ผู้เขียน หัวข้อ: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ  (อ่าน 8195 ครั้ง)

ออฟไลน์ sukhontha

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,479
Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: กรกฎาคม 24, 2017, 10:17:14 »
จิ๊บ ๆครับ  ตอนผมทำงานใหม่ ๆ  แมงกะไซด์  วิ่งไปกลับ ร้อยกว่า  ทำงานอยู่  8 ปี..... มันดีออก..

ส่วนรถ  ถ้าสภาพถนนดี ๆ  ก็ไปตามข้างบนแนะนำ  ...

ออฟไลน์ flybigbear

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,564
Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: กรกฎาคม 24, 2017, 12:30:16 »
ขอบคุณสำหรับหลายๆคำแนะนำครับถนนต่างจังหวัดโล่งๆขับไม่เกิน30นาทีถึงครับแต่เป็นเลนสวนมีขึ้นเขาลงเขาบ้าง

แนะนำครับ เล่นกระบะ แคป, 4ประตู ก็ PPV ทุกประเภทให้เลือกขับเคลื่อน4ล้อครับ

ลืมรถระบบเก่งไปเลยครับ

เอาไปแต่งช่วงล่างด้วยก็ดีครับ

Most recommended

ออฟไลน์ Mighty-X

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,016
Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: กรกฎาคม 24, 2017, 15:02:45 »
เชียร์กระบะด้วยคนครับ
เห็นว่าต้องขึ้นเขา ขึ้นดอยด้วย น่าจะเหมาะกว่าครับ

อันที่จริง
ถ้าเป็นตจว.ไป-กลับ 60 โล
ผมไม่ถือว่าเยอะนะ
ยิ่งถ้าถนนโล่งๆ รถไม่แน่น ขับแปปๆก็ถึงแล้วล่ะครับ

ออฟไลน์ wa330

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,567
Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: กรกฎาคม 24, 2017, 15:54:42 »
ไหนๆก็เชียรกระบะกันเยอะละ ผมเสริมเลยดีกว่า
เผื่องบทำช่วงล่าง เปลี่ยนโช้ค หน้าโหลด2นิ้ว หลัง3ดัดแหนบรองกล่อง
แม็ก18 TE37  ยางหน้า 245/45/18 ยางหลัง 275/40/18 ยางไทก็ได้ไม่แพงแล้ว
ทำแค่นี้เล่นโค้งไม่แพ้ b-seg เจ้าตลาดเดิมๆใส่ยาง195/55/15
เครื่องก็จะรีแม็บหรือลงกล่องเพิ่มก็ตามสะดวกเลย รับลองหนุกหนาน

ออฟไลน์ SM.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 27,431
Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: กรกฎาคม 24, 2017, 16:36:57 »
2 เบนซิน สิครับ

ออฟไลน์ littlecat

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 20
Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2017, 11:46:04 »
ผมใช้mazda 2 เบนซิน
ไปกลับราว60โล ถ้าไปรับส่งแฟนก็อาจจะ80โล ขับย่านรถติด
น้ำมันตกเดือนละ2400-2700
ครบหมื่นประมาณสามสี่เดือน ตอนนี้6หมื่นนิดๆในระยะเวลาจะสองปี ยังไม่มีอะไรพังเปลี่ยนของเหลว กรอง ตามระยะ
ก็ถือว่าคุ้มนะครับ

ออฟไลน์ kumpol2511

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 187
Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2017, 14:36:47 »
Mazda2 ปัญหามันไม่หนักเท่า CX-5 ครับตอนนี้ประเด็นเจ้าปัญหาของ CX-5 คือไอ้ตัว DPF ที่เป็นอุปกรณ์ใช้เพื่อกำจัดเขม่าที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่หมดโดยเอาน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเพื่อเผาเขม่าอีกที แต่ไม่รู้เพราะเมืองไทยรถติดหนักหรือน้ำมันมาตรฐานต่ำ หรือเป็นที่ไออุปกรณ์ตัวนี้เองก็ไม่รู้ทำให้ DPF มันตันครับ พอตันแล้วน้ำมันที่จะเอามาเผาเขม่าก็ดันเข้าไปปนกับน้ำมันเครื่องเอง ซึ่งผู้ใช้รถเองก็ไม่อาจทราบได้ว่ามันตันเมื่อไหร่ พอตันก็อาการเดียวกับเครื่องฮีทจนฝาโก่งนั่นแหล่ะครับ(ไม่ชัวร์เรื่องการทำงานของระบบนี้นะครับ แต่อ่านคร่าวๆมาเห็นว่าการทำงานประมาณนี้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ในรถรุ่นใหม่ๆเครื่องดีเซลก็มักติดเจ้าตัวนี้มาเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนด้วยไม่ได้มีเฉพาะมาสด้า)

