ส่วนตัวผมเองไม่ค่อยได้ขับรถในเมืองมากนัก ปกติแล้วจะขับรถจากเกษตร-นวมินทร์ไปทำงานที่สุวรรณภูมิ โดยเริ่มจากแถวๆนวมินทร์อเวนิวไปขึ้นทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ตรงนี้ใช้ระยะทางไม่เกิน5กม. ซึ่งเป็นช่วงที่จะเจอรถติดมากที่สุด แต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้ติดมากมายขนาดนั้น หลังจากขึ้นทางด่วนก็จะวิ่งที่ 100-150 โดยใช้ความเร็วที่ 120-140 เป็นส่วนมาก จนไปลงที่มอเตอร์เวย์และต่อเข้าสุวรรณภูมิ ก็จะใช้ความเร็วราวๆ 120-150 นี่แหละครับ โดยจะไปต่างจังหวัดราวๆสองอาทิตย์ครั้ง จังหวัดที่ไปก็มีตั้งแต่ชัยนาท สิงห์บุรี ขอนแก่น อุดร สกลนคร หรือบางทีก็ไปชลบุรี เวลาวิ่งต่างจังหวัดก็จะวิ่งที่ 140 ตลอด(พยายามไม่ให้เกินนี้)
รถที่ผมใช้คือฮอนด้าแจ๊สตัวปัจจุบัน วิ่ง 140 รอบอยู่ที่ประมาณ 3100 รอบซึ่งเป็นความเร็วที่ใช้บ่อยที่สุด โดยบางครั้งมีการลองความเร็วไปที่ 160-180 บ้าง แต่ก็ไม่บ่อยครั้ง โดยหากกระทืบคันเร่งเข็มวัดรอบจะกวาดขึ้นถึงรอบสูงสุด(ราวๆ 6,500 ถ้าจำไม่ผิด) น่าจะเป็นเกียร์4 เพื่อเร่งความเร็วไปที่ 160-180 แล้วจะตัดลงมาเหลือราวๆ 5,500 (จำไม่ได้จริงๆครับ) แต่ไม่ใช่สิ่งที่ทำบ่อย(ราวๆเดือนละครั้ง) ตอนนี้รถใช้7เดือน วิ่งไป 13,xxx กม. ผมคิดว่าไม่เยอะมาก แต่อยากทราบว่าจากการขับรถของผมเทียบกับการขับรถในเมืองตลอด แบบไหนทำให้เครื่องโทรมกว่ากันครับ เพราะผมไม่ทราบว่าการที่ใช้ความเร็วคงที่คือ 140 กับรอบที่ใช้คือ 3,100 นานทีละชั่วโมงสองชั่วโมงติดกัน ถือว่าใช้งานรถหนักไปไหม โดยครั้งที่ใช้งานหนักที่สุดคือหลังจากซื้อรถมาและวิ่งไปแล้ว 4พันกว่าโล ตอนนั้นไปสกลนคร ขับรถจากกรุงเทพไปตอนบ่ายสองและขับด้วยความเร็ว 140-150 ตลอดเพราะอยากข้ามเขาก่อนค่ำ มีใช้เกียร์ s ช่วยตลอดทางเวลาเร่งแซงสิบล้อ บางทีลากรอบที่ 5000 Up ติดกันนานๆ โดยมีช่วงที่ต้องข้ามเขาภูพาน (ใช้เกียร์ s ตลอดทางข้ามเขา) สรุปว่าไปถึงสกลตอนสามทุ่ม และหลังจากกลับมากรุงเทพก็ใช้รถต่อไปโดยไม่เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง โดยไปเปลี่ยนตามคู่มือระบุครั้งแรกที่ 10,000 โล
เล่ามาซะยาว อยากถามเพื่อนๆแค่ว่าการขับรถของผมแบบนี้มีผลกับรถยังไงบ้างไหมครับ เช่นรถจะโทรมเร็ว หรือดีแล้วถ้าเทียบกับการขับในเมือง อยากทาบเพราะจะเอาไปปรับปรุงนิสัยการขับขี่น่ะครับ (ปกติไม่ได้ขับรถนิสัยเลวๆนะครับ มีทางโล่งค่อยกด เปิดไฟเลี้ยวตลอด)
ขอบคุณครับ