ในเมื่อหัวข้อกระทู้เกี่ยวกับรถช้าเลนขวา ผมก็จะพยายามไม่พูดถึงเรื่องอื่นก็แล้วกัน
ข้อกฎหมายที่ชอบ copy&paste กันมาว่าถนนที่มีช่องทางเดียวกันตั้งแต่ 2 ช่องขึ้นไปต้องเดินรถทางช่องซ้าย
ความหมายรวมๆมันคือ เลนขวามีไว้แซง แซงเสร็จแล้วรถว่างต้องเข้าช่องทางซ้ายเสมอ ไม่ว่าจะขับช้าหรือขับเร็วแค่ไหนก็ตาม เพื่อความเป็นระเบียบไม่กีดขวางจราจร
ที่นี้ความเป็นจริงบนท้องถนนก็คือ ทุกคนคิดว่าตัวเองวิ่งเร็วแล้ว ก็เลยวิ่งขวากันหมด
คนที่ขับแค่ 90 ก็วิ่งแช่ขวา คนที่ขับเกิน 120 ก็วิ่งแช่ขวา พวกที่ขับเกินกฎหมายไปมากๆ 160-170 ก็แช่ขวา แล้วก็ไปไล่รถคันอื่นๆที่ขวาง
คนที่ขับถูกกฎหมายตลอด ไม่แช่ขวา ไม่ขับเกินกฎหมาย แต่ต้องมาคอยดูพวกขับแช่ ขับเร็วเกินกฎหมายไล่จี้ตูด ไล่กระพริบไฟรถคันอื่น มุดซ้ายมุดขวามั่วซั่วส่งเดช
แล้วต้องคอยมองกระจกหลังตลอดว่ารถพวกนี้มันจะเสียหลักมาชนท้ายรึเปล่าอีก.......
ข้อสรุปของผมคือ ตามกฎหมายคุณไม่มีสิทธิ์ขับรถแช่เลนขวานานๆเพราะกีดขวางคนอื่น (ยกเว้นว่ากำลังจะกลับรถ เลี้ยวขวา หรือกำลังแซงรถทางซ้ายอย่างชัดเจน)
และคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะขับเร็วเกินกฎหมายมากๆด้วย (ยกเว้นว่ากำลังเร่งแซงในบางช่วง)
ไม่อย่างนั้นก็แก้กฎหมายเรื่องจำกัดความเร็วซะ เปลี่ยนเป็นไม่ต้องจำกัดความเร็วไปให้เท่าเทียมกันหมด ใครอยากขับเร็วแค่ไหนก็ขับไป
แล้วเรื่องอุบัติเหตุอันดับ 1-2 ของโลก ก็แกล้งลืมๆกันไปครับ
ในการขับรถแซงซ้ายถือเป็นพฤติกรรมการขับขี่ที่เห็นได้จนชินตาในปัจจุบัน แต่ก็ยังมีผู้ขับขี่บางคนที่มีพฤติกรรมขับรถช้าแช่ช่องทางด้านขวา เหล่านี้ถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่อย่างไร..?
โดยปกติแล้ว การขับรถแซงช่องทางด้านซ้าย ถือว่าผิดกฎหมายแน่นอน เนื่องจาก พรบ.จราจรทางบก ปี 2522 หมวด 2 มาตรา 45 ระบุไว้ชัดเจนว่า ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ ขับรถแซงหน้ารถคันอื่นทางด้านซ้าย ซึ่งในต่างประเทศที่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เช่น เยอรมนี จะพบรถแซงซ้ายได้น้อยมาก จนแทบเรียกได้ว่าไม่มีเลย
อย่างไรก็ดี กฎหมายได้ระบุข้อยกเว้นในมาตรา 45 (2) ว่าผู้ขับขี่สามารถแซงขึ้นไปทางซ้ายได้ เมื่อเห็นว่าปลอดภัย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กรณีที่ไม่สามารถแซงช่องทางด้านขวาได้จริงๆ เช่น รถคันหน้าไม่หลบให้ หรือรถคันหน้าเตรียมกลับรถ เป็นต้น
แต่ยังมีผู้ขับขี่รถยนต์อีกกลุ่มที่มีพฤติกรรมขับรถแช่ขวา ไม่ยอมหลบเข้าช่องซ้าย แม้จะขับช้ากว่ารถคันอื่นก็ตาม บางครั้งอาจเป็นเพราะคิดว่าตัวเองใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนดแล้ว ไม่จำเป็นต้องหลบซ้ายให้แต่อย่างใด ซึ่งเหล่านี้เป็นความผิดตามกฎหมายเช่นกัน โดย พรบ.จราจรทางบก ปี 2522 มาตรา 34 ระบุว่า การใช้ทางเดินรถที่มีช่องเดินรถตั้งแต่ 2 ช่องขึ้นไป ต้องขับรถในช่องซ้ายสุดเท่านั้น เว้นแต่ถูกกีดขวาง, ปิดการจราจร, เมื่อจะแซงหน้ารถคันอื่น และเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงกว่ารถในช่องทางด้านซ้าย