ประเด็นคือมาสด้าไทยตีก็ทำมึนๆไปวันๆ ไม่เห็นออกพาร์ทอะไรมาแก้ไข (ผมติดตามมาตั้งแต่เคสแรกๆ จนตอนนี้มีหลายๆเคสเกิดขึ้นแบบเดียวกันแล้ว) บางศูนย์แนะนำให้ถอดไอ้ตัว DPF ออกเลยด้วยซ้ำหลังหมดประกัน(5555 มันใช่หรอ) ซึ่งในคลับเห็นพอหมดประกันก็ไปถอดกันทั้งนั้นนะครับ คงคิดว่าควันดำ มีเขม่าก็ยังดีกว่าเครื่องพัง แต่มันก็แก้ปลายเหตุสุดๆแหล่ะครับ ตอนนี้คนใช้ 2.2 D skyactive ก็คงเสียวๆกันทุกคนว่ารถตัวเองจะบึ้มหลังหมดประกันรึเปล่า หรือจะไปถอดตัว DPF ตอนก่อนหมดประกันประกันก็ขาดอีก

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องรอดูความรับผิดชอบของมาสด้าประเทศไทยหลัง Global ประกาศ recall ออกมาแล้วหล่ะครับ แต่สำหรับผม CX-5 ใหม่จะสวยงามแค่ไหนแต่ให้ซื้อคงขอเป็นเครื่องเบนซิลธรรมดาแล้วกันหรือไม่ก็ไปยี่ห้ออื่นดีกว่าดูจากการตีมึนที่ผ่านๆมาก็แนวๆฟอร์ดเฟียสต้ารุ่นแรกๆที่มีปัญหาเลยครับ
DPF มันคืออุปกรณ์ที่ไว้ดักเขม่า ต้องการน้ำมันดีเซลที่เป็นมาตรฐานอย่างน้อยก็ Euro 5 ขึ้นไป ซึ่ง Euro 5 เนี่ยมี sulfur แค่ 10 ppm
แต่น้ำมันดีเซลในไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ที่ประมาณ 50 ppm (euro 4) จะมี euro 5 จริงๆก็แค่พรีเมียมของเจ้าตลาด 2 ที่ ซึ่งเอาจริงๆก็คงไม่มีคนที่ขับรุ่นนี้แล้วเติมแบบนั้นทุกครั้ง

ตราบใดที่น้ำมันดีเซลยังอยู่ที่มาตรฐานนี้รถดีเซลที่มี dpf ก็เหมือนนับถอยหลังรอตันครับ auto / manual regen ให้ตายก็ไม่รอด

ที่บ้าน ผมใช้ cx5 2.2d ภรรยาใช้ mazda 1.5d  ระยะ 80,0000โล กับ 40,000โล  ยังไม่มีปัญหาแต่ตรวจสอบถังพักน้ำบ่อยๆ  cx5 ต่อประกันกับ มาสด้าขยายความคุัมครองเพิ่มอีก 2 ปี แต่ทั้ง 2คัน หมดประกันเมื่อไรก็คงถอด dpf หรือ egr ออกเหมือนกัน ต้องขออภัยไม่ใช่ไม่รักโลกแต่ มาสด้า  co2 ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว(น่าจะไม่เกิน 100 จำหน่วยไม่ได้)  ชอบอยู่ครับ ทั้ง2รุ่น และคิดว่า "มาสด้า (ญี่ปุ่น) "คงต้องแก้ไขปรับปรุงสิ่งที่เป็นปัญหาใหัจบ(เช่นที่เคยมีมาสด้า3เบนซินลอตแรกๆเเครื่องดับเพราะท่อน้ำมันไม่ทนแกสโซฮอลน์) เพราะในโฉมใหม่และอีกหลายรุ่นเช่น cx8,9 " มาสด้ายังใช้เครื่องดีเซลชุด  1.5dและ2.2 ตัวนี้อยู่"