ผู้เขียน หัวข้อ: Tesla Auto Pilot  (อ่าน 5176 ครั้ง)

ออฟไลน์ warez

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 702
Tesla Auto Pilot
« เมื่อ: มิถุนายน 19, 2019, 15:45:13 »
นอนกันเลยทีเดียว

พอระบบ 5G พร้อมใช้ รถขับเองคงเกลื่อนทั่วโลก

https://mgronline.com/around/detail/9620000058121

ออฟไลน์ AgentMolder

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 19, 2019, 16:56:36 »
จริงๆ Tesla เขาบอกว่าคนขับต้อง Concentrate กับรถอยู่นะ ไม่ใช่หลับแบบนี้

แลวยังมีกนณีอุบัติเหตุเกิดกันอยู่นะครับ กับ auto pilot ของ tesla

ออฟไลน์ sudlor_gang

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 565
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มิถุนายน 19, 2019, 17:02:17 »
ก็เคยเห็นมีอุบัติเหตุอยู่นิครับ กลัวจะไปตื่นบนสวรรค์จริงๆ

ออฟไลน์ punn

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,598
  • may the force lead your way ...
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มิถุนายน 19, 2019, 19:09:52 »
ก่อนระบบนี้จะถูกยอมรับ คิดว่าต้องนิยามสิ่งที่ขับรถออกมาได้ก่อน
อย่างเป็น AI Tesla V.4.0 ได้ทำการทดสอบแล้ว
มีหลักประกันของเจ้าของระบบวงเงินเท่านั้นเท่านี้ทำนองนี้  :o
เป็นคนโลกปกติธรรมดา :)
ไม่โลกสวย และไม่โลกมืด อยู่กับความเป็นจริงและพลังงานบวก ..

ปราชญ์สอนสิ่งไหน คนก็จะจำสิ่งนั้น
ประสบการณ์เจอแบบไหน คนก็จะคิดทางนั้น
ต่างคนต่างประสบการณ์เรียนรู้สิ่งเดียวกัน ก็จะออกมาแตกต่างกันไปครับ

ออฟไลน์ Beats

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 166
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มิถุนายน 19, 2019, 20:15:59 »
5G มันไม่ใช่ bottle neck ของการพัฒนารถขับเองนะ bottle neck ของการพัฒนารถขับเองตอนนี้ มันอยู่ที่ตัว sensor อย่างพวก LIDAR ที่จะทำยังไงให้ถูกลง เพื่อเพิ่มความ reliable ต่อการมองเห็นสิ่งต่างๆ กับพวก perception algorithm และ decision making algorithm ที่ทำยังไงถึงจะ handle เคสพิสดารแปลกๆต่างๆที่ไม่เคยเจอมาก่อนได้อย่าง robust แล้วยังมีพวกหิมะ น้ำท่วม สภาพแวดล้อมอื่นๆอีก

5G มันแค่เอาไว้ช่วยให้รถสื่อสารกันเองหรือสื่อสารกับตัวระบบจราจรหรือศูนย์ประมวลผลกลางได้แค่นั้นเอง คือ ไม่ใช่ว่าพอมี 5G แล้ว ปัญหา bottle neck ของรถขับเองที่พูดไว้ข้างบนมันจะแก้ไปได้เลย และก็ ไม่ใช่ว่า ถ้าไม่มี 5G แล้วเทคโนโลยีรถขับเองมันจะติดขัดพัฒนาต่อไปไม่ได้ พวก sensor พวก algorithm ต่างๆ มันก็ยังพัฒนาต่อไปได้เรื่อยๆ เหมือนกับมนุษย์ปกติขับนี่แหละ แค่ยังไม่ได้เชื่อมต่อข้อมูลกับรถคันอื่น

เอาจริงๆรถขับเองตอนนี้ ถ้าเป็นในจราจรแบบอเมริกา พวกที่อยู่ในขั้นวิจัยยังไม่ได้วางขาย มันก็ขับได้เองในสถานการณ์จำนวนมากแล้ว คือจะหลับก็หลับได้น่ะแหละ แต่มันก็ยังจะมีสถานการณ์แปลกๆ ที่ไม่มีบริษัทไหนจะกล้าการันตีได้เต็ม 100% เค้าเลยต้องให้คนขับเอามือพร้อมไว้ก่อน เท่าที่ดูทั่วโลกตอนนี้ก็ยังไม่มีบริษัทไหนที่ทดสอบมามากพอที่จะการันตีขนาดบอกว่าให้คนขับนอนได้ (เดาว่าน่าจะเป็น Google ที่เก็บไมล์เยอะนำโด่งเหนือชาวบ้านเขา) คนที่นอนก็คือทำกันเอง รับความเสี่ยงกันไปเอง จริงๆของเทสล่านี่มันมีระบบเตือนคนขับถ้าไม่เอามือจับพวงมาลัยด้วยนี่นา อีกพวกนึงที่เคยเห็นคือพวกคลิปฟอร์เวิร์ดในไลน์ที่คนหลับๆกัน นั่นก็คือคลิปหลอกทั้งนั้น

สำหรับวิศวกร การที่จะทำอะไรออกมาให้คนใช้คือ ไม่ใช่ว่า พอลองขับไปไม่กี่ไมล์ ไม่กี่สถานการณ์สภาพแวดล้อมได้ปลอดภัย การันตีปลอดภัย ครอบคลุม 99% ของสถานการณ์ แล้วจะเอามาให้คนใช้ได้เลยทันที มันต้องทดสอบแล้วทดสอบอีกซ้ำๆจนมั่นใจครบ 100% ซึ่งไอ้ที่ยากก็คือ 1% พวก corner cases ที่มันไม่ค่อยเกิดนี่แหละ จะไปเก็บข้อมูลมาจากไหน? ระบบ perception กับ decision making ควรจะออกแบบยังไงถึงจะรับมือพวกเคสแปลกๆที่เหลือได้? นี่คือ bottle neck หลักๆของรถขับเองตอนนี้

bottle neck อีกเรื่องก็คือกฎหมายของแต่ละรัฐ แต่ละประเทศ ที่ยังไม่ค่อยมีออกมารองรับกัน บริษัทรถก็ต้องวิ่งเก็บไมล์กันต่อไป เพื่อค่อยๆหว่านล้อมซื้อความมั่นใจจากประชาชนและรัฐบาลต่างๆ ให้เปิดใจออกกฎหมายมาอนุญาต อันนี้ก็เป็นอีก bottle neck หลักอันนึงที่สำคัญยิ่งกว่า 5G ถ้าแก้ bottle neck พวกนี้ได้ ไม่ต้องมี 5G ก็คงจะได้เห็นเอามาวิ่งกันมากกว่านี้

ออฟไลน์ MUK

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,999
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มิถุนายน 19, 2019, 20:49:16 »
ยังไงก็ขอให้มันเป็นแค่ตัวช่วย ขับเองดีกว่า

ออฟไลน์ kabokaboh

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 321
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มิถุนายน 19, 2019, 20:59:28 »
ผมกลับมองต่างนะ

รถขับเคลื่อนอัตโนมัติ

อาจจะพึ่งเซ็นเซอร์ แต่เป็นส่วนรอง

แต่ส่วนหลักคือ

ระบบควบคุมไร้สาย ทั้งระบบ บังคับให้รถอัตโนมัติ

หรือ มอนิเตอร์ ตำแหน่งได้แม่นยำ แล้วจัดระเบียบรถอ่ะนะ

แบบเดียวกับรถไฟฟ้า ที่ทำงานอัตโนมัติ คนขับแค่เป็นระบบสำรอง

ออฟไลน์ Beats

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 166
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มิถุนายน 19, 2019, 22:39:52 »
ผมกลับมองต่างนะ

