กระทู้นี้เจ๋งมากๆ มีแนวคิดดีๆ เพียบเต็มไปหมด ผมรู้สึกว่า สังคมที่นี่มันไม่ใช่แค่รถแล้ว รถเป็นแค่สื่อนำไฟฟ้าให้เท่านั้นเอง
เอาหล่ะผมจะเล่าชีวประวัติส่วนตัวของผมบ้าง และผมน่าจะเป็นคำตอบที่ดีให้กับเจ้าของกระทู้ได้เป็นอย่างดี
ผมชื่อ ณธัญ ตู้จินดา เป็นเด็กที่เกิดมาบนความสบาย ทุกอย่างสบายไปหมดน่ะครับ แต่สิ่งที่ไม่สบายคือ มีคนคิดแทนเสียแทบทุกอย่าง
ผมถูกปลุกฝังมาตั้งแต่เด็กให้เรียนสายวิทย์ ให้เป็นหมอ หรือทันตแพทย์(คุณปู่ผมเป็นหมอฟันน่ะ และเลี้ยงผมมาตั้งแต่แบเบาะ) ซึ่งในชีวิตจริง
ตั้งแต่เรียนประถมผมก็ดันเรียนดีอีกได้เกรด 3-4 มาโดยตลอด พอเข้ามัธยมก็เข้าโรงเรียนหอวัง ในม.ต้น เรียนรวมครับ ไม่แยกสาย ก็ได้สามกว่าตลอด
พอม.ปลาย ก็เรียนสายวิทย์ตามค่านิยมเลย อีกอย่างเพื่อนๆ ส่วนมากก็เรียนวิทย์ คณิต ก็ตามกันไป ม.4 เทอมแรกเกรดได้ 1.75 ครับ...ที่บ้านงงหมด
จากเด็กที่เคยเรียนเก่ง ทำไมมันกลายเป็นหน้ามือเป็นหลังตีนเยี่ยงนี้ แต่ผมก็พยายามครับ ตั้งใจมากขึ้น พอเทอมสองก็ได้ 2.22 ก็ดีขึ้นมาหน่อย
ซึ่งถ้าเปิดดูจากสมุดพกแล้ว วิชาที่ช่วยผมส่วนมากคือ ภาษาไทย...สังคม ชีวะ..และวิชาอื่นๆที่มันไม่ใช่ เคมี คณิตศาสตร์ ฟิสิก เลยแม้แต่น้อย
แต่ก็พยายามเรียนนะครับ เรียนไป ลอกไป ก็จบออกมาได้ด้วยเกรด 2.02 และยังติด 0 ฟิสิก จนถึงปัจจุบัน
ปัญหาคือผมเรียนแม่งไม่รู้เรื่องห่าอะไรเลยครับ อาจารย์สอนมานี่ไม่รู้เลย ให้โจทย์แบบอัตนัยมาทำไม่ได้เลย(ปรนัยก็ทำไม่ได้ครับดีที่ลอกเก่ง....)
ก็ยังไม่รู้นะว่า จบมาได้ไงแบบนั้น
แต่ผมเป็นเด็กกิจกรรมครับ ชอบมากพวกกีฬาสี เชียร์ ฯลฯ เอาว่าห้อง /7 โดดเรียนเพื่อกิจกรรมกันเลย ซึ่งไอ้พวกนี้แหละสอนให้ผมมีเพื่อนเยอะมาก
มีเพื่อนแทบทุกห้อง เข้าฝ่ายปกครองเป็นว่าเล่น(เข้าไปทำงานให้โรงเรียน)
กับการเรียนที่ห่วยแตก แต่เป็นที่รัก โปรดปรานจากอาจารย์และเพื่อนๆ มันเป็นอะไรที่แลกกัน แต่ วิทย์ คณิต จากหอวังก็ส่งผลให้ผมเกิดการหักปากกาเซียน
ในวันเอ็นทรานซ์ เพราะหลังจากสอบเอ็นทรานซ์รุ่นผมต้องเอาคะแนนจาก ม.ปลายมีเฉลี่ย(รุ่นแรกที่มีคิดคะแนนจากม.ปลายน่ะ) ซึ่งคณะที่ผมเลือก
ผมเลือกไปทางสายศิลป์แทบทั้งสิ้น เพราะผมไม่อยากเรียน คณิต เคมี ฟิสิก อีกแล้วในชาตินี้..........ผลการสอบเอ็นทรานซ์ ผมเอ็นไม่ติดครับ.....
