ผู้เขียน หัวข้อ: eco sticker เรื่องอัตราการใช้น้ำมัน น่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนครับ  (อ่าน 5824 ครั้ง)

ออฟไลน์ Hooray55

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 10
eco sticker เรื่องอัตราการใช้น้ำมัน น่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนครับ

ในเรื่องของ สภาวะในเมื่อ สภาวะนอกเมือง



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 16, 2017, 11:47:13 โดย Hooray55 »

ออฟไลน์ ซิ่งเข้าส้วม

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,150
เชื่อได้แค่กะๆ เอาครับ แต่ถ้าในนี้กินมากกว่าเดิม ใช้จริงก็กินกว่าเดิมครับ

ออฟไลน์ Stp

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,537
ดูไว้ประกอบ แต่อย่างคิดเยอะ ผมว่าผลการทดสอบของหน่วยงานทุกแห่งในโลกก็ใช่ว่าจะแป๊ะ ปัจจัยแตกต่างชีวิตจริงมันเยอะกว่านั้น
:D ;D ร่วมรณรงค์รักการอ่านหนังสือ แทนการถามตลอดเวลา ;D :D

ออฟไลน์ boyyyy

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 383
นั่นคือ สูงสุดที่รถทำได้ครับ

แต่ชีวิตจริงอยู่ที่เท้าใครครับ

ออฟไลน์ Hooray55

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 10

พึ่งเจอคลิปนี้ครับ


ออฟไลน์ mentos

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 138
ยุโรปคงเก่งกว่าเรื่องนี้

ออฟไลน์ apinui

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,956
    • อีเมล์
มันเป็นการทดสอบในรูปแบบการทดสอบที่เหมือนกัน เป็นมาตราฐานเดียวกันครับ ...

เอาง่ายๆ ทำแบบที่คุณ Jimmy ทำนั่นแหละ ถนนเส้นเดียวกัน ขับ แบบเดียวกัน น้ำมันชนิดเดียวกัน

ทีนี้ เราผู้ใช้จะทำได้แบบที่ Ecosticker แสดงไหม ก็ขึ้นกับว่าเราขับเหมือนเค้าหรือเปล่า ...

แผ่นนี้ เป็นแผ่นอ้างอิงค์เบื้องต้นให้ลูกค้าได้ตัดสินใจเลือกครับ

เอาง่ายๆเช่น ตรงส่วน"อุปกรณ์ที่ติดตั้งมาจากโรงงาน"

Honda เลือกชูอุปกรณ์ที่เน้นความสะดวกสะบาย .... ในขณะที่ Mazda ใส่แต่อุปกรณ์ความปลอดภัย ...

ซึ่งตรงนี้ก็เป็นจุดให้ลูกค้าพิจารณาเลือกซื้อตามความต้องการแค่นั้นเองครับ

ออฟไลน์ apinui

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,956
    • อีเมล์
ยุโรปคงเก่งกว่าเรื่องนี้

มาตราฐานที่ทดสอบเช่น Euro 4-6 เนี่ย บางรุ่นที่ไม่มี ไม่ใช่ว่าไม่ผ่านนะครับ แต่เป็นเรื่องปรกติที่รถเปิดตัวใหม่ยังไม่ได้ทำการทดสอบกับมาตราฐานดังกล่าว เพราะกฏหมายของไทยเรา ถ้าผ่าน มอก.ก็สามารถวางขายในประเทศได้แล้ว

และก็ อุปกรณ์ที่ติดตั้งมาจากโรงงาน มีมาให้เท่านี้ ไม่อาย CX5 มั้งหรอครับ .... CRV ยัง option ดีกว่าเลย ....

ออฟไลน์ mentos

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 138
ที่ทึ่งคงเป็นเรื่องการปล่อยมลพิษ ซึ่งมีผลโดยตรงกับภาษี เครื่องใหญ่กว่า รถหนักกว่า แต่กลับทำตัวเลขได้ดีกว่า

ออฟไลน์ mongolias

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,369
ตอบด้วยความมั่นใจว่า ไม่เคยสนใจเลย ไม่รู้ด้วยว่ามันเชื่อถือได้ขนาดไหน 555
ผมอาศัยดูรีวิวจากหลายๆเว็บ ดูจากในคลับ ประกอบการตัดสินใจโดยรวมครับ

ออฟไลน์ ttcl

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 739
เป็นไปตามคลิปที่คุณ Hooray55 เจ้าของกระทู้โพสครับ

หลายปีก่อนผมเคยศึกษาข้อมูลพวกนี้ ว่ารูปแบบการทดสอบอัตราการใช้น้ำมันของภมิภาคต่างๆ เป็นอย่างไร ของญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา ก็มี loop การทดสอบที่ต่างกัน ว่า เร่งเครื่องไปถึงความเร็วเท่าไหร่ ค้างความเร็วนั่นกี่วินาที เบรคลงมาจนหยุด หยุดกี่วินาที ฯลฯ

