ผู้เขียน หัวข้อ: ถ้าใช้รถยุโรปแล้วจะกลับไปใช้รถญี่ปุ่นไม่ได้อีกจริงเหรอครับ  (อ่าน 55648 ครั้ง)

ออฟไลน์ The Mechanics of Emotions

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,682
ในความเห็นของผม ขึ้นกับคนขับแต่ละคนเลยว่า มีความคิดกับการใช้รถอย่างไร บางคนคิดแค่ว่ารถคือสิ่งที่นำเราจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งเท่านั้น คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเลือกใช้รถตลาด ที่ไม่จุกจิก ราคาไม่แพงมาก เพื่อลดความเสี่ยงด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพและความเชื่อถือได้ของตัวรถ คุณภาพศูนย์บริการ ค่าบำรุงรักษา ราคาขายต่อ เน้นแค่ว่าการใช้รถอย่ามาทำให้เขาปวดหัวก็แล้วกัน ผมเชื่อว่าคนกลุ่มนี้สามารถกลับไปใช้รถตลาดได้อย่างไม่มีปัญหา

ในทางกลับกัน คนขับที่มองว่ารถเป็นยิ่งกว่ายานพาหนะ คนกลุ่มนี้มักคิดว่าการขับรถคือความสุข ความสนุก fun to drive หรือคิดว่ารถคือบ้านบนถนน แค่ขับชิลๆฟังเพลงเพราะๆก็มีความสุขคลายเครียดสมองปลอดโปร่ง คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะไม่กลับไปใช้รถตลาด ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นถ้าได้ใช้รถที่ตัวเองชอบ ขับแล้วฟินทุกครั้ง ซึ่งแน่นอนต้องแลกกับราคาค่าตัวค่าบำรุงรักษาที่สูงกว่า คนกลุ่มนี้จะมีความไวหรือ sensitive ต่อทุกๆอาการหรือการตอบสนองของรถ แค่สิ่งที่แตกต่างกัน ถึงอาจจะไม่มากสำหรับคนกลุ่มด้านบน แต่คนกลุ่มหลังถึงกลับหมดความฟินในการขับรถทีเดียว อารมณ์เทียบได้ประมาณการขับรถไปทำงานเครียดๆรถติดๆใน กทม กับการขับรถเที่ยวทะเลภูเขาชิลๆ บอกเป็นนัยๆสำหรับคนกลุ่มนี้คือ คุณภาพรอบด้านของ D-seg ตัว Top ยังไม่ตอบโจทย์การใช้งานของเขาครับ

ผมเป็นคนกลุ่มหลังเลยครับ รถเป็นมากกว่ายานพาหนะ เหมือนของรักของหวงชิ้นนึงเลยครับ
2010 BMW 325i M Sport
2016 Mazda CX-5 2.0S

ออฟไลน์ The Mechanics of Emotions

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,682
ถ้าพูดถึงยุค E9x ผมว่าช่วงล่าง BMW ซีรี่ย์ 3 ตอนนั้นเรียกว่าแทบจะไม่มีคู่แข่งเทียบได้ครับ ฟีลลิ่งอาจจะไม่ถึงกับหนักแน่นมากแต่ถ้าได้ลองความเร็วสูงๆหรือโค้งเยอะๆจะรู้เลยว่ารถเซ็ทมาเยี่ยมเลยทุกอย่างทำงานสมานกันหมด E90 ถ้าช่วงล่างสมบูรณ์ขับทางตรงไกลๆอาจจะไม่แตกต่างจากรถใหม่ๆแต่ถ้าลองไปขับต่างจังหวัดเล่นโค้งเยอะๆจะรู้เลยครับว่ารถเซ็ทมาดีขนาดไหน ผมเคยมีคันนึงยังประทับใจอยู่เลยและชอบมากกว่า F30 328i ที่เคยมีหลังจากนั้น

ผมพึ่งได้มาเองครับ วิ่งแค่ทางตรงเร็วๆ แต่พวกสาดโค้งหนักยังไม่มีโอกาสครับ ถ้าได้ลองโค้งเยอะอาจรู้ถึงความต่างกว่านี้ครับ
2010 BMW 325i M Sport
2016 Mazda CX-5 2.0S