ทุกคณะที่ผมเลือก คะแนนพุ่งพรวดหมด ทั้งๆที่คะแนนผมสามารถเลือกสถาปัตย์ลาดกระบังได้ แต่ผมไม่เลือกเพราะไม่อยากเรียนไอ้วิชาข้างต้น
แต่..ผมไม่เลือกครับ ผมไปเลือกเรียนพวกมนุษศาสตร์ต่างๆ นานา และไม่ติดครับ.....ช่วงที่ผลเอ็นทรานซ์ออกมาเชือดชีวิตผมตอนนั้น
นอนร้องไห้ครับ ในความอับยศของผลสอบที่ตัวเองทำได้ไม่ดี.....ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกครับ ไปแอบสอบวิทยาลัยราชฎัฐด้วย (ติด...นิเทศน์ศาสตร์แต่ไม่ได้เรียนนะ) เพราะคุณพ่อผม แม้ท่านจะเสียใจกับผลการเอ็นทรานซ์ของผม แต่ท่านกลับตะเวนไปมหาลัยเอกชนหลายแห่งมากเพื่อหาคณะให้ผม...
คณะที่เกี่ยวกับ ศิลปะ และ คอมพิวเตอร์ จนสุดท้าย มาเจอที่ คณะศิลปกรรม สาขาคอมพิวเตอร์อาร์ต ม.รังสิต พ่อถามแค่ว่า "อยากเรียนมั๊ย"
เอาสิครับและให้ผมสอบเข้าที่รังสิต ซึ่งผลสอบภาคทฤษฐีผมได้คะแนนสูงมาก และผลสอบภาคปฎิบัติได้ผ่านเกณฑ์มาตราฐานมาไม่เยอะ
ตอนสอบสัมภาษณ์ก็คุยกับ รองอธิการบดี คำถามแรกที่ท่านถามผมคือ...คิดอย่างไรที่จบสายวิทย์ศาสตร์ - คณิตศาสตร์มา แล้วมาเรียนศิลปกรรม
เป็นคำถามที่ผมก็ตอบไปตามตรงว่า ตลอดเวลาที่เรียนม.ปลายมานั้น "เพื่อน มิตรภาพ คำสอนอาจารย์" คือสิ่งที่ผมเก็บเกี่ยวมาได้ จากสายวิทย์ คณิต
นอกนั้น ผมไม่ได้อะไรจากมันเลย ผมตอบไปแบบนี้เลยครับ อาจารย์ที่สัมภาษณ์ผมก็ยิ้ม แล้วบอกว่า ครูดีใจกับเธอด้วย ที่ยังค้นพบตัวเองเจอ.....
แค่นั้นสำหรับการสอบสัมภาษณ์ครับ และกลับมาบ้าน เจอคุณพ่อสอบสัมภาษณ์ต่อว่า ถ้าส่งให้ผมเรียนที่นี่ ผมจะทำให้ได้ดีขนาดไหน?
คำถามนี้ อยู่ในใจผมตลอดเวลาที่ผมเรียนที่รังสิต ผมเพียงตอบกับคุณพ่อว่า ผมจะทำให้ดีที่สุด เท่าที่ความสามารถผมจะมี
และผมได้ทำได้จริงๆครับ เพราะเทอมแรกผมได้เกรดเฉลี่ย 3.40 และไม่เคยต่ำกว่านั้นมาโดยตลอดทั้ง 4 ปี จะประมาณ 3.5 3.6 3.7 3.9 และ 4.00
ผมได้มาครบครับ ไว้ผมจะเอาทรานสคริปมาแสกนให้ชม ว่าผมไม่ได้โม้......