รถขับเคลื่อนอัตโนมัติ

อาจจะพึ่งเซ็นเซอร์ แต่เป็นส่วนรอง

แต่ส่วนหลักคือ

ระบบควบคุมไร้สาย ทั้งระบบ บังคับให้รถอัตโนมัติ

หรือ มอนิเตอร์ ตำแหน่งได้แม่นยำ แล้วจัดระเบียบรถอ่ะนะ

แบบเดียวกับรถไฟฟ้า ที่ทำงานอัตโนมัติ คนขับแค่เป็นระบบสำรอง

ถ้า sensor ไม่เป็นส่วน critical แปลว่าทั้งถนน ต้องห้ามไม่ให้มีสิ่งอื่นอยู่ร่วมเลย ทั้งรถที่ไม่อัตโนมัติ หรือรถกึ่งอัตโนมัติ หรือคนเดินถนน จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์ที่ไม่อัตโนมัติ แล้วยังมีสภาพอากาศ ของปลิวตกหล่นลงไปขวางถนน หมา กวาง วิ่งตัดอีก ก็คือระบบถนนต้องมีสภาพเป็นแบบกึ่งๆรางรถไฟฟ้าไปเลย ซึ่งถ้ามันไม่ใช่ หรือถ้ามีสิ่งอื่นๆลงไปอยู่กับรถได้ ยังไงๆ sensor มันก็เป็นปัจจัยที่ critical ในความปลอดภัยอยู่ดี อย่างคำว่า "ระบบควบคุม" นี่มันก็คือการกล่าวถึงระบบที่ประกอบไปด้วย sensor, perception/estimation, decision making นั่นแหละ ถ้าไม่มี sensor มันจะกลายเป็น open-loop control ซึ่งใช้ได้ในระบบปิดที่ ideal เท่านั้น และก็อย่างที่บอก ต่อให้ sensor กับ perception algorithm มันเก่งพอที่จะรับมือได้ในเกือบทุกสถานการณ์ของระบบนั้นๆแล้ว แต่ถามว่าจะให้การันตีว่าถ้ามีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นมันรับมือได้ 100% มั้ย ใครจะบอกได้เต็มปากบ้าง นี่คือความยาก

หรือแม้กระทั่งเรื่อง การ "มอนิเตอร์ ตำแหน่งได้แม่นยำ" นี่ก็ยังต้องพึ่ง sensor อีกเหมือนกัน ยิ่งถ้าจะเอาแม่นๆเพื่อให้ขับไปตาม geometry ต่างๆของเลนของถนน (ที่นานๆเข้าก็อาจเปลี่ยนไปได้) ได้อย่างปลอดภัย ยิ่งต้องใช้ sensor และ perception algorithm เพื่อบอกตำแหน่งรถเทียบกับ features ต่างๆของถนนได้แบบดีๆ อย่างรถไฟนี่มีรางเป็นตัว guide ตำแหน่ง มันจึงไม่จำเป็นต้องแม่นยำหรือละเอียดมากเท่ากับรถยนต์ อันนี้อาจจะหย่อนเรื่อง sensor ลงไปได้

ซึ่งถ้าไปพูดถึงในพวกเคสเหล่านี้ แปลว่าเราจะต้องก้าวผ่าน bottle neck อีกตัวที่สำคัญ ที่ยากกว่าเดิมไปอีก นั่นก็คือ การให้ภาครัฐไปปรับเปลี่ยนถนน และระบบการจราจร เป็นแบบใหม่ ให้เป็นมิตรกับรถขับเองมากขึ้น เป็นระบบกึ่งปิดมากขึ้น เพื่อลดความ critical ของระบบ sensing ลง ซึ่งการออกแบบระบบพวกนี้นี่ ก็ยิ่งมาช้ากว่า 5G อีกมากๆ ทั้งเรื่องการออกแบบระบบถนนใหม่ ทั้งการให้รัฐบาลลงมาทำอีก เดาว่าอันนี้คงไม่เกิด จนกว่าบนถนนนั้นๆจะมีรถขับเองหรือกึ่งขับเอง(ในรูปแบบแรก)ไปซะครึ่งหรือซัก 1/3ของถนนเส้นนั้น อย่างน้อยๆ ภาครัฐถึงจะยอมเจียดพื้นที่จราจรมาให้ หรือยอมลงงบประมาณมาทำกัน ถ้าจะมีได้เร็วกว่านั้นก็คงเป็นบริเวณพิเศษเฉพาะที่ หรือสำหรับเฉพาะรถขนส่งมวลชนมากกว่าที่จะยอมลงทุนทำให้

สรุปคือ ไม่ว่าจะพูดถึงรถขับเอง ในรูปแบบแรกหรือแบบที่สอง 5G มันก็ไม่ใช่ bottle neck ที่ยากหรือ criticalที่สุดเลยทั้งคู่ มันไม่ใช่ว่าพอมี 5G แล้วรถขับเองจะเป็นไปได้ง่ายๆแบบนั้นซะเมื่อไหร่นะ

ออนไลน์ Symphonic

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,705
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มิถุนายน 19, 2019, 23:02:57 »
เรื่อง Auto Pilot นี้ ไม่ใช่แค่เพียงงานด้าน engineering เท่านั้น แต่ทางฝั่งสังคมศาสตร์ต้องคิดต้องสร้างควบคู่ไปพร้อมกันด้วย
เช่นเรื่องกฏหมายจราจร 
1. จะบัญญัติยังไง ว่าด้วยเรื่องใบขับขี่ ต้องการคนที่มีคุณสมบัติแบบไหนควบคุมรถ (เมื่อก่อนเรียกว่าคนขับ)
2. หรือจะยอมให้รถวิ่งได้เองโดยมีแค่คนโดยสาร แต่ไม่มีคนควมคุมรถ แล้วกรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือทำผิดกฏจราจร
    ความรับผิดชอบอยู่ที่ใคร? เจ้าของรถ หรือผู้พัฒนาระบบ
3. แล้วถ้ารถวิ่งเองแบบรถเปล่า ๆ ไม่มีคนอยู่ในรถเลย ยอมได้มั้ย และเช่นเดิมกรณีเกิดอุบัติเหตุหรือรถทำผิดกฏจราจร ใครรับผิดชอบ

ปล.
แล้ว Auto Pilot นี้  ถ้าได้ลงถนนเมืองไทย จะมีใคร crack ระบบเพิ่มสกิลเทพๆ ให้ download upgrade แบบ Thailand exclusive package
เช่น ให้รถแซงไหล่ทาง แล้วไปเบียดคอสะพาน กลับรถซ้อนคัน หรือวิ่งย้อนศรใช้ระยะขจัดที่สั้นที่สุด บ้างมั้ยครับ

ชาวโปรแกรมเมอร์ พร้อมกันรึยังฮะ

ออฟไลน์ Beats

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 166
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มิถุนายน 20, 2019, 01:21:35 »
ปล.
แล้ว Auto Pilot นี้  ถ้าได้ลงถนนเมืองไทย จะมีใคร crack ระบบเพิ่มสกิลเทพๆ ให้ download upgrade แบบ Thailand exclusive package
เช่น ให้รถแซงไหล่ทาง แล้วไปเบียดคอสะพาน กลับรถซ้อนคัน หรือวิ่งย้อนศรใช้ระยะขจัดที่สั้นที่สุด บ้างมั้ยครับ