ออฟไลน์ No Trespassing

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,616
    • อีเมล์
ที่บ้านเคยใช้ 940GLE เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ+O/D ปุ่มกดตรงหัวเกียร์
ยุคนั้นรถยุโรปขับไปไหน มันโก้ครับ ใครๆก็มอง การทรงตัวย้วยๆหน่อย อัตราเร่งไปเรื่อยๆ แต่ความหนักแน่นตัวรถดีมาก

ที่ทนไม่ไหวค่าซ่อม แพงจับจิต ระบบไฟฟ้ารวนสะบัด สวิตช์ไฟหน้าเปิดไม่ติดต้องรี้อทั้งระบบ ทั้งๆที่ไม่เคยไปยุ่งอะไรกับมัน
เกียร์ O/D ก้ไม่ค่อยยอมจะเข้า ต้องทนวิ่งเกียร์ 4 เป็นเกือบร้อยโล กว่าจะยอมเข้าเกียร์ O/D ได้
แร็คและช่วงล่างหน้าอ่อนแอมาก ใช้ไม่นานก็หลวม โช้คอัพคู่หน้าของ Sach แพงมาก เรียกว่าเข้าศูนย์ทีนึงตัวเบาหวิว (เข้าเสร็จเที่ยว NASA ต่อ ฮ่าๆ)

รวมถึงการกินน้ำมันจากเครื่อง B230F ที่ซดเอาเรื่อง ขับย่องให้ตายยังไงก็ไม่เกิน 12 โล/ลิตร
ขนาดเติมน้ำมัน 92 ก็ยังกิน (สเปคให้เติม 97 ไม่ไหวหรอกครับ แพงเกิน)

ทนใช้ไปอีกนิดนึงอัลติสหน้าหมูเปิดตัว ขายวอลโว่ที้งครับ กลับไปซี้อรถญี่ปุ่นตามเดิม
ซึ่งพอใช้แล้วก็รู้สึกว่ามันเบาๆ ไม่แน่นหนาเหมือน 940 ก็จริง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการกินน้ำมัน และ ค่าบำรุงรักาษาที่เป็นมิตร
เลยขับรถญี่ปุ่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เพื่อนที่รู้จักเป็นกัปตันค่ายสิงโตแถวดอนเมือง (ย้ายมาจากบางกอก) เพิ่งออกวอลโว่ XC60T8 407 แรงม้า เพราะตัวเค้าเองก็เปลื่ยนจากรถญี่ปุ่นมา
รอดูการใช้งานไปพักนึงก่อนครับว่าจะเป็นยังไง ถ้าใช้ดีผมอาจจะกลับไปค่ายยุโรปอีกรอบนึงก็ได้ครับ

ออฟไลน์ The Mechanics of Emotions

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,682
ผมได้ยินหลายๆ คนบอกว่าถ้าได้ใช้รถยุโรปแล้วจะไม่ยอมไปขับรถญี่ปุ่นอีกเลยนี่มันจริงไหมครับ หลายๆ ท่านในนี้น่าจะได้สัมผัสทั้งรถญี่ปุ่นและรถยุโรปมากกว่าผมเยอะ มันต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมเองใช้ CX-5 2.0 ตัวเก่าอยู่ และพึ่งซื้อ BMW E90 325i M Sport ปี 10 เข้ามาเพิ่ม ส่วนตัวผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันขนาดนั้นนะ ที่ต่างกันก็พวก option ที่ BMW มีมาให้มากกว่า แต่บางอย่าง BMW ก็ไม่มีเหมือน Mazda โดยการขับขี่ผมว่าความมั่นคงแทบไม่ต่างกัน ที่ต่างกันคือความแข็งของช่วงล่าง จากที่เคยคิด CX-5 ก็ช่วงล่างแข็งพอประมาณแล้ว พอไปขับ BMW นี่คนละเรื่องเลย เจอรอยต่อถนน หรือถนนเป็นคลื่นพ่อแม่นั่งทีบ่นอุบเลยครับ มันสะเทือนมาก (ช่วงล่าง M Sport) กลายเป็นว่า CX-5 นั่งนุ่มซับแรงได้ดีกว่าเยอะ น้ำหนักพวงมาลัยกลายเป็นว่า CX-5 เบามาก คล่องตัวมากในเมือง แต่ E90 พวงมาลัยมันหนักเลยทำให้ไม่รู้สึกคล่องตัวเท่าไหร่ เรื่องเครื่องยนต์ 325i เดินเบานิ่งกว่า CX-5 แต่ตอนออกตัว BMW กลับวิ่งไม่ค่อยออกในเกียร์ 1 จะไปมีกำลังหลังเกียร์ 2 เป็นต้นไป และการเซ็ตคันเร่งไม่ฉับไวเหมือน CX-5 สามารถใช้เท้าคุมให้ลด 1 เกียร์ 2 เกียร์ได้ง่ายกว่า แต่ BMW กดไปนิดนึงยังไม่ค่อยตอบสนอง ถ้ากดลึกไปหน่อยก็รอบก็จะโดดขึ้นเยอะไป ทำให้มันแรงเกินไปหน่อย แต่อัตราเร่งต่างกันเยอะครับ BMW นี่เข็มความเร็วกวาดขึ้นง่ายๆ เลย อีกอย่างนึงที่ต่างกันชัดคือการเก็บเสียง BMW เงียบกว่าเยอะ เสียงลมวิ่ง 140 ถึงจะมีเข้ามาเบาๆ แต่ CX-5 วิ่ง 110 นี่ก็มีฟิ้วๆ ละครับ 140 นี่หูตึงเลยทีเดียว

