0-100 CX-5 จะทำเวลาได้ดีกว่า ซึ่งพูดกันตามตรง GS 1.5T คันนี้ผมรู้สึกขับสนุกกว่า Mazda 2 ที่ผมรู้สึกว่าขับมันส์ที่สุดตั้งแต่ Test หลายๆ คันมา ตอนนี้ GS 1.5T เป็น My favorite ของผมเลย
คันเร่งกับเกียร์ Dual Clutch 7 สปีด ชุดนี้จูนมาได้ลงตัวมาก ผมต้องขอโทษวิศวกร MG ไทยที่ผมด่าและดูถูกไว้เยอะมาก 555 คุณทำผลงานได้ดีจริงๆ เหยียบเป็นมา ในช่วงรถติดจะแซงซอกแซกก็คล่องตัวมากทั้งๆ ที่รถใหญ่ อ้วน
ในการทำความเร็วกดคันเร่งค้างไว้รอบสูงๆ 4000+ พอเปลี่ยนเกียร์จะรู้สึกได้ คือผมชอบน่ะ ฟีลเหมือนเวลาเล่นเกมส์ Drag อย่าง CSR ต้องมีกระตุกบ้างถึงจะมันส์ ให้รู้สึกถึงการเปลี่ยนเกียร์
จากการขับไม่มีอาการคันเร่งตื้อให้เห็น ซึ่งอาการคันเร่งตื้อ (เหยียบแล้วนิ่ง) เจอบ่อยมากใน MG5 และ MG6 2015 อันนี้แก้แล้ว เหยียบแล้วพุ่งตามที่ใจต้องการตั้งแต่เกียร์ 1-7 ซึ่งต่างจาก MG5 และ MG6 ที่เกียร์ 6 คันเร่งคุณจะตื้อทำให้ต้อง Shift down เวลาเร่งแซงถึงจะทันใจ แต่อันนี้เกียร์ 7 ก็ยังเร่งแซงได้สบาย
Paddle Shift ที่โดนด่ามาตั้งแต่สมัย MG6 2014 ที่ Shift down 2 ครั้งแล้วลงให้เกียร์เดียว แม้แต่ GS 2.0T กด 2 ครั้งก็ลงให้ทีละเกียร์ช้าๆ อันนี้แต๊บๆ จาก 7 ไป 5 จาก 6 ไป 4 ทันทีครับ ไม่มีให้รอ พี่แพนชอบแน่
การ Kick Down มีอาการอมแล้วบ้วน ประมาณ 1 วินาที พอๆ กับ Mazda 2 (นี่มันเครื่องเบนซินหรือดีเซลกันแน่) CX-3 เหยียบแล้วบ้วนเลย ตรงนี้น่าจะสู้เครื่องเบนซินของมาสด้าไม่ได้ แต่ถ้าคุณชอบขับรถแนวดีเซลอยู่แล้ว การกระทืบคันเร่งแบบนี้ไม่ได้เป็นปัญหาเท่าไร
เสียดายไม่มีโอกาสได้ Drag ออกจากไฟแดงเพราะรถมันเยอะมากเลยไม่รู้ว่าเหยียบมิดล้อฟรีไหม แต่เท่าที่กดดูรู้สึกว่าคันนี้จะเป็น MG คันแรกที่ผมออกตัวตาม Jazz ทัน 5555 ปกติโดน Jazz แซงเป็นทุ่งตลอด ขนาด MG6 2014 ที่ผมเคยชมว่าเป็น MG ที่ขับดีที่สุดก็ยังหนักจนออกตัวตามรถเบาๆ ไม่ทัน
ระบบ Break Hold ก็ทำงานได้ดีครับ ไม่กระตุกเหมือนใน MG6 ระบบนี้ขับในรถติดแบบนี้แล้วรู้สึกชีวิตดี
พวงมาลัยน่าแปลกที่คมกว่ารุ่น 2.0T ได้ยินว่ามีการเปลี่ยนยอยพวงมาลัย แต่เพื่อนผมที่ใช้ 2.0T บอกว่ามันก็ยังมีระยะฟรี อาจจะเป็นเพราะขนาดยางที่ต่างกัน แต่รวมๆ ผมว่าดีกว่า MG5 เพราะไม่มีฟีลก๊องแก๊งเวลาหักสุด