ญี่ปุ่น จากโหมด 10-15 ปัจจุบันก็เปลี่ยนมาเป็น jc08 , ฝั่งอเมริกาก็ดูค่าจาก EPA

ซึ่งเมื่อก่อน เรื่องการวัดอัตราการใช้น้ำมันนี้เป็นเรื่องใหม่ในไทย พึ่งมีตอนอีโคคาร์เฟสแรกเป็นครั้งแรก แต่ก่อนหน้านั้นในไทยก็มีการวัดค่ามลพิษอยู่แล้ว ซึ่งก็ใช้ loop เดียวกัน เพราะเค้าใช้การเก็บค่าสารประกอบต่างๆในแลป แล้วเอาไปคำนวณจำนวนการใช้น้ำมัน

สมัยนั้นบางคนที่อยู่ในแวดวงรถยนต์ยังรู้จักแต่ loop การวัดมลพิษ แต่ไม่รู้ว่าการวัดอัตราการใช้น้ำมันก็ใช้ loop เดียวกันนี้ก็มี  ::) มาเถียงว่า loop ที่ผมบอกมาเป็น loop การวัดมลพิษ ผมต้องบอกว่าเค้าใช้ loop เดียวกัน โดยการเก็บค่าสารประกอบในแลปไปพร้อมกัน แล้วเอาไปคำนวณปริมาณน้ำมัน ไม่ใช่ว่าใช้วิธีเติมน้ำมันจริงๆ  ::)

จาก 3 มาตรฐานนี้ ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา , มาตรฐานของอเมริกาจะกินน้ำมันที่สุด เพราะฉะนั้นใครที่ใช้รถในสภาวะที่รถติดบ่อยๆ ก็จะพบว่าค่าของฝั่งอเมริกาให้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกว่า

ส่วนของไทยเลือกใช้การวัดแบบทางยุโรป

ที่ถามว่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องดูว่าเราขับรถใกล้เคียงกับ loop ที่เค้าทดสอบหรือไม่ บางคนอาจจะใกล้เคียง บางคนอาจเจอไฟแดงทีละ 10 นาที 3 ไฟ อย่างนี้ก็ไม่ใกล้เคียงครับ

เวลาผมดูตัวเลขใน eco sticker ผมจะใช้ในเชิงเปรียบเทียบรถมากกว่า เช่น รถ 2 คันนี้ถ้าขับเหมือนกันในรูปแบบยุโรปที่ eco sticker ใช้ คันไหนกินน้ำมันกว่ากันเท่าไหร่

ส่วนเวลาขับจริง สภาวะในการขับจริงของผม ผมเคยทำตัวเลขคร่าวๆเปรียบเทียบกับ loop ของยุโรป
เช่น loop สภาวะในเมืองของยุโรปวัดที่ความเร็วเฉลี่ย 18.70 กม/ชม ผมก็ดูว่ารถผมกินน้ำมันเท่าไหร่ที่ความเร็วเฉลี่ยเดียวกัน ซึ่งแต่ละคันก็ต่างจากค่าในสเปค และก็ต่างกันไม่เท่ากันในแต่ละคันอีกต่างหาก (เพราะสภาวะที่ผมขับ เวลารถติด รถติดกว่า loop ที่ใช้ทดสอบ แม้จะได้ความเร็วเฉลี่ยออกมาเท่ากันก็ตาม )
ยกตัวอย่าง ความเร็ว 60 กม/ชม , คันนึงขับ 60 เป็นเวลา 1 ชั่วโมง , ส่วนอีกคันจอดนิ่งครึ่งชั่วโมง แล้วอีกครึ่งชั่วโมงขับ 120 , ได้ความเร็วเฉลี่ยออกมาเท่ากันที่ 60 กม/ชม แต่กินน้ำมันไม่เท่ากัน แม้จะเป็นรุ่นรถเดียวกันก็ตาม (ยกตัวอย่างเลขกลมๆให้เห็นภาพเฉยๆครับ)

ทีนี้ลองมาดูตัวเลขที่ผมบันทึกครับ

คันแรก
spec สภาวะในเมือง 13.6 L/100km , ขับจริง ได้ 13.8 L/100km (กินกว่า spec 1.47%)
spec สภาวะรวม 9.6 L/100km , ขับจริง ได้ 10.8 L/100km (กินกว่า spec 12.50%)

คันที่สอง (ยี่ห้อเดียวกับคันแรก)
spec สภาวะในเมือง 14.9 L/100km , ขับจริง ได้ 16.8 L/100km (กินกว่า spec 12.75%)
spec สภาวะรวม 10.2 L/100km , ขับจริง ได้ 12.8 L/100km (กินกว่า spec 25.49%)
spec สภาวะนอกเมือง 7.5 L/100km , ขับจริง ได้ 10.1 L/100km (กินกว่า spec 34.67%)