ชาวโปรแกรมเมอร์ พร้อมกันรึยังฮะ

 ;D  ;D  ;D  ฮาา คอมพิวเตอร์มันไม่มีความรู้สึกรู้สา ไม่รู้จักความกลัวเหมือนกับคนซะด้วยสิ ถ้าลองไปโปรแกรมแบบให้มันขับใช้ระยะขจัดที่สั้นที่สุด ให้มันขับเกรียนๆ... อาจจะได้รับผลดีเกินกว่าที่คาด.. You might get more than you bargained for... มันอาจจะขับแบบคนนั่งฉี่ราดเป็นลมกันยกคันเลยก็ได้ ถ้ามันคำนวนแล้วว่าระยะยังได้อยู่  บันเทิงงง

ออฟไลน์ jame894561

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 539
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: มิถุนายน 20, 2019, 11:02:19 »
น่ากลัวมาก ไว้ใจระบบคอม 100% แบบนี้ ดีครับ เวลาตายก็ไหลตายไปเลย 55555

ออฟไลน์ warez

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 702
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: มิถุนายน 20, 2019, 15:16:35 »
5G มันไม่ใช่ bottle neck ของการพัฒนารถขับเองนะ bottle neck ของการพัฒนารถขับเองตอนนี้ มันอยู่ที่ตัว sensor อย่างพวก LIDAR ที่จะทำยังไงให้ถูกลง เพื่อเพิ่มความ reliable ต่อการมองเห็นสิ่งต่างๆ กับพวก perception algorithm และ decision making algorithm ที่ทำยังไงถึงจะ handle เคสพิสดารแปลกๆต่างๆที่ไม่เคยเจอมาก่อนได้อย่าง robust แล้วยังมีพวกหิมะ น้ำท่วม สภาพแวดล้อมอื่นๆอีก

5G มันแค่เอาไว้ช่วยให้รถสื่อสารกันเองหรือสื่อสารกับตัวระบบจราจรหรือศูนย์ประมวลผลกลางได้แค่นั้นเอง คือ ไม่ใช่ว่าพอมี 5G แล้ว ปัญหา bottle neck ของรถขับเองที่พูดไว้ข้างบนมันจะแก้ไปได้เลย และก็ ไม่ใช่ว่า ถ้าไม่มี 5G แล้วเทคโนโลยีรถขับเองมันจะติดขัดพัฒนาต่อไปไม่ได้ พวก sensor พวก algorithm ต่างๆ มันก็ยังพัฒนาต่อไปได้เรื่อยๆ เหมือนกับมนุษย์ปกติขับนี่แหละ แค่ยังไม่ได้เชื่อมต่อข้อมูลกับรถคันอื่น

เอาจริงๆรถขับเองตอนนี้ ถ้าเป็นในจราจรแบบอเมริกา พวกที่อยู่ในขั้นวิจัยยังไม่ได้วางขาย มันก็ขับได้เองในสถานการณ์จำนวนมากแล้ว คือจะหลับก็หลับได้น่ะแหละ แต่มันก็ยังจะมีสถานการณ์แปลกๆ ที่ไม่มีบริษัทไหนจะกล้าการันตีได้เต็ม 100% เค้าเลยต้องให้คนขับเอามือพร้อมไว้ก่อน เท่าที่ดูทั่วโลกตอนนี้ก็ยังไม่มีบริษัทไหนที่ทดสอบมามากพอที่จะการันตีขนาดบอกว่าให้คนขับนอนได้ (เดาว่าน่าจะเป็น Google ที่เก็บไมล์เยอะนำโด่งเหนือชาวบ้านเขา) คนที่นอนก็คือทำกันเอง รับความเสี่ยงกันไปเอง จริงๆของเทสล่านี่มันมีระบบเตือนคนขับถ้าไม่เอามือจับพวงมาลัยด้วยนี่นา อีกพวกนึงที่เคยเห็นคือพวกคลิปฟอร์เวิร์ดในไลน์ที่คนหลับๆกัน นั่นก็คือคลิปหลอกทั้งนั้น

สำหรับวิศวกร การที่จะทำอะไรออกมาให้คนใช้คือ ไม่ใช่ว่า พอลองขับไปไม่กี่ไมล์ ไม่กี่สถานการณ์สภาพแวดล้อมได้ปลอดภัย การันตีปลอดภัย ครอบคลุม 99% ของสถานการณ์ แล้วจะเอามาให้คนใช้ได้เลยทันที มันต้องทดสอบแล้วทดสอบอีกซ้ำๆจนมั่นใจครบ 100% ซึ่งไอ้ที่ยากก็คือ 1% พวก corner cases ที่มันไม่ค่อยเกิดนี่แหละ จะไปเก็บข้อมูลมาจากไหน? ระบบ perception กับ decision making ควรจะออกแบบยังไงถึงจะรับมือพวกเคสแปลกๆที่เหลือได้? นี่คือ bottle neck หลักๆของรถขับเองตอนนี้

bottle neck อีกเรื่องก็คือกฎหมายของแต่ละรัฐ แต่ละประเทศ ที่ยังไม่ค่อยมีออกมารองรับกัน บริษัทรถก็ต้องวิ่งเก็บไมล์กันต่อไป เพื่อค่อยๆหว่านล้อมซื้อความมั่นใจจากประชาชนและรัฐบาลต่างๆ ให้เปิดใจออกกฎหมายมาอนุญาต อันนี้ก็เป็นอีก bottle neck หลักอันนึงที่สำคัญยิ่งกว่า 5G ถ้าแก้ bottle neck พวกนี้ได้ ไม่ต้องมี 5G ก็คงจะได้เห็นเอามาวิ่งกันมากกว่านี้

5G นี่แหละตัวแก้เลย ปัญหาคือไม่สามารถนำข้อมูลจำนวนมหาศาลมาให้ AI จัดการได้ภายในระยะเวลาอันจำกัด โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในการบังคับรถ

ไปดูเทคโนโลยีอันดับ 1 ทางด้าน AI ของโลกที่จีนกันหน่อยครับ เขาไปถึงไหนแล้ว

AI จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีความสามารถในการขนถ่ายข้อมูลจำนวนมหาศาลได้

Nonlamer

  • บุคคลทั่วไป
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: มิถุนายน 20, 2019, 18:24:06 »
ประมาทเกินไป อย่างว่ามนุษย์มักจะเลือกทางที่สะดวกกับตัวเองมากที่สุดโดยไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นๆ

ขนาดรถไฟฟ้าบนรางที่มีระบบขับอัตโนมัติยังต้องมีคนขับนั่งเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเลยครับ

ออฟไลน์ Beats

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 166
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: มิถุนายน 20, 2019, 18:28:20 »
5G มันไม่ใช่ bottle neck ของการพัฒนารถขับเองนะ bottle neck ของการพัฒนารถขับเองตอนนี้ มันอยู่ที่ตัว sensor อย่างพวก LIDAR ที่จะทำยังไงให้ถูกลง เพื่อเพิ่มความ reliable ต่อการมองเห็นสิ่งต่างๆ กับพวก perception algorithm และ decision making algorithm ที่ทำยังไงถึงจะ handle เคสพิสดารแปลกๆต่างๆที่ไม่เคยเจอมาก่อนได้อย่าง robust แล้วยังมีพวกหิมะ น้ำท่วม สภาพแวดล้อมอื่นๆอีก

5G มันแค่เอาไว้ช่วยให้รถสื่อสารกันเองหรือสื่อสารกับตัวระบบจราจรหรือศูนย์ประมวลผลกลางได้แค่นั้นเอง คือ ไม่ใช่ว่าพอมี 5G แล้ว ปัญหา bottle neck ของรถขับเองที่พูดไว้ข้างบนมันจะแก้ไปได้เลย และก็ ไม่ใช่ว่า ถ้าไม่มี 5G แล้วเทคโนโลยีรถขับเองมันจะติดขัดพัฒนาต่อไปไม่ได้ พวก sensor พวก algorithm ต่างๆ มันก็ยังพัฒนาต่อไปได้เรื่อยๆ เหมือนกับมนุษย์ปกติขับนี่แหละ แค่ยังไม่ได้เชื่อมต่อข้อมูลกับรถคันอื่น

เอาจริงๆรถขับเองตอนนี้ ถ้าเป็นในจราจรแบบอเมริกา พวกที่อยู่ในขั้นวิจัยยังไม่ได้วางขาย มันก็ขับได้เองในสถานการณ์จำนวนมากแล้ว คือจะหลับก็หลับได้น่ะแหละ แต่มันก็ยังจะมีสถานการณ์แปลกๆ ที่ไม่มีบริษัทไหนจะกล้าการันตีได้เต็ม 100% เค้าเลยต้องให้คนขับเอามือพร้อมไว้ก่อน เท่าที่ดูทั่วโลกตอนนี้ก็ยังไม่มีบริษัทไหนที่ทดสอบมามากพอที่จะการันตีขนาดบอกว่าให้คนขับนอนได้ (เดาว่าน่าจะเป็น Google ที่เก็บไมล์เยอะนำโด่งเหนือชาวบ้านเขา) คนที่นอนก็คือทำกันเอง รับความเสี่ยงกันไปเอง จริงๆของเทสล่านี่มันมีระบบเตือนคนขับถ้าไม่เอามือจับพวงมาลัยด้วยนี่นา อีกพวกนึงที่เคยเห็นคือพวกคลิปฟอร์เวิร์ดในไลน์ที่คนหลับๆกัน นั่นก็คือคลิปหลอกทั้งนั้น

สำหรับวิศวกร การที่จะทำอะไรออกมาให้คนใช้คือ ไม่ใช่ว่า พอลองขับไปไม่กี่ไมล์ ไม่กี่สถานการณ์สภาพแวดล้อมได้ปลอดภัย การันตีปลอดภัย ครอบคลุม 99% ของสถานการณ์ แล้วจะเอามาให้คนใช้ได้เลยทันที มันต้องทดสอบแล้วทดสอบอีกซ้ำๆจนมั่นใจครบ 100% ซึ่งไอ้ที่ยากก็คือ 1% พวก corner cases ที่มันไม่ค่อยเกิดนี่แหละ จะไปเก็บข้อมูลมาจากไหน? ระบบ perception กับ decision making ควรจะออกแบบยังไงถึงจะรับมือพวกเคสแปลกๆที่เหลือได้? นี่คือ bottle neck หลักๆของรถขับเองตอนนี้

bottle neck อีกเรื่องก็คือกฎหมายของแต่ละรัฐ แต่ละประเทศ ที่ยังไม่ค่อยมีออกมารองรับกัน บริษัทรถก็ต้องวิ่งเก็บไมล์กันต่อไป เพื่อค่อยๆหว่านล้อมซื้อความมั่นใจจากประชาชนและรัฐบาลต่างๆ ให้เปิดใจออกกฎหมายมาอนุญาต อันนี้ก็เป็นอีก bottle neck หลักอันนึงที่สำคัญยิ่งกว่า 5G ถ้าแก้ bottle neck พวกนี้ได้ ไม่ต้องมี 5G ก็คงจะได้เห็นเอามาวิ่งกันมากกว่านี้

5G นี่แหละตัวแก้เลย ปัญหาคือไม่สามารถนำข้อมูลจำนวนมหาศาลมาให้ AI จัดการได้ภายในระยะเวลาอันจำกัด โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในการบังคับรถ

ไปดูเทคโนโลยีอันดับ 1 ทางด้าน AI ของโลกที่จีนกันหน่อยครับ เขาไปถึงไหนแล้ว

AI จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีความสามารถในการขนถ่ายข้อมูลจำนวนมหาศาลได้

ข้อมูลจำนวนมหาศาล ที่กล่าวถึงนี่ ก็คือต้องเกิดมาจาก sensor ใช่รึเปล่าล่ะครับ ถ้าไม่มี sensor ข้อมูลมหาศาลพวกนี้มันก็ไม่มี ซึ่งถ้าเป็นรถขับเองในรูปแบบที่หนึ่ง bottle neck ก็คือมันยังแพงเกินว่าจะเอามาติดขายในรถระดับ consumer ครับ หรือถ้าเป็นแบบที่สอง เช่น เอา sensor ไปติดที่ถนนแทนซะเลยเพื่อต้นทุนลดราคารถ bottle neck อีกอันก็คือจะต้องไปยุ่งเกี่ยวกับภาครัฐในการปรับรูปแบบของ facility บนถนนแทน
 
แล้วคำว่า "AI" ที่ว่านี่มันก็คือ buzzword ที่สื่อใช้เรียกหมายรวมถึงพวก perception & decision making algorithms ทั้งหลายนี่แหละครับ (ซึ่งเป็นคำที่ไม่ค่อย accurate เท่าไหร่ แต่ก็พออนุโลมไปได้) ซึ่งอย่างที่ผมพูดไปก็คือ สองตัวนี้ถึงแม้มันจะเก่งขนาดที่คนขับรถสามารถหลับได้แล้วในขั้นวิจัย เก่งขนาดที่มันขับเองได้ปลอดภัยระดับนึงแล้วในสถานการณ์จำนวนมากที่บริษัทต่างๆเค้าวิ่งทดสอบกันมานานหลายปี บางบริษัทอย่างกูเกิลนี่คือวิ่งเก็บไมล์ไปแล้วเป็นหลายๆล้านไมล์ แต่ถามว่ามีบริษัทไหนในโลกนี้มั้ยที่กล้าการันตีว่าในเคสแปลกๆอีก 1% ที่เรายังไม่เคยเจอ ในเคสที่มันไม่ค่อยเกิด algorithms พวกนี้มันจะยังมี predictable behavior ซึ่งนี่ก็คือหนึ่งสาเหตุหลักอันหนึ่ง ที่เขาให้ลูกค้าอย่าเพิ่งหลับถึงแม้ใน 99% ของสถานการณ์จะหลับได้ก็ตาม
คือ ต้องขอเน้นย้ำว่า รถที่ขับได้ปลอดภัย 99% (หรือจริงๆขับได้ปลอดภัยแค่ 70%) ก็สามารถเอาออกมาบอกสื่อได้แล้วว่าขับเองได้ แต่ถ้าจะพูดไปถึงการเอาของออกมาขายให้ลูกค้านี่ มันไม่เหมือนกันครับ มันต้องปลอดภัย 100% ไม่งั้นก็ผิดจรรยาบรรณ

ซึ่งปัญหาพวกนี้มันไม่ใช่ว่า ข้อมูลมหาศาลจาก sensor มันส่งมาไม่ถึงตัว "AI" ภายในระยะเวลาอันจำกัดนะ ต่อให้มี 5G มันไม่ใช่ว่าปัญหาพวกนี้มันจะหมดไปเหมือนกับที่บางแหล่งข่าวพยายามสื่อให้เหมือนเป็นแบบนั้น แต่มันเกิดเพราะหลายๆเงื่อนไขเช่น ตัวอย่างสถานการณ์แปลกๆ 1% เหล่านั้นมันไม่ค่อยมีเกิดขึ้นให้เราได้เห็นได้ทดสอบ เอาจริงๆผมว่าถ้ามันจะเกิดขึ้นทีก็คือจะต้องมี(หรือเกือบจะมี)อุบัติเหตุเฉี่ยวชนกันซักที ถึงจะมีข้อมูลพวกนี้ให้คนพัฒา "AI" ได้ปรับปรุงความสามารถของมัน จาก 99% เป็น 99.9% 99.99% ไปเรื่อยๆ แล้วอีกอย่างคือ ตัว "AI" ที่ว่า มันเก่งจริงๆครับ แต่มันก็มี limit อยู่บ้าง ถ้าให้ยกตัวอย่าง เช่นพวก algorithm อย่าง deep learning ที่ใช้กันแพร่หลายทั่วโลกเนี่ย (ซึ่งผมกล้าฟันธงเลยว่าจีนก็พึ่งพา algorithm ตัวนี้อยู่นั่นแหละ) มันเก่งมากกๆ แต่มนุษย์ตีความตัวเลขของโมเดลที่มันเรียนออกมาได้ยากมาก แล้วเวลาเจออะไรที่มันผิดแปลกไปจากที่เรียนมาในบางสถานการณ์ เราคาดเดาได้ยากว่ามันจะทำอะไร ซึ่งจุดนี้นักวิจัยทั่วโลกเค้าก็กำลังพัฒนาปรับปรุงกันอยู่ครับ ซึ่งผมว่ามันก็ยากพอสมควร เป็นอีกหนึ่งในหลายๆ bottle neck ในตอนนี้
อันนี้คือยกมาให้เห็นภาพแค่สองตัวอย่างนะครับ จริงๆมีอย่างอื่นอีกแต่เดี๋ยวจะยาวไปอีก แล้วคือ ถามว่า 5G มันไปเป็นเงื่อนไขในเรื่องพวกนี้ ตรงไหนหรือครับ อย่างในบางบล็อค บางคนนี่พูดอย่างกับว่า 5G มันเป็น silver bullet รักษาได้ทุกโรคนี่ ผมว่ามันเข้าข่าย overhyped ออกจะเวอร์ไปหน่อยครับ

"ไปดูเทคโนโลยีอันดับ 1 ทางด้าน AI ของโลกที่จีนกันหน่อยครับ เขาไปถึงไหนแล้ว"
ถึงไหนล่ะครับ อยากให้ช่วยอธิบายรายละเอียดทางเทคนิคด้วยครับ อย่างเช่น เขาแก้ปัญหาได้แล้วเหรอครับในเรื่องการตีความโมเดลของ algorithm เพื่อที่เราจะได้เข้าใจ และสามารถควบคุมความสมเหตุสมผลของ behavior ของระบบ หรือเรื่องการการันตีไปถึงสถานการณ์อีก 1% ที่ยังวิ่งทดสอบไม่เจอ เขาใช้ "AI" algorithm ตัวไหนครับ แล้วเขาใช้ sensor ตัวไหน ถึงไม่ติด bottle neckต่างๆ ที่ผมกล่าวมาครับ

ออฟไลน์ CATM96

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 422
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: มิถุนายน 20, 2019, 21:35:49 »
ลองไปดูคลิป Uber self driving car fatal collision crash ดูครับ ว่ามันเป็นข้อจำกัดของ 5G เป็นคำตอบมั้ย? พึ่ง AI ใช้ 5G latency ต่ำ(ในเชิงทฤษฎี)เพื่อเก็บdata มหาศาล แล้วใช้ AI ตัดสินเสี้ยววินาทีที่คนตัดหน้าแล้วระบบต้องตอบสนองให้ทัน? หรือต้องไปพัฒนาอย่างอื่นเช่นsensor lidar? แม้แต่ tesla ยังไม่ใช้ lidar เพราะราคามันสูง แต่ไม่เคยพูดถึง เรื่อง 5G หรือระบบการสื่อสารเป็นปัญหาสำคัญเลยนะครับ

ออฟไลน์ SM.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 27,435
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: มิถุนายน 20, 2019, 21:51:41 »
5G น่าสนใจมาก

ผมว่าถนนจะปลอดภัยมากๆ ถ้ารถทุกคันมีระบบ auto กันทุกคันนะ

ออฟไลน์ Beats

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 166
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: มิถุนายน 21, 2019, 05:23:09 »
ลองไปดูคลิป Uber self driving car fatal collision crash ดูครับ ว่ามันเป็นข้อจำกัดของ 5G เป็นคำตอบมั้ย? พึ่ง AI ใช้ 5G latency ต่ำ(ในเชิงทฤษฎี)เพื่อเก็บdata มหาศาล แล้วใช้ AI ตัดสินเสี้ยววินาทีที่คนตัดหน้าแล้วระบบต้องตอบสนองให้ทัน? หรือต้องไปพัฒนาอย่างอื่นเช่นsensor lidar? แม้แต่ tesla ยังไม่ใช้ lidar เพราะราคามันสูง แต่ไม่เคยพูดถึง เรื่อง 5G หรือระบบการสื่อสารเป็นปัญหาสำคัญเลยนะครับ

กรณี Uber นี่ก็เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นข้อจำกัดในตัว perception algorithm (ที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่เรียกรวมๆเป็น AI) เลย อ้างอิงตามข้อมูลที่ NTSB ดึงออกมาจากระบบของรถนะครับ

“the self-driving system software classified the pedestrian as an unknown object, as a vehicle, and then as a bicycle with varying expectations of future travel path.”

แปลว่า algorithm เข้าใจผิด มอง คนที่เดินจูงจักรยานกลางถนน ไปเป็น “unknown object” แล้วก็มองไปเป็น “vehicle” แล้วก็มองไปเป็น “bicycle” ซึ่งพอ perception algorithm จำแนกชนิดของสิ่งกีดขวางผิด มันก็คำนวณเส้นทางของคนผิดไปด้วย นี่คือสาเหตุที่เขาระบุไว้ว่า “with varying expectations of future travel path.” ครับ เพราะว่าการคำนวณเส้นทางของวัตถุต่างๆบนถนนเนี่ย เขาจะคำนวณเส้นทางออกมาต่างกันออกไปขึ้นกับชนิดของวัตถุ คือถ้าเป็นคนก็จะมีรูปแบบในการเดินแบบนึง รถก็วิ่งอีกแบบนึง จักรยานก็เคลื่อนที่อีกแบบนึง ซึ่งพอมองชนิดของวัตถุไปเป็นอีกแบบ มันก็คำนวณเส้นทางไปคนละแบบกันเลย นี่คือสาเหตุที่เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ latency ในการสื่อสารไม่ได้เป็นปัญหาเลยเพราะระบบประมวลผลเขาเอามาไว้อยู่ด้วยกันบนรถ นี่ถ้าใช้ 5G แล้วมันไปแก้ปัญหาเรื่อง perception ของวัตถุที่กำกวมแบบนี้ได้นี่ นักวิจัยสาย perception หรือ AI คงจะสบายเลย ไม่ต้องทำวิจัยต่อกันละ ความจริงมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นครับ ไม่ได้มียาอะไรรักษาไปหมดทุกโรคแบบนั้น

ปล. อย่าเพิ่งสับสนระหว่าง data จำนวนมหาศาลที่เอามาให้ AI เรียนรู้เพื่อสร้างโมเดลperception กับ data ที่เป็น input ตอนเอาโมเดล(ที่ AI เรียนเสร็จแล้ว)มาใช้งานนะครับ สองอันนี้คนละอย่างกัน การเรียนรู้ของ AI อย่างพวก deep learning เนี่ย มันต้องใช้เวลาเรียน ใช้เวลาคำนวณกันข้ามวันข้ามสัปดาห์เลย เวลาที่ใช้ตรงนี้ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะไม่ใช่ว่ามันต้องเรียนไปด้วยส่งข้อมูลไปด้วยรถวิ่งไปด้วย ไม่ใช่ครับ ใช้เวลาตอนเก็บ data ตอนเรียน กี่วันก็ใช้ไปเลยให้พอใจ พอเรียนเสร็จ ได้โมเดลมาแล้ว เขาค่อยเอาแค่ตัวโมเดลโหลดลงรถเพื่อมาใช้งานครับ ซึ่งdataส่วนแรกนั้นไม่ก็ต้องใช้แล้วครับเพราะใช้สร้างเป็นโมเดลไปเป็นที่เรียบร้อย ส่วนdataส่วนที่สอง ที่ต้องอ่านสดตอนใช้งานนี่ มันไม่ได้เยอะเท่ากับ data ส่วนแรกนะครับ เป็นคนละส่วนกัน หลายท่านอาจจะสับสนในจุดนี้

หรือกรณีที่ Testla ชน ในเคสก่อนๆ อย่างเช่น กรณีที่ชนรถบรรทุกไปมากกว่าหนึ่งครั้งเลยนี่ เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆเลยครับ ถึงความสำคัญของ LIDAR คือถ้าใครเคยทำงานกับ LIDAR เขาจะพูดเลยว่า ถ้ารถมี LIDAR มันไม่มีทางเลยที่มันจะมองไม่เห็นวัตถุขนาดใหญ่มากขนาดรถบรรทุกได้ หรือจะมองมันกลืนไปกับฉากหลังได้เหมือนกับ sensor ชนิดอื่น เรื่องนี้มีคนพูดถึงกันอยู่เยอะเลย ทั้งในอินเตอร์เนตและที่นักวิจัยเขาพูดกันหลังจากเกิดเหตุการณ์ หรือแม้แต่ตอนTeslaออกมาตั้งแต่แรกๆนักวิจัยหลายๆคนก็วิจารณ์การตัดสินใจไม่ใช้ LIDAR ของ Elon กันครับ บริษัทรถหลายๆยี่ห้อก็กำลังพยายามจะร่วมมือกับบริษัท LIDAR อยู่ มี startup หลายยี่ห้อเลยที่พยายามพัฒนา LIDAR กันตอนนี้ เรื่องนี้ก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัญหาปลายเปิดอยู่ครับ

ออฟไลน์ CATM96

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 422
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: มิถุนายน 21, 2019, 07:28:08 »
ลองไปดูคลิป Uber self driving car fatal collision crash ดูครับ ว่ามันเป็นข้อจำกัดของ 5G เป็นคำตอบมั้ย? พึ่ง AI ใช้ 5G latency ต่ำ(ในเชิงทฤษฎี)เพื่อเก็บdata มหาศาล แล้วใช้ AI ตัดสินเสี้ยววินาทีที่คนตัดหน้าแล้วระบบต้องตอบสนองให้ทัน? หรือต้องไปพัฒนาอย่างอื่นเช่นsensor lidar? แม้แต่ tesla ยังไม่ใช้ lidar เพราะราคามันสูง แต่ไม่เคยพูดถึง เรื่อง 5G หรือระบบการสื่อสารเป็นปัญหาสำคัญเลยนะครับ

กรณี Uber นี่ก็เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นข้อจำกัดในตัว perception algorithm (ที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่เรียกรวมๆเป็น AI) เลย อ้างอิงตามข้อมูลที่ NTSB ดึงออกมาจากระบบของรถนะครับ

“the self-driving system software classified the pedestrian as an unknown object, as a vehicle, and then as a bicycle with varying expectations of future travel path.”

แปลว่า algorithm เข้าใจผิด มอง คนที่เดินจูงจักรยานกลางถนน ไปเป็น “unknown object” แล้วก็มองไปเป็น “vehicle” แล้วก็มองไปเป็น “bicycle” ซึ่งพอ perception algorithm จำแนกชนิดของสิ่งกีดขวางผิด มันก็คำนวณเส้นทางของคนผิดไปด้วย นี่คือสาเหตุที่เขาระบุไว้ว่า “with varying expectations of future travel path.” ครับ เพราะว่าการคำนวณเส้นทางของวัตถุต่างๆบนถนนเนี่ย เขาจะคำนวณเส้นทางออกมาต่างกันออกไปขึ้นกับชนิดของวัตถุ คือถ้าเป็นคนก็จะมีรูปแบบในการเดินแบบนึง รถก็วิ่งอีกแบบนึง จักรยานก็เคลื่อนที่อีกแบบนึง ซึ่งพอมองชนิดของวัตถุไปเป็นอีกแบบ มันก็คำนวณเส้นทางไปคนละแบบกันเลย นี่คือสาเหตุที่เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ latency ในการสื่อสารไม่ได้เป็นปัญหาเลยเพราะระบบประมวลผลเขาเอามาไว้อยู่ด้วยกันบนรถ นี่ถ้าใช้ 5G แล้วมันไปแก้ปัญหาเรื่อง perception ของวัตถุที่กำกวมแบบนี้ได้นี่ นักวิจัยสาย perception หรือ AI คงจะสบายเลย ไม่ต้องทำวิจัยต่อกันละ ความจริงมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นครับ ไม่ได้มียาอะไรรักษาไปหมดทุกโรคแบบนั้น

ปล. อย่าเพิ่งสับสนระหว่าง data จำนวนมหาศาลที่เอามาให้ AI เรียนรู้เพื่อสร้างโมเดลperception กับ data ที่เป็น input ตอนเอาโมเดล(ที่ AI เรียนเสร็จแล้ว)มาใช้งานนะครับ สองอันนี้คนละอย่างกัน การเรียนรู้ของ AI อย่างพวก deep learning เนี่ย มันต้องใช้เวลาเรียน ใช้เวลาคำนวณกันข้ามวันข้ามสัปดาห์เลย เวลาที่ใช้ตรงนี้ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะไม่ใช่ว่ามันต้องเรียนไปด้วยส่งข้อมูลไปด้วยรถวิ่งไปด้วย ไม่ใช่ครับ ใช้เวลาตอนเก็บ data ตอนเรียน กี่วันก็ใช้ไปเลยให้พอใจ พอเรียนเสร็จ ได้โมเดลมาแล้ว เขาค่อยเอาแค่ตัวโมเดลโหลดลงรถเพื่อมาใช้งานครับ ซึ่งdataส่วนแรกนั้นไม่ก็ต้องใช้แล้วครับเพราะใช้สร้างเป็นโมเดลไปเป็นที่เรียบร้อย ส่วนdataส่วนที่สอง ที่ต้องอ่านสดตอนใช้งานนี่ มันไม่ได้เยอะเท่ากับ data ส่วนแรกนะครับ เป็นคนละส่วนกัน หลายท่านอาจจะสับสนในจุดนี้

หรือกรณีที่ Testla ชน ในเคสก่อนๆ อย่างเช่น กรณีที่ชนรถบรรทุกไปมากกว่าหนึ่งครั้งเลยนี่ เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆเลยครับ ถึงความสำคัญของ LIDAR คือถ้าใครเคยทำงานกับ LIDAR เขาจะพูดเลยว่า ถ้ารถมี LIDAR มันไม่มีทางเลยที่มันจะมองไม่เห็นวัตถุขนาดใหญ่มากขนาดรถบรรทุกได้ หรือจะมองมันกลืนไปกับฉากหลังได้เหมือนกับ sensor ชนิดอื่น เรื่องนี้มีคนพูดถึงกันอยู่เยอะเลย ทั้งในอินเตอร์เนตและที่นักวิจัยเขาพูดกันหลังจากเกิดเหตุการณ์ หรือแม้แต่ตอนTeslaออกมาตั้งแต่แรกๆนักวิจัยหลายๆคนก็วิจารณ์การตัดสินใจไม่ใช้ LIDAR ของ Elon กันครับ บริษัทรถหลายๆยี่ห้อก็กำลังพยายามจะร่วมมือกับบริษัท LIDAR อยู่ มี startup หลายยี่ห้อเลยที่พยายามพัฒนา LIDAR กันตอนนี้ เรื่องนี้ก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัญหาปลายเปิดอยู่ครับ
กรณีของvolvo ผมเคยอ่านบทความแล้วครับว่าเป็นความผิดของ AI ครับแต่ ผมเชื่อว่าหลายคนยังเข้าใจการใช้ 5G จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ซึ่งผมกับมองว่า5G มันจะมีประโยชน์จริงที่เกิดกับรถ คือระบบ infotainment System มากกว่าเช่นถ้าระบบขับขี่อัตโนมัติสมบูรณ์ เราสามารถดู Netflix 4K HDR +dolby atmos เพื่อความสบายในการขับขี่กับการสื่อสารตัวรถกับรถคันอื่นที่ใช้ระบบขับอัตโนมัติ แค่นั้น ปล.นึงถึงตอน4G มาใหม่ๆเลย แล้วตอนนี้ความเร็วที่เราใช้ได้อยู่ในระดับที่รู้กันอยู่ พอมาดู5G infrastructureต้องลงอีกมูลค่าเทาไหร่...

ออฟไลน์ Beats

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 166
Re: Tesla Auto Pilot
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: มิถุนายน 21, 2019, 15:43:29 »
ลองไปดูคลิป Uber self driving car fatal collision crash ดูครับ ว่ามันเป็นข้อจำกัดของ 5G เป็นคำตอบมั้ย? พึ่ง AI ใช้ 5G latency ต่ำ(ในเชิงทฤษฎี)เพื่อเก็บdata มหาศาล แล้วใช้ AI ตัดสินเสี้ยววินาทีที่คนตัดหน้าแล้วระบบต้องตอบสนองให้ทัน? หรือต้องไปพัฒนาอย่างอื่นเช่นsensor lidar? แม้แต่ tesla ยังไม่ใช้ lidar เพราะราคามันสูง แต่ไม่เคยพูดถึง เรื่อง 5G หรือระบบการสื่อสารเป็นปัญหาสำคัญเลยนะครับ

กรณี Uber นี่ก็เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นข้อจำกัดในตัว perception algorithm (ที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่เรียกรวมๆเป็น AI) เลย อ้างอิงตามข้อมูลที่ NTSB ดึงออกมาจากระบบของรถนะครับ

“the self-driving system software classified the pedestrian as an unknown object, as a vehicle, and then as a bicycle with varying expectations of future travel path.”

แปลว่า algorithm เข้าใจผิด มอง คนที่เดินจูงจักรยานกลางถนน ไปเป็น “unknown object” แล้วก็มองไปเป็น “vehicle” แล้วก็มองไปเป็น “bicycle” ซึ่งพอ perception algorithm จำแนกชนิดของสิ่งกีดขวางผิด มันก็คำนวณเส้นทางของคนผิดไปด้วย นี่คือสาเหตุที่เขาระบุไว้ว่า “with varying expectations of future travel path.” ครับ เพราะว่าการคำนวณเส้นทางของวัตถุต่างๆบนถนนเนี่ย เขาจะคำนวณเส้นทางออกมาต่างกันออกไปขึ้นกับชนิดของวัตถุ คือถ้าเป็นคนก็จะมีรูปแบบในการเดินแบบนึง รถก็วิ่งอีกแบบนึง จักรยานก็เคลื่อนที่อีกแบบนึง ซึ่งพอมองชนิดของวัตถุไปเป็นอีกแบบ มันก็คำนวณเส้นทางไปคนละแบบกันเลย นี่คือสาเหตุที่เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ latency ในการสื่อสารไม่ได้เป็นปัญหาเลยเพราะระบบประมวลผลเขาเอามาไว้อยู่ด้วยกันบนรถ นี่ถ้าใช้ 5G แล้วมันไปแก้ปัญหาเรื่อง perception ของวัตถุที่กำกวมแบบนี้ได้นี่ นักวิจัยสาย perception หรือ AI คงจะสบายเลย ไม่ต้องทำวิจัยต่อกันละ ความจริงมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นครับ ไม่ได้มียาอะไรรักษาไปหมดทุกโรคแบบนั้น

ปล. อย่าเพิ่งสับสนระหว่าง data จำนวนมหาศาลที่เอามาให้ AI เรียนรู้เพื่อสร้างโมเดลperception กับ data ที่เป็น input ตอนเอาโมเดล(ที่ AI เรียนเสร็จแล้ว)มาใช้งานนะครับ สองอันนี้คนละอย่างกัน การเรียนรู้ของ AI อย่างพวก deep learning เนี่ย มันต้องใช้เวลาเรียน ใช้เวลาคำนวณกันข้ามวันข้ามสัปดาห์เลย เวลาที่ใช้ตรงนี้ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะไม่ใช่ว่ามันต้องเรียนไปด้วยส่งข้อมูลไปด้วยรถวิ่งไปด้วย ไม่ใช่ครับ ใช้เวลาตอนเก็บ data ตอนเรียน กี่วันก็ใช้ไปเลยให้พอใจ พอเรียนเสร็จ ได้โมเดลมาแล้ว เขาค่อยเอาแค่ตัวโมเดลโหลดลงรถเพื่อมาใช้งานครับ ซึ่งdataส่วนแรกนั้นไม่ก็ต้องใช้แล้วครับเพราะใช้สร้างเป็นโมเดลไปเป็นที่เรียบร้อย ส่วนdataส่วนที่สอง ที่ต้องอ่านสดตอนใช้งานนี่ มันไม่ได้เยอะเท่ากับ data ส่วนแรกนะครับ เป็นคนละส่วนกัน หลายท่านอาจจะสับสนในจุดนี้

หรือกรณีที่ Testla ชน ในเคสก่อนๆ อย่างเช่น กรณีที่ชนรถบรรทุกไปมากกว่าหนึ่งครั้งเลยนี่ เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆเลยครับ ถึงความสำคัญของ LIDAR คือถ้าใครเคยทำงานกับ LIDAR เขาจะพูดเลยว่า ถ้ารถมี LIDAR มันไม่มีทางเลยที่มันจะมองไม่เห็นวัตถุขนาดใหญ่มากขนาดรถบรรทุกได้ หรือจะมองมันกลืนไปกับฉากหลังได้เหมือนกับ sensor ชนิดอื่น เรื่องนี้มีคนพูดถึงกันอยู่เยอะเลย ทั้งในอินเตอร์เนตและที่นักวิจัยเขาพูดกันหลังจากเกิดเหตุการณ์ หรือแม้แต่ตอนTeslaออกมาตั้งแต่แรกๆนักวิจัยหลายๆคนก็วิจารณ์การตัดสินใจไม่ใช้ LIDAR ของ Elon กันครับ บริษัทรถหลายๆยี่ห้อก็กำลังพยายามจะร่วมมือกับบริษัท LIDAR อยู่ มี startup หลายยี่ห้อเลยที่พยายามพัฒนา LIDAR กันตอนนี้ เรื่องนี้ก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัญหาปลายเปิดอยู่ครับ
กรณีของvolvo ผมเคยอ่านบทความแล้วครับว่าเป็นความผิดของ AI ครับแต่ ผมเชื่อว่าหลายคนยังเข้าใจการใช้ 5G จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ซึ่งผมกับมองว่า5G มันจะมีประโยชน์จริงที่เกิดกับรถ คือระบบ infotainment System มากกว่าเช่นถ้าระบบขับขี่อัตโนมัติสมบูรณ์ เราสามารถดู Netflix 4K HDR +dolby atmos เพื่อความสบายในการขับขี่กับการสื่อสารตัวรถกับรถคันอื่นที่ใช้ระบบขับอัตโนมัติ แค่นั้น ปล.นึงถึงตอน4G มาใหม่ๆเลย แล้วตอนนี้ความเร็วที่เราใช้ได้อยู่ในระดับที่รู้กันอยู่ พอมาดู5G infrastructureต้องลงอีกมูลค่าเทาไหร่...
ใช่ครับ 5G จะมีประโยน์แน่ๆในเรื่องพวก infotainment สำหรับคนที่นั่งในรถ หรืออย่างในเรื่องที่ผมได้กล่าวไปคือถ้ารถแต่ละคันขับเองได้แล้ว 5G ก็จะมีประโยชน์ในเรื่องการสื่อสารกับระบบไฟเขียวไฟแดงเพื่อช่วยเลือกเส้นทางให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้น หรือการสื่อสารกับรถที่ขับเองได้แล้วคันอื่นๆรอบๆ (ย้ำว่ารถส่วนบุคคลทุกคันบนถนนจะต้องเก่งพอที่จะขับเองแบบ standalone ด้วยตัวมันเอง ได้ก่อนแล้วนะ) ซึ่ง
- พวกนี้มันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้ารถแต่ละคันมันไม่ได้มีระบบ perception และระบบ decision making (AI) ที่ดีเกือบจะสมบูรณ์ด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว และ5G ก็ไม่สามารถช่วยได้ในเรื่องปัญหาการเก็บข้อมูลประสบการณ์ของพวก corner cases 1% ที่แปลกๆพิศดาร เพราะกรณีพวกนี้มันคอยแอบอยู่ ข้อมูลบางรูปแบบต้องสังเวยอุบัติเหตุกันทีถึงจะได้มาที จะเรียกว่าผิดเป็นครูก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ วิธีการแก้ที่ผมเคยพูดถึงไปบางส่วนมันอยู่ในตัวคณิตศาสตร์ของ AI ที่เขาก็ยังมีการพัฒนากันต่อไป นักวิจัย 5G ไม่ได้มาช่วยเรื่องพวกนี้ อยากให้สื่อให้เครดิตนักวิจัยให้ถูกสาขากันหน่อย
- ตัวอย่างประโยชน์ของ 5G ในเรื่องการสื่อสารกับระบบไฟเขียวไฟแดงเพื่อให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้น หรือการสื่อสารกับรถที่ขับเองได้แล้วรอบๆนี้ ถ้าจะให้เกิดขึ้นได้ ก็ยังจะต้องไปพัฒนาระบบ perception & decision making หรือ "AI" ตัวใหม่ขึ้นมารองรับอีก นี่ก็ยากขึ้นไปอีก ยังไม่ค่อยเห็นงานวิจัยของ AI algorithm พวกนี้มากนัก ยังแทบไม่เห็นการเอามาทำในรถจริงเพื่อทดสอบเลย เพราะมันต้องไปยุ่งกับหน่วยจราจรของภาครัฐด้วย คือยากและยังห่างไกลอีกมากๆ สรุปคือ bottle neck ก็กลับไปอยู่ที่ คณิตศาสตร์ของตัว perception & decision making หรือ "AI" และกับที่ภาครัฐ อีกละ ไม่ได้ติดที่ตรง 5G

สิ่งที่ผมเบื่อคือบางทีสื่อชอบ hype กันเกินจริงครับ ว่า 5G มันจะแก้ได้ทุกอย่าง ว่ามี 5G แล้วปัญหาล้านแปดจะแก้ได้หมดไปเลย ทั้งๆที่มันไม่เกี่ยวกัน หรือแม้กระทั่งว่า จริงๆแล้ว 5G มันทำอะไร แล้วมันมาช่วยมาเกี่ยวอะไรกับ AI อย่างไรบ้างกันแน่นี่ ก็มีการ hype ให้คนเข้าใจผิดกันเยอะอีก ยังกับว่า 5G เป็น bottle neck ของ AI ไปซะยังงั้น บอกตรงๆคนที่ทำวิจัยเบื่อสื่อพวกนี้มากครับ ปัญหา AI (จริงๆมีนักวิจัยหลายสาขาที่ต้องมีส่วนร่วม) มันเป็นคนละเรื่องกับ 5G คือ 5G อาจจะมาช่วยสนับสนุน AI ได้ในบางส่วน เป็นกองหนุน แต่ว่าปัญหาทางด้าน AI เองก็ไม่ใช่ง่ายๆ ถ้า AI แก้ปัญหาที่เป็น limitation ในทางคณิตศาสตร์ของตัวมันเองไม่ได้ 5G ก็ช่วยอะไรไม่ได้ครับ แล้วไม่ใช่แค่ 5G ที่โดนสื่อ hyped เทคโนโลยีอื่นๆก็เคยโดนสื่อ hyped กันมาเยอะ อย่าง AI ก็ด้วย สถานะของ AI ตอนนี้คือ เก่งมากๆแล้ว แต่ทุกระบบมี limit ของมันครับ ถ้าใครนึกว่า AI ทำได้ทุกอย่าง ไร้เทียมทาน จะครองโลก อะไรแนวนี้ ก็คือโดนสื่อหลอกอีกแล้ว นี่คือสาเหตุที่ field วิจัยด้าน AI ยัง active กันอยู่ครับ ยังไม่ตาย ยังมีเรื่องให้พัฒนาปรับปรุงได้อีกเรื่อยๆ