B-Car ใช้งานทั่วไป แบบไม่คิดอะไร เหยียบได้ดั่งใจ ไม่ต้องเค้น ไม่ต้องอะไร รวมๆ ขับสบาย อัตราเร่งใช้งานกำลังดี
ส่วน Eco Car กลับกัน คือถ้าเค้นให้ประหยัด ก็ประหยัดสุดๆ เค้นให้เปลือง ก็เปลืองได้ยิ่งกว่า B-Car
ใครเคยขับมาร์ชแบบพยายามให้ประหยัดเต็มที่ หรือเคยขับคันจริง
มาดู Attachment ว่าผมทำเฉียด 20 กม./ลิตร ในเมืองได้ยังไง
(ถังน้ำมันมาร์ชมีประมาณ 42 ลิตร แบบหมดสนิทๆ และขีดแรกจะลดช้ากว่าเค้าเพื่อน ปกติจะได้ราวๆ 8 ลิตร ครับ)
แต่นี่คือ ผมออกเช้ากลับมืด รถยังติด ทำไง? (เฉลี่ย 20 กม./ชม. ออกตัวควรจะเปลือง
ผมก็ปล่อยไหลบ้าง ไรบ้าง เบรกให้น้อยที่สุด ใช้รอบให้ต่ำสุดๆ คือเค้นความประหยัดแบบ
เท่าที่จะทำได้โดยที่ยังไม่ให้คันหลังต้องด่า ดิฟไฟ หรือปาด)
ที่สำคัญคือรถคันนี้แปลงหัวฉีด ทำท่อ ฯลฯ มาแล้ว ก็ยังได้ขนาดนี้
ในขณะเดียวกัน พอผมจะอัดเหรอครับ ทางไกลวิ่ง 140 ทำได้ อัตราเร่งไม่แย่นะ (รถทำมาแล้ว) แต่ 10 กม./ลิตร
และการใช้งานแบบเดียวกะที่ผมใช้กระบะตัวเตี้ยวีโก้ได้ ก็คือ เอาเข้าสวน ขนปุ๋ย (แม้จะได้แค่ 500 ก.ก.)
ก็แลกมาด้วยความทนทานที่ลดลง ลองถามอู่แถวบางบัวทองก็ได้ว่าผมเปลี่ยนลูกปืนล้อกะแกไปแล้วกี่ชุด
มันมีจุดที่ Beyond Expectation อยู่ เช่น ความสบายที่ไม่น่าเชื่อ อรรถประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมในราคาต่ำ
แต่ในความดีเหล่านั้น ผมอาจจะต้องแลกมาด้วย ความปลอดภัยที่ลดลง ความน่าเชื่อถือ-เสถียรภาพที่ต่ำลง เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ถ้ามีคันหน้าผมจะเอาทรงๆ นี้ไหม ผมคิดสะระตะทุกประการแล้ว ขนาดรถน่ะได้ แต่ผมคงขยับไป 1.5-1.6 แทน
เพราะไม่ใช่ว่ามันไม่ดี แต่มันอาจจะไม่เหมาะกับพฤติกรรมคนไทยใจร้อน ในขณะที่ถ้าเป็นคนญี่ปุ่นขับได้ไม่เกิน 60-100 นี่เหมาะมาก
เอาง่ายๆ เผื่อใครไม่เคยขับ Nissan 1.6 Twin CVT-C+Twin Injector ตัวปัจจุบัน มันประหยัดกว่า 1.2 Eco Car ยี่ห้อตัวเองครับ