คันที่สาม
spec สภาวะในเมือง 15.8 L/100km , ขับจริง ได้ 18.6 L/100km (กินกว่า spec 17.72%)
spec สภาวะรวม 10.9 L/100km , ขับจริง ได้ 12.6 L/100km (กินกว่า spec 15.60%)

คันที่สี่
spec สภาวะในเมือง 15.1 L/100km , ขับจริง ได้ 19.3 L/100km (กินกว่า spec 27.81%)

ข้อมูลของผมนี่คือผมคำนวณคร่าวๆเอาไว้ดูเป็นความรู้เฉยๆ เห็นกระทู้นี้ถามมาพอดี เลยเอามาแชร์กันครับ

ผมสรุปว่า หากขับสภาวะแบบผม ที่ขับในที่ๆรถติดๆบ่อย ติดไฟแดงนานๆ บางไฟแดง 10 นาที อย่างนี้ขับจริงๆจะกินน้ำมันกว่ามาตรฐาน UN R101 ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 16, 2017, 19:52:05 โดย ttcl »

ออฟไลน์ แมวดราม่า

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,573
  • แมวบ้า(ขับ)รถ
^
คห.บน อธิบายไว้ดีมากเลยครับ

คือการทดสอบมาตรฐานมันมีไว้อ้างอิงเฉยๆ มันเหมือนกับที่ทางเว็บนี้เทสต์ 110 กม./ชม. "โดยพยายามให้มันคงที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้บนเส้นทางใกล้ๆ เดิมมากที่สุด" ที่หลายคนก็ไม่ยอมรับเช่นกัน

Eco Car หรือรถอื่นๆ ที่ผ่านการทดสอบด้วยมาตรฐานเดียวกัน มันไม่ได้แปลว่ามันจะต้องใช้แล้วตรงกับที่เทสต์ แต่ มันเป็น "ผลเทสต์ที่มาตรฐานอ้างอิงได้" เท่านั้นเองครับ
Dare to Drama! | Original Nissan X-Trail Club Thailand: http://www.facebook.com/groups/180634121979355/

ออฟไลน์ Nouiii1

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 359
เป็นไปตามคลิปที่คุณ Hooray55 เจ้าของกระทู้โพสครับ

หลายปีก่อนผมเคยศึกษาข้อมูลพวกนี้ ว่ารูปแบบการทดสอบอัตราการใช้น้ำมันของภมิภาคต่างๆ เป็นอย่างไร ของญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา ก็มี loop การทดสอบที่ต่างกัน ว่า เร่งเครื่องไปถึงความเร็วเท่าไหร่ ค้างความเร็วนั่นกี่วินาที เบรคลงมาจนหยุด หยุดกี่วินาที ฯลฯ

ญี่ปุ่น จากโหมด 10-15 ปัจจุบันก็เปลี่ยนมาเป็น jc08 , ฝั่งอเมริกาก็ดูค่าจาก EPA

ซึ่งเมื่อก่อน เรื่องการวัดอัตราการใช้น้ำมันนี้เป็นเรื่องใหม่ในไทย พึ่งมีตอนอีโคคาร์เฟสแรกเป็นครั้งแรก แต่ก่อนหน้านั้นในไทยก็มีการวัดค่ามลพิษอยู่แล้ว ซึ่งก็ใช้ loop เดียวกัน เพราะเค้าใช้การเก็บค่าสารประกอบต่างๆในแลป แล้วเอาไปคำนวณจำนวนการใช้น้ำมัน

สมัยนั้นบางคนที่อยู่ในแวดวงรถยนต์ยังรู้จักแต่ loop การวัดมลพิษ แต่ไม่รู้ว่าการวัดอัตราการใช้น้ำมันก็ใช้ loop เดียวกันนี้ก็มี  ::) มาเถียงว่า loop ที่ผมบอกมาเป็น loop การวัดมลพิษ ผมต้องบอกว่าเค้าใช้ loop เดียวกัน โดยการเก็บค่าสารประกอบในแลปไปพร้อมกัน แล้วเอาไปคำนวณปริมาณน้ำมัน ไม่ใช่ว่าใช้วิธีเติมน้ำมันจริงๆ  ::)

จาก 3 มาตรฐานนี้ ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา , มาตรฐานของอเมริกาจะกินน้ำมันที่สุด เพราะฉะนั้นใครที่ใช้รถในสภาวะที่รถติดบ่อยๆ ก็จะพบว่าค่าของฝั่งอเมริกาให้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกว่า