ช่วงล่างหนึบแน่น เงียบ (แต่ถนนมันเรียบอะนะ) อันนี้รอทางทีมงาน HLM รีวิวดีกว่า แต่โดยรวมเทียบกับ CX-5 2.0S ผมว่าย้วยไม่เท่า แล้วก็ไม่แข็งเป็นเกวียนเหมือน GS2.0T เก็บเสียงพอตัว
อัตราการกินน้ำมันไม่ได้วัดครับ เพราะกว่าจะกดดูอัตราการกินน้ำมันเป็นก็เกือบถึงศูนย์แล้ว แต่ดูคร่าวๆ E85 ในเมืองรถติดๆ น่าจะได้ประมาณ 7-8 km/l ถือว่าโอเคนะ MG5 ผมก็ได้ประมาณนี้แหละ
หลังจากขับวนทำความเร็วและขับรถติดๆ อยู่นานพอสมควรเลยกลับไปที่ศูนย์ครับ เพื่อทดสอบลำโพงและการถอยจอด ปรากฏว่าเสียงดีใช้ได้เลยครับ อันนี้ 8 ตัวนะ ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องเสียง แต่จากเท่าที่ทดสอบมาหลายๆ คัน ผมว่าคันนี้เสียงดีสุดแล้ว (ไม่มีโอกาสทดสอบลำโพงของ CX-5 และ CX-3)
การถอยจอดก็ง่ายเหลือเชื่อครับ ที่จอดของศูนย์แคบมากและต้องถอยขึ้นทางชัน ผมมีประสบการณ์อันเลวร้ายกับการถอยจอดขึ้นทางชันด้วย Dual Clutch เคยเห็นเพื่อนถอยจอดโฟกัส MK3 บนทางชันแทบจะพุ่งไปชนเพื่อนอีกคน ส่วนตัวตอนใช้ MG6 จะถอยจอดขึ้นทางชันก็ไหลลงครับ ต้องเหยียบคันเร่งช่วย ค่อนข้างที่จะลำบากชีวิต แต่ GS ตัวนี้มีแรงไหลเหมือน Torque converter เลย
ข้อเสียที่เจอคือ
1. มุมกระจกข้างมันแคบ หรือตัวถังมันอ้วน ไม่แน่ใจ แต่มุมอับสายตายที่กระจกข้างค่อนข้างเยอะ รุ่นหน้าขอเซนเซอร์เตือนรถมุมอับหน่อยก็จะดีมาก
2. ประตูปิดยาก ผมว่าผมก็แรงไม่น้อย ต้องออกแรงมากพอสมควรเลยถึงจะปิดได้ นึกถึงตอน MG6 นี่ก็ปิดแรงไป กระแทกขาทีหนังลอกเลย
3. อันนี้เพื่อนบอกมา บอกเห็นหนังหุ้มเบาะแล้วรับไม่ได้ 5555 คงต้องเปลี่ยนดีไซน์เบาะซะหน่อย
สรุป
MG GS 1.5T ในความรู้สึกของผม เป็นรถที่ขับดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นรถที่ขับเสร็จแล้วประทับใจมาก 0-100 เท่าไรไม่รู้ 80-120 ไม่แน่ใจ แต่ขับแล้วมันใช่ มันตอบโจทย์กว่าทุกคันที่เคยขับมา เสียดายถ้ามันเข้าตั้งแต่ปีที่แล้วผมจะไม่ออก MG6 มาออกคันนี้แทน
ตอนนี้ก็เหลือแค่ว่ามันจะพังเหมือนเฟียสต้ามั้ย ถ้าพังแล้ว MG จะซ่อมได้มั้ย ถ้าสอบผ่านตรงนี้ได้ ผมว่าอนาคต MG รุ่งแน่ๆ ครับ เพราะรถมีพัฒนาการแบบก้าวกระโดดมากๆ
ผมย้อนกลับไปอ่านรีวิวนี้ตั้งแต่ต้นแล้วรู้สึกว่ามันดูขี้โม้มาก แต่มันเป็นความรู้สึกที่ผมได้รับหลังจากได้ขับมันจริงๆ ทั้งนี้ความรู้สึกในการใช้รถของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน ตามนิสัยการใช้รถยนต์ครับ