นอกจากนั้น มาตราที่ 35 ยังระบุอีกว่า รถที่มีความเร็วช้าหรือต่ำกว่าความเร็วของรถคันอื่น จะต้องขับรถให้ชิดขอบทางด้านซ้ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยมิได้ระบุถึงความเร็วสูงสุด นั่นหมายความว่า แม้จะใช้ความเร็วสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนดแล้วก็ตาม หากมีรถที่เร็วกว่าต้องการแซงขึ้นไป ก็จำเป็นต้องหลบซ้ายให้แซงนั่นเอง
กล่าวโดยสรุปคือ ไม่ว่าจะขับแซงซ้าย หรือขับแช่ขวา ต่างก็ผิดกฎหมายด้วยกันทั้งนั้น แต่หากไม่มีการขับรถแช่ขวา ก็จะไม่มีการแซงซ้ายเกิดขึ้น ดังนั้น หากว่าช่องซ้ายมีปัญหาผิวถนนขรุขระ และตั้งใจจะวิ่งขวาจริงๆแล้วล่ะก็ แนะนำให้มองกระจกหลังเป็นระยะๆ ถ้ามีรถขับมาด้วยความเร็วต้องการจะแซง ก็ควรหลบให้เขาแซงไปก่อนครับ
ที่มา sanook.
มาตรา 44(5) ผู้ขับขี่ซึ่งประสงค์จะขับรถแซงเพื่อขึ้นหน้ารถอื่นในทางเดินรถ ซึ่งไม่ได้แบ่งช่องทางเดินรถไว้ ต้องให้สัญญาณโดยกระพริบไฟหน้าหลายครั้ง หรือให้ไฟสัญญาณยกเลี้ยวขวา หรือให้เสียงสัญญาณดังพอที่จะ ให้ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถคันหน้าให้สัญญาณตอบตามมาตรา 37 (3) หรือมาตรา 38 (3) และเมื่อเห็นว่าไม่เป็นการกีด ขวางรถอื่นที่กำลังแซงแล้ว จึงจะแซงขึ้นหน้าได้
การแซงต้องแซงด้านขวาโดยมีระยะห่างจากรถที่ถูกแซงพอสมควร เมื่อเห็นว่าได้ขับผ่านขึ้นหน้ารถที่ถูกแซงไป ในระยะที่ห่างเพียงพอแล้วจึงจะขับชิดด้านซ้ายของทางเดินรถได้
มาตรา 45 ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถแซงเพื่อขึ้นหน้ารถอื่นด้านซ้ายเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้
(1) รถที่จะถูกแซงกำลังเลี้ยวขวาหรือให้สัญญาณว่าจะเลี้ยวขวา
(2) ทางเดินรถนั้นได้จัดแบ่งเป็นช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่สองช่องขึ้นไป การขับรถแซงด้านซ้ายตาม (1) หรือ (2) จะกระทำได้เมื่อไม่มีรถอื่นตามมาในระยะกระชั้นชิดและมีความปลอด ภัยพอ
มาตรา 46 ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถแซงเพื่อขึ้นหน้ารถอื่นในกรณีต่อไปนี้
(1) เมื่อรถกำลังขึ้นทางชัน ขึ้นสะพาน หรืออยู่ในทางโค้ง เว้นแต่จะมีเครื่องหมายจราจรให้แซงได้
(2) ภายในระยะสามสิบเมตรก่อนถึงทางข้าม ทางร่วมทางแยกวงเวียนหรือเกาะที่สร้างไว้ หรือทางเดินรถที่ตัด ข้ามทางรถไฟ
(3) เมื่อมีหมอก ฝน ฝุ่นหรือควัน จนทำให้ไม่อาจเห็นทางข้างหน้าได้ในระยะหกสิบเมตร
(4) เมื่อเข้าที่คับขันหรือเขตปลอดภัย
มาตรา 47 ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถแซงหรือผ่านขึ้นหน้ารถอื่นล้ำเข้าไปในเส้นกึ่งกลางของทางเดินรถที่กำหนดไว้ หรือที่มีเครื่องหมายจราจรแสดงเขตอันตราย หรือเขตให้ใช้ความระมัดระวังบนทางเดินรถ
ในกรณีที่ทางเดินรถด้านซ้ายมีสิ่งกีดขวางที่เป็นอุปสรรคแก่การจราจรและทางเดินรถด้านขวามีความกว้างเพียงพอผู้ขับขี่จะขับรถหลีกสิ่งกีดขวางล้ำเข้าไปในเส้นกึ่งกลางของทางเดินรถที่เจ้าพนักงานจราจรกำหนดไว้ก็ได้ในเมื่อ