ส่วนของไทยเลือกใช้การวัดแบบทางยุโรป

ที่ถามว่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องดูว่าเราขับรถใกล้เคียงกับ loop ที่เค้าทดสอบหรือไม่ บางคนอาจจะใกล้เคียง บางคนอาจเจอไฟแดงทีละ 10 นาที 3 ไฟ อย่างนี้ก็ไม่ใกล้เคียงครับ

เวลาผมดูตัวเลขใน eco sticker ผมจะใช้ในเชิงเปรียบเทียบรถมากกว่า เช่น รถ 2 คันนี้ถ้าขับเหมือนกันในรูปแบบยุโรปที่ eco sticker ใช้ คันไหนกินน้ำมันกว่ากันเท่าไหร่

ส่วนเวลาขับจริง สภาวะในการขับจริงของผม ผมเคยทำตัวเลขคร่าวๆเปรียบเทียบกับ loop ของยุโรป
เช่น loop สภาวะในเมืองของยุโรปวัดที่ความเร็วเฉลี่ย 18.70 กม/ชม ผมก็ดูว่ารถผมกินน้ำมันเท่าไหร่ที่ความเร็วเฉลี่ยเดียวกัน ซึ่งแต่ละคันก็ต่างจากค่าในสเปค และก็ต่างกันไม่เท่ากันในแต่ละคันอีกต่างหาก (เพราะสภาวะที่ผมขับ เวลารถติด รถติดกว่า loop ที่ใช้ทดสอบ แม้จะได้ความเร็วเฉลี่ยออกมาเท่ากันก็ตาม )
ยกตัวอย่าง ความเร็ว 60 กม/ชม , คันนึงขับ 60 เป็นเวลา 1 ชั่วโมง , ส่วนอีกคันจอดนิ่งครึ่งชั่วโมง แล้วอีกครึ่งชั่วโมงขับ 120 , ได้ความเร็วเฉลี่ยออกมาเท่ากันที่ 60 กม/ชม แต่กินน้ำมันไม่เท่ากัน แม้จะเป็นรุ่นรถเดียวกันก็ตาม (ยกตัวอย่างเลขกลมๆให้เห็นภาพเฉยๆครับ)

ทีนี้ลองมาดูตัวเลขที่ผมบันทึกครับ

คันแรก
spec สภาวะในเมือง 13.6 L/100km , ขับจริง ได้ 13.8 L/100km (กินกว่า spec 1.47%)
spec สภาวะรวม 9.6 L/100km , ขับจริง ได้ 10.8 L/100km (กินกว่า spec 12.50%)

คันที่สอง (ยี่ห้อเดียวกับคันแรก)
spec สภาวะในเมือง 14.9 L/100km , ขับจริง ได้ 16.8 L/100km (กินกว่า spec 12.75%)
spec สภาวะรวม 10.2 L/100km , ขับจริง ได้ 12.8 L/100km (กินกว่า spec 25.49%)
spec สภาวะนอกเมือง 7.5 L/100km , ขับจริง ได้ 10.1 L/100km (กินกว่า spec 34.67%)

คันที่สาม
spec สภาวะในเมือง 15.8 L/100km , ขับจริง ได้ 18.6 L/100km (กินกว่า spec 17.72%)
spec สภาวะรวม 10.9 L/100km , ขับจริง ได้ 12.6 L/100km (กินกว่า spec 15.60%)

คันที่สี่
spec สภาวะในเมือง 15.1 L/100km , ขับจริง ได้ 19.3 L/100km (กินกว่า spec 27.81%)

ข้อมูลของผมนี่คือผมคำนวณคร่าวๆเอาไว้ดูเป็นความรู้เฉยๆ เห็นกระทู้นี้ถามมาพอดี เลยเอามาแชร์กันครับ

ผมสรุปว่า หากขับสภาวะแบบผม ที่ขับในที่ๆรถติดๆบ่อย ติดไฟแดงนานๆ บางไฟแดง 10 นาที อย่างนี้ขับจริงๆจะกินน้ำมันกว่ามาตรฐาน UN R101 ครับ


comment คุณภาพ อยากให้ Social มีแต่เม้นแบบนี้

 :-* :-* :-*

ออฟไลน์ SM.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 27,435
การทดสอบ มีผลไว้อ้างอิงครับ การใช้งานจริงๆ แน่นอนว่าตัวแปรเยอะมาก ฉะนั้นไม่ตรงกับตัวเลขบนฉลากหรอกครับ

ออฟไลน์ Odeng

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 56
    ผมว่ามันเหมาะกับการใช้เปรียบเทียบรถในตัวเลือกของเราเฉยๆ ครับ ว่าใครประหยัดกว่ากัน (ผมเคยเทียบระหว่าง Mazda 2 กับ Eco Car ยี่ห้ออื่น ตัวเลขต่างกันชัดเจน)  แต่คงเทียบกับการใช้งานจริงไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะในเมือง