5G มันไม่ใช่ bottle neck ของการพัฒนารถขับเองนะ bottle neck ของการพัฒนารถขับเองตอนนี้ มันอยู่ที่ตัว sensor อย่างพวก LIDAR ที่จะทำยังไงให้ถูกลง เพื่อเพิ่มความ reliable ต่อการมองเห็นสิ่งต่างๆ กับพวก perception algorithm และ decision making algorithm ที่ทำยังไงถึงจะ handle เคสพิสดารแปลกๆต่างๆที่ไม่เคยเจอมาก่อนได้อย่าง robust แล้วยังมีพวกหิมะ น้ำท่วม สภาพแวดล้อมอื่นๆอีก
5G มันแค่เอาไว้ช่วยให้รถสื่อสารกันเองหรือสื่อสารกับตัวระบบจราจรหรือศูนย์ประมวลผลกลางได้แค่นั้นเอง คือ ไม่ใช่ว่าพอมี 5G แล้ว ปัญหา bottle neck ของรถขับเองที่พูดไว้ข้างบนมันจะแก้ไปได้เลย และก็ ไม่ใช่ว่า ถ้าไม่มี 5G แล้วเทคโนโลยีรถขับเองมันจะติดขัดพัฒนาต่อไปไม่ได้ พวก sensor พวก algorithm ต่างๆ มันก็ยังพัฒนาต่อไปได้เรื่อยๆ เหมือนกับมนุษย์ปกติขับนี่แหละ แค่ยังไม่ได้เชื่อมต่อข้อมูลกับรถคันอื่น
เอาจริงๆรถขับเองตอนนี้ ถ้าเป็นในจราจรแบบอเมริกา พวกที่อยู่ในขั้นวิจัยยังไม่ได้วางขาย มันก็ขับได้เองในสถานการณ์จำนวนมากแล้ว คือจะหลับก็หลับได้น่ะแหละ แต่มันก็ยังจะมีสถานการณ์แปลกๆ ที่ไม่มีบริษัทไหนจะกล้าการันตีได้เต็ม 100% เค้าเลยต้องให้คนขับเอามือพร้อมไว้ก่อน เท่าที่ดูทั่วโลกตอนนี้ก็ยังไม่มีบริษัทไหนที่ทดสอบมามากพอที่จะการันตีขนาดบอกว่าให้คนขับนอนได้ (เดาว่าน่าจะเป็น Google ที่เก็บไมล์เยอะนำโด่งเหนือชาวบ้านเขา) คนที่นอนก็คือทำกันเอง รับความเสี่ยงกันไปเอง จริงๆของเทสล่านี่มันมีระบบเตือนคนขับถ้าไม่เอามือจับพวงมาลัยด้วยนี่นา อีกพวกนึงที่เคยเห็นคือพวกคลิปฟอร์เวิร์ดในไลน์ที่คนหลับๆกัน นั่นก็คือคลิปหลอกทั้งนั้น
สำหรับวิศวกร การที่จะทำอะไรออกมาให้คนใช้คือ ไม่ใช่ว่า พอลองขับไปไม่กี่ไมล์ ไม่กี่สถานการณ์สภาพแวดล้อมได้ปลอดภัย การันตีปลอดภัย ครอบคลุม 99% ของสถานการณ์ แล้วจะเอามาให้คนใช้ได้เลยทันที มันต้องทดสอบแล้วทดสอบอีกซ้ำๆจนมั่นใจครบ 100% ซึ่งไอ้ที่ยากก็คือ 1% พวก corner cases ที่มันไม่ค่อยเกิดนี่แหละ จะไปเก็บข้อมูลมาจากไหน? ระบบ perception กับ decision making ควรจะออกแบบยังไงถึงจะรับมือพวกเคสแปลกๆที่เหลือได้? นี่คือ bottle neck หลักๆของรถขับเองตอนนี้
bottle neck อีกเรื่องก็คือกฎหมายของแต่ละรัฐ แต่ละประเทศ ที่ยังไม่ค่อยมีออกมารองรับกัน บริษัทรถก็ต้องวิ่งเก็บไมล์กันต่อไป เพื่อค่อยๆหว่านล้อมซื้อความมั่นใจจากประชาชนและรัฐบาลต่างๆ ให้เปิดใจออกกฎหมายมาอนุญาต อันนี้ก็เป็นอีก bottle neck หลักอันนึงที่สำคัญยิ่งกว่า 5G ถ้าแก้ bottle neck พวกนี้ได้ ไม่ต้องมี 5G ก็คงจะได้เห็นเอามาวิ่งกันมากกว่านี้
5G นี่แหละตัวแก้เลย ปัญหาคือไม่สามารถนำข้อมูลจำนวนมหาศาลมาให้ AI จัดการได้ภายในระยะเวลาอันจำกัด โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในการบังคับรถ
ไปดูเทคโนโลยีอันดับ 1 ทางด้าน AI ของโลกที่จีนกันหน่อยครับ เขาไปถึงไหนแล้ว
AI จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีความสามารถในการขนถ่ายข้อมูลจำนวนมหาศาลได้
ข้อมูลจำนวนมหาศาล ที่กล่าวถึงนี่ ก็คือต้องเกิดมาจาก sensor ใช่รึเปล่าล่ะครับ ถ้าไม่มี sensor ข้อมูลมหาศาลพวกนี้มันก็ไม่มี ซึ่งถ้าเป็นรถขับเองในรูปแบบที่หนึ่ง bottle neck ก็คือมันยังแพงเกินว่าจะเอามาติดขายในรถระดับ consumer ครับ หรือถ้าเป็นแบบที่สอง เช่น เอา sensor ไปติดที่ถนนแทนซะเลยเพื่อต้นทุนลดราคารถ bottle neck อีกอันก็คือจะต้องไปยุ่งเกี่ยวกับภาครัฐในการปรับรูปแบบของ facility บนถนนแทน
แล้วคำว่า "AI" ที่ว่านี่มันก็คือ buzzword ที่สื่อใช้เรียกหมายรวมถึงพวก perception & decision making algorithms ทั้งหลายนี่แหละครับ (ซึ่งเป็นคำที่ไม่ค่อย accurate เท่าไหร่ แต่ก็พออนุโลมไปได้) ซึ่งอย่างที่ผมพูดไปก็คือ สองตัวนี้ถึงแม้มันจะเก่งขนาดที่คนขับรถสามารถหลับได้แล้วในขั้นวิจัย เก่งขนาดที่มันขับเองได้ปลอดภัยระดับนึงแล้วในสถานการณ์จำนวนมากที่บริษัทต่างๆเค้าวิ่งทดสอบกันมานานหลายปี บางบริษัทอย่างกูเกิลนี่คือวิ่งเก็บไมล์ไปแล้วเป็นหลายๆล้านไมล์ แต่ถามว่ามีบริษัทไหนในโลกนี้มั้ยที่กล้าการันตีว่าในเคสแปลกๆอีก 1% ที่เรายังไม่เคยเจอ ในเคสที่มันไม่ค่อยเกิด algorithms พวกนี้มันจะยังมี predictable behavior ซึ่งนี่ก็คือหนึ่งสาเหตุหลักอันหนึ่ง ที่เขาให้ลูกค้าอย่าเพิ่งหลับถึงแม้ใน 99% ของสถานการณ์จะหลับได้ก็ตาม
คือ ต้องขอเน้นย้ำว่า รถที่ขับได้ปลอดภัย 99% (หรือจริงๆขับได้ปลอดภัยแค่ 70%) ก็สามารถเอาออกมาบอกสื่อได้แล้วว่าขับเองได้ แต่ถ้าจะพูดไปถึงการเอาของออกมาขายให้ลูกค้านี่ มันไม่เหมือนกันครับ มันต้องปลอดภัย 100% ไม่งั้นก็ผิดจรรยาบรรณ
ซึ่งปัญหาพวกนี้มันไม่ใช่ว่า ข้อมูลมหาศาลจาก sensor มันส่งมาไม่ถึงตัว "AI" ภายในระยะเวลาอันจำกัดนะ ต่อให้มี 5G มันไม่ใช่ว่าปัญหาพวกนี้มันจะหมดไปเหมือนกับที่บางแหล่งข่าวพยายามสื่อให้เหมือนเป็นแบบนั้น แต่มันเกิดเพราะหลายๆเงื่อนไขเช่น ตัวอย่างสถานการณ์แปลกๆ 1% เหล่านั้นมันไม่ค่อยมีเกิดขึ้นให้เราได้เห็นได้ทดสอบ เอาจริงๆผมว่าถ้ามันจะเกิดขึ้นทีก็คือจะต้องมี(หรือเกือบจะมี)อุบัติเหตุเฉี่ยวชนกันซักที ถึงจะมีข้อมูลพวกนี้ให้คนพัฒา "AI" ได้ปรับปรุงความสามารถของมัน จาก 99% เป็น 99.9% 99.99% ไปเรื่อยๆ แล้วอีกอย่างคือ ตัว "AI" ที่ว่า มันเก่งจริงๆครับ แต่มันก็มี limit อยู่บ้าง ถ้าให้ยกตัวอย่าง เช่นพวก algorithm อย่าง deep learning ที่ใช้กันแพร่หลายทั่วโลกเนี่ย (ซึ่งผมกล้าฟันธงเลยว่าจีนก็พึ่งพา algorithm ตัวนี้อยู่นั่นแหละ) มันเก่งมากกๆ แต่มนุษย์ตีความตัวเลขของโมเดลที่มันเรียนออกมาได้ยากมาก แล้วเวลาเจออะไรที่มันผิดแปลกไปจากที่เรียนมาในบางสถานการณ์ เราคาดเดาได้ยากว่ามันจะทำอะไร ซึ่งจุดนี้นักวิจัยทั่วโลกเค้าก็กำลังพัฒนาปรับปรุงกันอยู่ครับ ซึ่งผมว่ามันก็ยากพอสมควร เป็นอีกหนึ่งในหลายๆ bottle neck ในตอนนี้
อันนี้คือยกมาให้เห็นภาพแค่สองตัวอย่างนะครับ จริงๆมีอย่างอื่นอีกแต่เดี๋ยวจะยาวไปอีก แล้วคือ ถามว่า 5G มันไปเป็นเงื่อนไขในเรื่องพวกนี้ ตรงไหนหรือครับ อย่างในบางบล็อค บางคนนี่พูดอย่างกับว่า 5G มันเป็น silver bullet รักษาได้ทุกโรคนี่ ผมว่ามันเข้าข่าย overhyped ออกจะเวอร์ไปหน่อยครับ
"ไปดูเทคโนโลยีอันดับ 1 ทางด้าน AI ของโลกที่จีนกันหน่อยครับ เขาไปถึงไหนแล้ว"
ถึงไหนล่ะครับ อยากให้ช่วยอธิบายรายละเอียดทางเทคนิคด้วยครับ อย่างเช่น เขาแก้ปัญหาได้แล้วเหรอครับในเรื่องการตีความโมเดลของ algorithm เพื่อที่เราจะได้เข้าใจ และสามารถควบคุมความสมเหตุสมผลของ behavior ของระบบ หรือเรื่องการการันตีไปถึงสถานการณ์อีก 1% ที่ยังวิ่งทดสอบไม่เจอ เขาใช้ "AI" algorithm ตัวไหนครับ แล้วเขาใช้ sensor ตัวไหน ถึงไม่ติด bottle neckต่างๆ ที่ผมกล่าวมาครับ