เป็นผมนะครับ. มารยาทในระดับที่ผมถุมิใจเนี่ยะ
หากเจอ. มนุษย์ที่ทำผิด พรบ. บนท้องถนน เช่น. ยายแก่ขี่มอเตอไชต์สวนเลน
ยายแก่หาบของไม่จ้ามทาวม้าลาย
ผมเอื้อเฟื้อไห้ครับ. ในรุปถนนมันโล่ง
หากได้ดุรุปน่าจะมีน้ำใจกันบ้าง..
ไม่ต้องไปแถสมมุติสถานการถนนแบบอื่น. จขกทก้อถ่ายรุปมา
ถนนแบบนี้ คิดว่าพอไปถึงหัวแถวฝั่งที่รถติดแล้ว พวกที่สวนมาเค้าจะอยู่ตรงไหนครับ เพราะเค้าจะกลับเข้าซ้ายไม่ได้แน่ๆ ก็ต้องมาจอดรอสัญญาณไฟหน้าแยกบนเลนของอีกฝั่งหนึ่ง ... ทำให้
1. อีกฝั่งเสียช่องทางจราจร (จนเป็นคอขวด ที่อาจทำให้จุดที่จขกท.ถ่ายรูปมาโล่ง เพราะรถผ่านจุดคอขวดมาได้น้อย)
2. เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากรถที่มาจากอีกฝั่งที่มองไม่เห็นรถที่วิ่งสวนช่องทางมา (หากข้างหน้าเป็นสี่แยก รถอีกฝั่งที่เลี้ยวขวามาจะเข้าถนนนี้ อาจมองไม่เห็นรถที่จอดรอสัญญาณไฟที่อยู่ผิดเลน)
3. เอาเปรียบเพื่อนร่วมทางที่วิ่งฝั่งเดียวกัน ทำให้การจราจรยิ่งติดขัดหนักขึ้นอีก (เพราะต้องไปเบียดเข้าด้านหน้า)
4. เพิ่มความเสี่ยงให้คนข้ามถนน (ธรรมชาติคนข้ามต้องมองทางที่รถทั่วไปจะวิ่งมา)
ทั้งหมดมาจากเหตุที่ผมเจอเป็นประจำที่แยกมหานคร ซึ่งสภาพถนนเหมือนที่จขกท.ถ่ายมาเลยครับ
ผมเชื่อว่าหลายคน(ถ้าไม่ใช่ทุกคน)ในที่นี้ มีน้ำใจพอที่จะไม่บีบแตรด่า ยายที่หาบของเดินข้ามถนนใกล้สะพานลอย ... นั่นเป็นเพราะการบังคับใช้กฏหมายควรอะลุ้มอะหล่วยเมื่อมี "เหตุจำเป็นตามสมควร" .... แต่การวิ่งสวนช่องทางจราจรเพราะรถฝั่งตัวเองติด แต่อีกฝั่งไม่ติด ไม่ใช่ "เหตุจำเป็นตามสมควร" ครับ
กฏจราจร คือ กฏเพื่อความปลอดภัยในการอยู่ร่วมกันครับ
แนะนำให้ลองอ่าน broken window theory จริงๆนะครับ มันมีแนวคิดว่าสังคมที่ละเลยเรื่องเล็กๆน้อยๆ สามารถส่งผลกระทบได้มากมายขนาดไหน
ปล. ผมไม่ได้บอกว่าผมบริสุทธิผุดผ่อง ไม่เคยที่ผิดกฏจราจรนะครับ แต่เมื่อผมทำผิดแล้วถูกตำหนิหรือลงโทษ ผมยอมรับการตำหนิหรือการลงโทษนั้นโดยไม่หงุดหงิดผู้ตำหนิหรือผู้บังคับใช้กฏหมาย