ไม่กีดขวางการจราจรของรถที่สวนทางมา
มาตรา 48 ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถแซงหรือผ่านขึ้นหน้ารถคันอื่นล้ำเข้าไปในช่องเดินรถประจำทาง เว้นแต่ในกรณีที่มีสิ่งกีดขวางการจราจรในทางเดินรถข้างหน้าหรือเมื่อต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน
จราจรแต่ทั้งนี้จะขับรถอยู่ในช่องเดินรถประจำทางได้เพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
มาตรา 49 เมื่อได้รับสัญญาณขอแซงขึ้นหน้าจากรถคันที่อยู่ข้างหลังผู้ขับขี่ซึ่งขับรถที่มีความเร็วช้าหรือรถที่ ใช้ความเร็วต่ำกว่าความเร็วของรถอื่นที่ขับไปในทิศทางเดียวกัน ต้องยอมให้รถที่ใช้ความเร็วสูงกว่าผ่านขึ้นหน้า
ผู้ขับขี่ที่ถูกขอทางต้องให้สัญญาณตอบตามมาตรา 37 (3) หรือมาตรา 38 (3) เมื่อเห็นว่าทางเดินรถข้างหน้า ปลอดภัยและไม่มีรถอื่นสวนทางมาในระยะกระชั้นชิด และต้องลดความเร็วของรถและขับรถชิดด้านซ้ายของทาง
เดินรถเพื่อให้รถที่จะแซงผ่านขึ้นหน้าได้โดยปลอดภัย
มาตรา 37 การให้สัญญาณด้วยมือและแขน ให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
(1) เมื่อจะลดความเร็วของรถ ให้ผู้ขับขี่ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ และโบกมือขึ้นลงหลายครั้ง
(2) เมื่อจะหยุดรถ ให้ผู้ขับขี่ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ ยกแขนขวาท่อนล่างตั้งฉากกับแขน ท่อนบนและตั้งฝ่ามือขึ้น
(3) เมื่อจะให้รถคันอื่นผ่านหรือแซงขึ้นหน้า ให้ผู้ขับขี่ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ และโบกมือ ไปทางข้างหน้าหลายครั้ง
(4) เมื่อจะเลี้ยวขวาหรือเปลี่ยนช่องเดินรถไปทางขวา ให้ผู้ขับขี่ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่
(5) เมื่อจะเลี้ยวซ้ายหรือเปลี่ยนช่องเดินรถไปทางซ้าย ให้ผู้ขับขี่ยื่นแขนขวาตรงออกไปนอกรถเสมอระดับไหล่ และ งอข้อมือชูขึ้นโบกไปทางซ้ายหลายครั้ง
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ในกรณีที่รถยนต์นั้นมีเครื่องขับอยู่ทางด้านซ้าย ให้ผู้ขับขี่ใช้ไฟสัญญาณแทนการใช้ สัญญาณด้วยมือและแขน
มาตรา 38 การให้ไฟสัญญาณของผู้ขับขี่รถยนต์หรือรถจักรยานยนตร์ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(1) เมื่อจะหยุดรถ ผู้ขับขี่ต้องให้ไฟสัญญาณสีแดงที่ท้ายรถ
(2)(1) เมื่อจะเลี้ยวรถ เปลี่ยนช่องเดินรถ หรือแซงขึ้นหน้ารถคันอื่นผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณยกเลี้ยวสีเหลืองอำพัน หรือให้ไฟสัญญาณกระพริบสีขาวหรือสีเหลืองอำพันที่ติดอยู่หน้ารถหรือข้างรถ และไฟสัญญาณกระพริบสีแดง หรือสีเหลืองอำพันที่ติดอยู่ท้ายรถไปในทิศทางที่จะเลี้ยว เปลี่ยนช่องเดินรถ หรือ แซงขึ้นหน้ารถคันอื่น
(3) เมื่อจะให้รถคันอื่นแซงขึ้นหน้า ผู้ขับขี่ต้องให้ไฟสัญญาณยกเลี้ยวสีเหลืองอำพันหรือให้ไฟสัญญาณกระพริบ สีแดงหรือสีเหลืองอำพันที่ติดอยู่ท้ายรถทางด้านซ้ายของรถ