เพราะได้เรียนในสิ่งที่ตัวตนผมเป็น ส่วนสายวิชาการนับว่าโชคดีมากที่ผมจบคณิต วิทย์จากหอวังมา พื้นฐานผมแน่นกว่าเพื่อนๆมาก ผมทำเกรดวิชาเหล่านี้
ได้ A หมด หรือแย่ที่สุด B ครับ มีภาษาอังกฤษที่ผมเคยได้ D+ เพราะยากมากครับ และไม่เก่งอังกฤษเลย เพราะไอ้ภาษาอังกฤษนี่แหละทำให้ผมพลาดเกียรตินิยมอันดับ 1 ครับ ตอบจบผมได้เีกียรตินิยมอันดับ 2 และรางวัลเหรียญทองของคณะครับ(ทั้งคณะมีแค่คนเดียวเท่าันั้นที่ได้รับ)
ช่วงเวลาที่เรียนรังสิต ทำให้ผมค้นพบตัวเองหลายอย่างมาก คือ ผมชอบศิลปะมาก แต่ตอนป.ปลายผมไม่ค่อยได้ใช้ความสามารถด้านนี้เลย เว้นการทำหนังสือรุ่น...หรือพวกงานเชียร์ อะไรเทือกๆนั้น แต่พออยู่ที่รังสิตผมให้ใช้ทุกอย่าง ผมสนุกกับมันมาก ผมชอบคอมพิวเตอร์ ผมเล่นพวก Photoshop อะไรเหล่านั้นตั้งแต่ ม.ปลาย ผมเรียนคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ ม.ต้น เรียนตั้งแต่วินโดว์ 3.1 น่ะครับ และใช้อินเตอร์เนตตั้งแต่ตอนนั้น....ผมคิดอย่างเดียวหลังจากต่อระบบอินเตอร์เนตที่บ้านสำเร็จ คือ...ดูเวปโป๊ครับ.....ไม่น่าเชื่อว่า ตอนนั้นบ้าคอมมาก ต่อคอมเอง ต่อเนตเอง ทำทุกอย่างเอง มีแรงพลักดันสูงมาก จากเวปโป๊....โอ๊ว
ที่รังสิต กิจวัตรของผมคือ มาเรียนตรงเวลา พักเที่ยงกินข้าวแล้วนั่งแซวหญิง บ่ายๆเรียน เย็นๆ ตีเทนนิสบ้าง แซวหญิงบ้าง อ่านหนังสือหรือ....ไม่เคยครับ
ทำแต่โปรเจค แต่...พวกวิชานอกคณะ ที่เป็นเหล่าวิชาการต่างๆ ผมคือคนทีเ่ปิดติวให้กับเพื่อนๆ ในสาขาคอมพิวเตอร์อาร์ต ครับ เปิดห้องที่คณะติวกันเลย
พอเทอมสอง เทอมสาม(ตอนนั้นรังสิตเรียน ไตรภาค) พอสาขาอื่นเริ่มรู้ว่า คอมอาร์ตมีเปิดติววิชานอกคณะ ก็มาเรียนด้วย ผมก็สอนก่อนสอบวันสองวัน จัดตารางเรียนกันเลยครับ ผมต้องสอบวิชาไหน ผมจะทำสรุปไว้ให้หมดทุกอย่างที่เรียน แล้วเพื่อนๆจะเอาไปซีร๊อคแจกกันก่อนจะติวครับ ผมทำแบบนั้น ข้อดีคือ
ผมได้ทบทวนตัวเอง เพื่อนๆได้ข้อมูลไปสอบ ผมได้เพื่อนเพิ่ม เพื่อนรักมาก ก่อนสอบนี่โทรหาผมก่อนใครเลย เพื่อเช็คตารางติว ผมทำแบบนั้นตั้งแต่ปีหนึ่ง ปีสอง เพราะทั้งคณะจะเรียนวิชานอกคล้ายๆกัน ส่วนวิชาในคณะพวกประวัติศาสตร์ศิลปะ ผมก็ติวเพื่อนๆ เรียกว่า ปิดห้องสโลปติวกันเลยครับ ช่วงนั้นสนุกมาก
ทำเพราะอยากทำจริงๆ อยากให้เพื่อนๆ พอออกจากห้องสอบมาแล้วจะพูดว่า ไอ้เห... ถ้าไม่ได้มึงนะ กูตกแน่ ไม่ก็ แม่งเหมือนที่มึงสรุปให้เลยโว๊ยยยย
ผมจะยิ้ม และหัวเราะกับเพื่อนๆเสมอหลังออกจากห้องสอบ เพราะผมภูมิใจที่มีส่วนทำให้เพื่อนๆ สอบผ่าน ได้เกรดดี
ผมภูมิใจ พอๆกับคุณพ่อผม ที่เห็นผมเรียนได้ดี และรักการเรียนครับ ทำให้คุณพ่อผมมีส่วนให้รถผมขับไปมหาลัยด้วยนะ
ปีหนึ่งเทอม 1 ผมนั่งรถเมล์ไปเรียนครับ....พอเทอมสองเอารถตู้ขนของที่บ้านไปเรียน...เทอม 3 AE111
ปีสองเทอม 1 จาก AE 111 เป็น โคโรน่าเอ็กซิเออร์ 1.6MT อยู่กับผมอีกนานจนกว่าจะเปลี่ยนตอน ปีสี่หรือไงเนี่ยแหละ
หลังจากจบการศึกษา คุณพ่อเป็นคนเดียวที่มาถ่ายรูปงานรับปริญญาผม (ตอนนั้นเรียนโทต่อที่รังสิตเลย) หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน คุณพ่อผมหัวใจวายเฉียบพลัน
และเป็นเจ้าชายนิทรา นับจากนั้นไปอีก 3 ปีครับ
ช่วงเวลาันั้นผมทำอะไรไม่ถูก แกว่งไปพักหนึ่ง เพราะกิจการที่บ้านที่พ่อดูแล ไม่มีคนดูแล แม่ผมก็ต้องคุมโรงงานเซรามิค ผมตัดสินใจดรอปคอร์สที่เรียนโท แล้วกลับมาช่วยกิจการที่บ้านแทนคุณพ่อในทุกๆอย่าง ตอนนั้น ผมดรอปจนหมดสถานภาพนักศึกษาไปเลย เอาว่า คณะบดีให้อาจารย์หัวหน้าภาคคอมอาร์ตฯ
โทรมาตามเลยละกันครับ....เพราะผมเป็น Top ของศิลปกรรมในรุ่น ถ้าจบโท ยังไงทางมหาลัยก็จะรับไปเป็นอาจารย์แน่นอน เพราะคณะบดีเองเคยแอบมาเห็น
ผมตอนติวให้เพื่อนๆด้วยครับ
ผมชอบการสอน ชอบการเป็นครู ชอบถ่ายทอด
แต่ชีวิตมันก็ช่างพลิกพลัน หลังจากที่ต้องดรอปคอร์สนั้น พี่ผมในเนตดีไซน์ ชวนผมไปร่วมงานด้วย ก็เป็นอาจารย์สอนคอร์สกราฟฟิกที่เนตดีไซน์อยู่สองปีเห็นจะได้ครับ เป็นงานที่ผมชอบผมรักเลย ได้ถ่ายทอดความรู้เรื่องศิลปะ ได้สอน นักเรียนน่ารักมาก สวยๆเพียบเลย เป็นอีกช่วงชีวิตที่แฮปปี้กับมันกัน
ข้อสำคัญ ผมไม่ต้องทำงาน 7 วัน คือคอร์สมันเปิดตามเดือน อาจจะ 10 วันแล้วเบรกไปสามสี่วัน แล้วต่อ หรือ จ-พ-ศ หรือเสาร์อาทิตย์แล้วแต่ แต่โดยรวม
เดือนๆ หนึ่งทำงานประมาณ 20 วัน ผมทั้งได้ค่าตอบแทนที่ดี และสนุกกับมัน ทั้งนี้ผมก็ยังมีเวลาช่วยเหลือกิจการที่บ้านได้อีกด้วย
คนเรามักมักจะมีจุดหักเหที่อาจจะหวนกลับไปไม่ได้อยู่บ่อยๆ วันนั้นคือวันที่ผมสอนอยู่ครับ แล้วพักเที่ยง ช่วงเวลาที่พักนั้น มีโทรศัพท์สายหนึ่งดังเข้ามา
เป็นน้องสาวผมโทรมาบอกว่า พ่อเสียแล้ว(หลังจากนอนเป็นเจ้าชายนิทรามาสามปี) ตอนนั้นกำลังเก็บของในห้องเรียนอยู่(เพิ่งเลิกเรียน) ผมร้องไห้เลย
พอออกมาพบ PR สาวสายด้านหน้า ทุกคนงงหมดว่าทำไมผมร้องไห้ ผมก็ตอบไปตามนั้น PR เคลียร์ทุกอย่างให้ผม ทั้งตารางเรียน ทั้งแจ้งผู้ใหญ่ ฯลฯ
และผมดิ่งกลับบ้านเพื่อมาดูพ่อผม ตอนนั้นใจหนึ่งก็เสียใจมาก อีกใจก็คิดว่าท่านไปสบายแล้ว
หลังจากผ่านงานศพคุณพ่อ ผมก็ไม่ได้กลับไปสอนอีกเลย เพราะคุณปู่คุณย่า ต้องให้การผมกลับมาช่วยกิจการที่บ้านอย่างเต็มตัว ซึ่งผมก็ปฎิเสธไม่ได้
เพราะผมไม่ทำก็ไม่มีใครทำ น้องๆก็ยังเรียนไม่จบ ตอนนั้นผมต้องกลับมา บริหารบริษัทเซรามิค ฮัท และ พูนศรีอพาร์ทเม้นต์ ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน
ซึ่งโดยภาพรวมผมก็ทำได้ดี จนถึงทุกวันนี้
ในส่วนของบริษัทตอนนี้ผมยกให้น้องสาวคนเล็กดูแลอยู่ และกิจการอพาร์ทเม้นต์(ที่เน้นแต่รับ นศ.สาวเป็นแนวทางปฎิบัติ) ของผม ก็เจริญเติบโตแทบจะเรียกว่า
เต็มคาปาซิตี้ของมันแล้ว ผมก็แฮปปี้ครับ ชีวิตมีความสุขดี มีการงานที่มั่นคง มีการเงินที่มั่นคั่ง ไม่อดมื้ออิ่มสามมื้อเหมือนเคย
มี "เวลา" ที่จะทำสิ่งที่อยากทำได้ทุกวัน เพราะกิจการหอพักมันไม่จำเป็นต้องดูทุกวันเหมือนอาชีพอื่น ซึ่งมันก็ดีอย่าง ตอนนี้ผมอายุ 29 จะ 30 ในกลางเดือนหน้า
ผมรู้สึกว่า ผมประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว (ถ้ากล้วยอยู่ข้างๆ มันต้องบอกว่า "กูดีใจกับมึงด้วย") และตอนนี้เองที่เรื่องรถยนต์มามีอิทธิพลกับผมมากขึ้น
เพราะมีเวลาที่จะสนุกกับมันมากขึ้น......
ที่เล่ามายืดยาวนี่จะบอกว่า ในที่สุดผมก็ค้นพบตัวเองแล้ว ว่า ผมมีความสุขกับ นศ.สาวกระโปรงสั้นๆ เสื้อฟิตๆรัดรูป ที่ต้องเดินผ่านหน้าบ้านผมทุ๊กวัน....ซี๊ดดดด
แล้วน้องเจ้าของกระทู้หล่ะ ค้นพบความสุขในชีวิตแล้วหรือยัง ? รีบๆค้นให้พบนะครับ อย่าปล่อยให้อายุ 50 แล้วค่อยมาย้อนคิด มันช้าไปครับเพราะเวลามันซื้อกลับมาไม่ได้ครับ