สำหรับผมมันก็ดีกันคนละด้านนะ แต่เอาตรงๆ ความนิ่งของช่วงล่างไม่ค่อยต่างกันมาก แต่ถ้าตอนผมใช้ altis หน้าหมูแล้วเปลี่ยนมา CX-5 มันต่างกันคนละโลกเลย แต่พอ CX-5 ไป BMW ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ สำหรับผมนะ ท่านสมาชิกน่าจะเคยผ่านรถมามากกว่าผมคิดว่ายังไงกันบ้างครับ

แล้วถ้าผมบอกว่า ลองถ้าพี่ได้ขับมาสด้าแล้ว จะไม่กลับไปขับโตโยต้าอีก พี่คิดว่ายังไงอ่ะครับ

คืออารมณ์มันประมาณพี่เปลี่ยนจากอัลติสหน้าหมูมาเป็น CX-5 แล้วพี่แบบโห.. มันคนละโลกกันเลย
เพราะโตโยต้าในภาพจำของพี่มันคือแบบหน้าหมู

แต่ถ้าพี่ไปพูดกับคนอื่น เขาก็อาจจะบอกว่า เออ C-HR กับ CX-3 มันก็ไม่ถึงกับต่างกันคนละโลกนะ
อะไรแบบนี้อ่ะครับ

เข้าใจตรงนี้ครับ แต่ที่ผมนำมาเปรียบเทียบคือรถที่ได้ใช้เองทั้งหมดอ่ะครับ ไม่ได้ตั้งใจจะเอารถราคา 2-3 ล้านเทียบรถบ้านหรอกครับ แน่นอนว่าราคาแพงย่อมดีกว่า แค่อยากเล่าให้ฟังว่าต่างจากคันเก่าที่เคยใช้ยังไงบ้าง แต่ตอนนั้น altis ช่วงล่างมันแย่มากครับ จนมาลองมาสด้าถึงเข้าใจว่าช่วงล่างดีๆ เป็นยังไง แต่ตอนนี้ tnga ก็ไม่ธรรมดาแล้วครับ ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะมากๆ ได้ทั้งนุ่มและหนึบ
2010 BMW 325i M Sport
2016 Mazda CX-5 2.0S

ออฟไลน์ The Mechanics of Emotions

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,682
ที่บ้านเคยใช้ 940GLE เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ+O/D ปุ่มกดตรงหัวเกียร์
ยุคนั้นรถยุโรปขับไปไหน มันโก้ครับ ใครๆก็มอง การทรงตัวย้วยๆหน่อย อัตราเร่งไปเรื่อยๆ แต่ความหนักแน่นตัวรถดีมาก

ที่ทนไม่ไหวค่าซ่อม แพงจับจิต ระบบไฟฟ้ารวนสะบัด สวิตช์ไฟหน้าเปิดไม่ติดต้องรี้อทั้งระบบ ทั้งๆที่ไม่เคยไปยุ่งอะไรกับมัน
เกียร์ O/D ก้ไม่ค่อยยอมจะเข้า ต้องทนวิ่งเกียร์ 4 เป็นเกือบร้อยโล กว่าจะยอมเข้าเกียร์ O/D ได้
แร็คและช่วงล่างหน้าอ่อนแอมาก ใช้ไม่นานก็หลวม โช้คอัพคู่หน้าของ Sach แพงมาก เรียกว่าเข้าศูนย์ทีนึงตัวเบาหวิว (เข้าเสร็จเที่ยว NASA ต่อ ฮ่าๆ)

รวมถึงการกินน้ำมันจากเครื่อง B230F ที่ซดเอาเรื่อง ขับย่องให้ตายยังไงก็ไม่เกิน 12 โล/ลิตร
ขนาดเติมน้ำมัน 92 ก็ยังกิน (สเปคให้เติม 97 ไม่ไหวหรอกครับ แพงเกิน)

ทนใช้ไปอีกนิดนึงอัลติสหน้าหมูเปิดตัว ขายวอลโว่ที้งครับ กลับไปซี้อรถญี่ปุ่นตามเดิม
ซึ่งพอใช้แล้วก็รู้สึกว่ามันเบาๆ ไม่แน่นหนาเหมือน 940 ก็จริง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการกินน้ำมัน และ ค่าบำรุงรักาษาที่เป็นมิตร
เลยขับรถญี่ปุ่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เพื่อนที่รู้จักเป็นกัปตันค่ายสิงโตแถวดอนเมือง (ย้ายมาจากบางกอก) เพิ่งออกวอลโว่ XC60T8 407 แรงม้า เพราะตัวเค้าเองก็เปลื่ยนจากรถญี่ปุ่นมา
รอดูการใช้งานไปพักนึงก่อนครับว่าจะเป็นยังไง ถ้าใช้ดีผมอาจจะกลับไปค่ายยุโรปอีกรอบนึงก็ได้ครับ

เข้าใจความรู้สึกเลยครับ ตอนผมใช้ altis ก็โล่งใจแบบมากๆ ไม่เคยกังวลเลยว่ารถจะเสียที่ไหน ค่าดูแลก็ไม่แพง เสียตรงมันขับไม่ดี ตอนใช้มาสด้าก็ต้องศึกษาข้อมูลมากขึ้น เช็คนั่นนี่บ่อยขึ้น ยิ่งพอมี BMW เพิ่มเหมือนโรคจิตเลยครับ ดูนั่นดูนี่ หาอะไหล่ หาอู่ ดู youtube DIY แทนที่ชีวิตจะง่ายขึ้นกลับเยอะเรื่องขึ้น แต่ได้มองรถก็มีความสุขแล้วครับ
2010 BMW 325i M Sport
2016 Mazda CX-5 2.0S

ออฟไลน์ Weetting

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,967
  • ช่วงล่าง+เครื่องยนต์
ไม่เคยมียุโรปในบ้านเป็นจริงเป็นจังนะครับ​ เคยเมื่อนานมาแล้วคือ​ freelancer.ระยะเวลาสั้นและผมเองยังขับรถไม่ได้คล่องซึ่งให้เทียบกับที่บ้านเคยมีคือ​ Ford escape ผมว่า​ escape โดยรวมมันดีกว่า​ ​ มันคล่องกว่าหนึบกว่า​ แพ้แค่เครื่องยนต์กับเกียร์​  แต่เทคโนโลยีก็ห่างกันสมควร
 พอเปลี่ยนมา Ford ก็ไม่อยากกลับไปใช้ land roverอีกขยาดค่าซ่อม

แต่จับยุโรป​ได้บ่อยๆ​ คือ​ E90 ข​องเพื่อน​กับ​focus mk2ของที่บ้าน​  bm เข้าโค้งได้เท่าไหร่กัสก็พาไปได้เท่านั้น​ อย่างโค้งขึ้นทางด่วนด่านสุขาภิบาล​5ไปวงแหวน
เอา​ E90เข้าได้​ 95​ กัสจังก็ได้เท่ากัน​ แต่มันคงไปแตกต่างกันตรงความสุนทรีย์​ e90เหมือนเพื่อ​นมากกว่ามีความรู้สึกเป็นส่วนนึงของรถมากกว่า​ซึ่งนิดเดียวจริง

(ที่ยอมเลยคือ  เบรค​ bmwดีกว่า)​

ถ้าถามผมระหว่างถ้าให้ผมออกเงินซื้อ​E90​ 320d กับ Focus Tdci.ผมจิ้มโฟกัสอย่างไม่ลังเล เพราะส่วนต่างมันไม่ได้ตอบโจทย์ผมมากขนาดนั้น​ ผมไม่เอารถไปอวดใคร​ ไม่มีต้องจอดแล้วสาวมอง

อ้อลืม​ ฟอร์ดนี่เมกันไม่รู้เอามาเทียบได้ไหม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 16, 2020, 15:24:08 โดย Weetting »
THE Manual Gearbox Preservation Society
Drive diesel until last day

ออฟไลน์ Myprecious

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 162
ผมได้ยินหลายๆ คนบอกว่าถ้าได้ใช้รถยุโรปแล้วจะไม่ยอมไปขับรถญี่ปุ่นอีกเลยนี่มันจริงไหมครับ หลายๆ ท่านในนี้น่าจะได้สัมผัสทั้งรถญี่ปุ่นและรถยุโรปมากกว่าผมเยอะ มันต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมเองใช้ CX-5 2.0 ตัวเก่าอยู่ และพึ่งซื้อ BMW E90 325i M Sport ปี 10 เข้ามาเพิ่ม ส่วนตัวผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันขนาดนั้นนะ ที่ต่างกันก็พวก option ที่ BMW มีมาให้มากกว่า แต่บางอย่าง BMW ก็ไม่มีเหมือน Mazda โดยการขับขี่ผมว่าความมั่นคงแทบไม่ต่างกัน ที่ต่างกันคือความแข็งของช่วงล่าง จากที่เคยคิด CX-5 ก็ช่วงล่างแข็งพอประมาณแล้ว พอไปขับ BMW นี่คนละเรื่องเลย เจอรอยต่อถนน หรือถนนเป็นคลื่นพ่อแม่นั่งทีบ่นอุบเลยครับ มันสะเทือนมาก (ช่วงล่าง M Sport) กลายเป็นว่า CX-5 นั่งนุ่มซับแรงได้ดีกว่าเยอะ น้ำหนักพวงมาลัยกลายเป็นว่า CX-5 เบามาก คล่องตัวมากในเมือง แต่ E90 พวงมาลัยมันหนักเลยทำให้ไม่รู้สึกคล่องตัวเท่าไหร่ เรื่องเครื่องยนต์ 325i เดินเบานิ่งกว่า CX-5 แต่ตอนออกตัว BMW กลับวิ่งไม่ค่อยออกในเกียร์ 1 จะไปมีกำลังหลังเกียร์ 2 เป็นต้นไป และการเซ็ตคันเร่งไม่ฉับไวเหมือน CX-5 สามารถใช้เท้าคุมให้ลด 1 เกียร์ 2 เกียร์ได้ง่ายกว่า แต่ BMW กดไปนิดนึงยังไม่ค่อยตอบสนอง ถ้ากดลึกไปหน่อยก็รอบก็จะโดดขึ้นเยอะไป ทำให้มันแรงเกินไปหน่อย แต่อัตราเร่งต่างกันเยอะครับ BMW นี่เข็มความเร็วกวาดขึ้นง่ายๆ เลย อีกอย่างนึงที่ต่างกันชัดคือการเก็บเสียง BMW เงียบกว่าเยอะ เสียงลมวิ่ง 140 ถึงจะมีเข้ามาเบาๆ แต่ CX-5 วิ่ง 110 นี่ก็มีฟิ้วๆ ละครับ 140 นี่หูตึงเลยทีเดียว

สำหรับผมมันก็ดีกันคนละด้านนะ แต่เอาตรงๆ ความนิ่งของช่วงล่างไม่ค่อยต่างกันมาก แต่ถ้าตอนผมใช้ altis หน้าหมูแล้วเปลี่ยนมา CX-5 มันต่างกันคนละโลกเลย แต่พอ CX-5 ไป BMW ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ สำหรับผมนะ ท่านสมาชิกน่าจะเคยผ่านรถมามากกว่าผมคิดว่ายังไงกันบ้างครับ

        ปัญหาคือรถที่คุณซื้อมาคือ BMW E90 325i M Sport ปี 10 คุณเลยไม่ค่อยเห็นความแตกต่าง  กลับกัน  ถ้าคุณซื้อ BMW 520D ป้ายแดง  อารมณ์  ความรู้สึกของตัวคุณเองและคนรอบข้างจะแตกต่างจากตอนที่ใช้ Mazda อย่างชัดเจนจนทำให้คนส่วนใหญ่ที่เคยใช้ Benz หรือ BMW ไม่ยอมกลับไปใช้รถญี่ปุ่นอีก  อารมณ์คงเหมือนคนที่เคยใช้ของหรูๆแล้วไม่อยากใช้ของธรรมดาๆอีก  อีกอย่างก็คือนที่ซื้อ Benz หรือ BMW ป้ายแดงราคา 4-5 ล้านบาทได้  แสดงว่ามีเงินเหลือๆ  เขาจะห่วงใยชีวิตและความปลอดภัย  ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นจะมากหรือจะน้อยก็มีผลต่อการตัดสินใจเพราะเขาไม่มีปัญหาเรื่องเงินให้ต้องกังวล

เข้าใจครับว่ารถต่างกันเกือบ 10  ปี ถ้าในเรื่องของความนิ่งผมว่าไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าเรื่องดีไซน์ วัสดุ ความหรูหรา การเก็บเสียง อัตราเร่งที่ต่างกันชัดเจน ที่ผมจะสื่อคือเรื่องช่วงล่างมันไม่ได้ต่างกันแบบที่รู้สึกได้ เช่น altis หน้าหมู -> CX-5 อันนี้คือต่างกันแบบรู้สึกได้ชัดเจน แต่ CX-5 -> E90 รู้สึกคือนิ่งเหมือนกัน แต่บีเอ็มสะเทือนกว่ากันเยอะมาก ช่วงล่างแน่นแต่เข็ง (แก้มเตี้ย+ช่วงล่างสปอร์ต) แต่ที่รู้สึกชัดๆ คือว่ารถเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีอะไรที่เป็นกิมมิคเล็กๆน้อยๆ เช่น ไฟส่องที่มือจับประตู ไฟ cornering light กระจกก้มลงเมื่อเข้า R ไฟส่องเท้า ม่านหลัง ไฟหน้าเลี้ยวตาม welcome light และอีกหลายๆ อย่างที่ทำให้ผมประทับใจว่า เห้ย รถ 10 ปีที่แล้วยังมีขนาดนี้ ถ้าป้ายแดงไม่ต้องพูดถึง เล่นกันไม่หมดแน่ๆ

ถามว่าต่างไหม มันต่างกันเยอะอยู่แหละครับ แค่ความนิ่งของช่วงล่างผมว่ารถญี่ปุ่นก็ไม่ได้แย่อะไรถ้าเทียบกับ BMW ปี 10 นะครับ

ที่ดูช่วงล่างไม่ต่างกันมากเพราะเอารถเก๋งมาเทียบกับSuv ด้วยครับ น้ำหนักตัวcx5มากกว่าe90เยอะ เหมือนที่คุณเคยบอกว่าขับAltisแล้วมาขับcx5 เห็นความแตกต่างน่ะครับ เพราะงั้นถ้าคุณเอา e90มาเทียบกับAltisก็จะเห็นความต่างเหมือนกัน ยิ่งที่จริงe90ขายในไทยปี2005ถือว่าเป็นgenเดียวกันกับAltisหน้าหมูด้วยซ้ำ เพราะถึงคุณจะซื้อรถปี10มาเป็นโฉมlciแล้วยังไงก็ยังตัวถังbodyครับ

ถ้าได้ลอง x3 หรือx5 มาเทียบกับ cx5น่าจะเห็นความต่างได้ชัดเจนกว่าครับ

ส่วนเรื่องใช้รถยุโรปแล้วจะกลับมาใช้รถญี่ปุ่นอีกได้มั้ยผมว่าแล้วแต่คนไปครับ ความชอบต่างกัน สถานะการเงินต่างกัน และการตัดสินใจถึงคนคนเดียวกันแต่ละช่วงอายุก็ต่างกันครับ

ออฟไลน์ Carrera

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,340
โตมากับรถยุโรป แต่ไม่อิน มาใช้ญี่ปุ่นสักพัก แรกๆห่วยจริง  อย่าง camry acv40 นี่เทียบ BMW Series 5 คันเดิมไม่ได้เลย  แต่นั่นคือเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว 

จนมาเป็น acv70 รถญี่ปุ่นทำได้ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ยอมรับว่า TNGA ที่ทำช่วงล่างใหม่ของพี่โต ทำเอาผมชอบช่วงล่างมันมากกว่า F10,E90 ซะอีก ในตัว Camry Hybrid (จากที่ขับเทียบทั้งสองคัน)

นุ่ม แน่น หนึบ แต่ไม่ย้วย (หลังเปลี่ยนใส่ขอบ 18 trd)  ฟีลลิ่งพวงมาลัยต่างๆ ผมว่านึกถึง f10ที่กระชับขึ้นคล่องขึ้นไม่อุ้ยอาย และเบากว่าหน่อย

วิ่งเร็วๆมากๆจริงๆ  ถึงจะไม่รู้สึกว่ารถหนักขนาด f10 แต่ก็นิ่งๆชิลๆ และกล้าโยกมันเล่นมากกว่า (มันโยนตัวน้อยกว่าเวลาโยก) คือเซตจากโรงงานมาจบเลยโดยไม่ง้อช่วงล่างไฟฟ้าสารพัดโหมด การย้ายแบตมาในรถนี่เห็นผลมากๆว่าท้ายนิ่ง แน่น เพราะ CG ที่ต่ำลงมาก และการกระจายน้ำหนักที่ทำได้ 50 50 แบบ BMW ด้วย (การปรับตำแหน่งวางเครื่องวางเข้ามากลางตัวรถมากขึ้นทำให้บาลานซ์รถนี่ดีขึ้นจากตัวเก่าๆแบบก้าวกระโดดเลย)

ถ้าอัพเกรดการเก็บเสียงอีกนิด ผมว่าเท่ากันหรือดีกว่าไปละ

ไม่ต้องเทียบขนาด camry ก็ได้ Altis เจนที่แล้ว ถ้าไม่ซนไม่ซิ่งสุดๆ ขับปกติ ผมก็หาความจำเป็นไปเล่นรถยุโรปไม่เจอนะ วัสดุภายในก็พอกัน แต่ช่วงล่างความสบายในการเดินทาง ขนาด Altis ยังนั่งสบายผ่อนคลายกว่า mini countryman,e90 ซะอีกครับ

บางคนขับกระบะหรือ ppv อัพเกรด ไปขับเทียบ e class ผมก็ไม่แปลกใจ ทำไมถึงบอกยุโรปขับดีกว่า จริงๆไม่ใช่ว่าขับดีกว่าเพราะยุโรปญี่ปุ่น แต่เพราะ sedan มันยังไงก็ช่วงล่างดีกว่า SUV อยู่เพราะ CG ต่ำ กระจายน้ำหนักดีกว่า

แต่การดูแลญี่ปุ่นนี่กินขาดยาวๆครับ ขับอย่างเดียวอย่าคิดเยอะ ขับๆไป ก้ไม่พัง เป็นคู่หูที่ไว้ใจได้มากๆ ช่วงล่างผมว่าตามทันแล้ว แต่ขาด tech จากรถยุโรปนิดนึง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 17, 2020, 01:50:55 โดย Butterzai »

ออฟไลน์ Booboo

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 64
สมัยหนุ่มโสดยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน ใช้แต่รถยุโรปเอาไว้รับส่งสาวๆ
ตอนนี้รายได้มากขึ้นกว่าตอนยังโสดมาก แต่พอแต่งงานแล้วใช้แต่รถญี่ปุ่น

พอมีครอบครัวแล้วเก็บเงินไว้ดีกว่า ใช้ในกรุงเทพส่วนใหญ่ เน้นขับง่ายแอร์เย็นไม่จุกจิกพอแล้ว
ตอนนี้ใช้camryคันเดิมมา10ปีแล้วมันยังใช้ได้ดีไม่มีปัญหายังไม่คิดจะเปลี่ยน แค่ไปทำงานรับส่งลูกไปเรียนไม่รู้จะเปลี่ยนทำไม
เครื่อง2.4ทนถึกไม่ต้องดูแลมาก เสียอย่างเดียวกินน้ำมันมากไปหน่อย

ออฟไลน์ XMSL

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 830
ที่รถยุโรปแพงกว่าหรือญี่ปุ่นยังสู้ไม่ได้เพราะส่วนหนึ่งวัสดุที่ใช้ผลิต ช่วงล่างที่ต้องเบารถยุโรปก็ใช้อลูฯ เหล็กสตรัทหรือกันโคลงก็ผลิตตามหลักวิศวกรรม แต่พอหลังๆเทคโนโลยีการผลิตมันถูกลงฝั่งยุ่นก็ทำคุณภาพได้ใกล้เคียง..แถมยังทนทานกว่าและแพร่หลาย ส่วนตัวมองว่าเชิงธุรกิจยังไงก็ต้องชั่งระหว่างคุณภาพและกำไร..และค่ายยุ่นน่าจะสนกำไรมากกว่าจะเน้นรีดประสิทธิภาพ ยกเว้นยุโรปหัวดำที่บางทีก็ลดคอร์สตัดออพชั่นเสริมความปลอดภัยทิ้งเหมือนกัน

ออฟไลน์ the kit

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,314
ถ้าใช้รถยุโรปแล้วจะกลับไปใช้รถญี่ปุ่นไม่ได้อีกจริงเหรอ?

ผมขอแบ่งเป็น 2 หลักใหญ่ๆ
1. คนที่เลือกสมรรถนะ
ในราคาใกล้เคียงกัน ต้องยอมรับว่าถึงรถ Jap พัฒนามาดีมากขึ้น แต่ความสมรรถนะโดยรวมก็ยัง "เป็นรอง" Euro อยู่นิดหน่อย

2. หน้าตาทางสังคม
ถ้าใช้รถ Euro มาแล้ว ในไทยดังๆ ก็ MB, BMW แล้วถ้าวันไหน คุณขายออกไป เพื่อเปลี่ยนเป็นรถ Jap เมื่อไร... คุณจะ "ดูจน" ลงทันที

คนเคยเป็นเจ้าของรถ Euro ต่างๆ หลายคน ผมเชื่อว่าอยากกลับไปใช้รถ Jap เนื่องจากความสบายใจในการดูแลรักษาและเชื่อมั่นใน
"ความไว้ใจ" ได้ แต่มันก็มีเรื่อง "ศักดิ์ศรี" มา "ค้ำคอ" อยู่บ้าง

ในหลายครั้ง ถึงแม้ว่า "เงินไม่ใช่ปัญหา"
แต่ "ความไม่สบายตัวและไม่สบายใจ" หลายคนก็ยังนึกถึงรถ Jap มากกว่าจะซื้อ Euro
เอา "รถใหม่ป้ายแดง" ราคาไม่ต้องมองมาเปรียบเทียบกัน

รถ Euro ยี่ห้อยอดฮิตในไทย รุ่นเล็ก รุ่นกลาง รุ่นใหญ่  "พังตั้งแต่ป้ายแดง ทั้งๆที่วิ่งไปไม่กี่พัน กม.!!!"
ทั้งนี้ทั้งนั้น "ไม่ใช่แค่คันเดียวที่เป็น"
แถม บ.แม่ "ไม่รับผิดชอบ" ขนาด "เซเลป" ยังไม่รอด แล้ว "ฅ.ธรรมดา" จะเหลืออะไร!!

กลับมาที่รถ Jap ยี่ห้อดังยอดขาย #1 #2 #3 ของไทย
มีพังไหม  มีบ้างแต่น้อยมาก และที่สำคัญ คือ บ.แม่ เขา "รับผิดชอบ" นะ

"หน้าตา", "สมรรถนะ", "ความสบายใจ", "ความไว้ใจได้" ให้น้ำหนักอันไหนดี??
"Only live once, but if you do it right, Once is enough"

ออฟไลน์ DiKiBoyZ

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,224
    • อีเมล์
โครตไม่จริงเลย คนมีรถยุโรปหลายคน ยังไม่รถญี่ปุ่นไว้ใช้เลย รวมถึงตัวผมเอง และเพื่อนๆ ในกลุ่มก็เหมือนกัน

ผมขอยกตัวอย่างเป็นเรื่องๆ ละกัน

เรื่องออฟชั่น ยิ่งปัจจุบัน รถญี่ปุ่นเอง ออฟชั่นต่างๆ นาๆ เยอะกว่ายุโรปบางคัน หรือ ใน seg เดียวกัน ซะด้วยซ้ำ ถ้าจะเอาออฟชั่นเต็มเท่าญี่ปุ่น อาจจะต้องจ่ายเพิ่มอีกเยอะเลย นั้นหมายความว่า มันไม่ได้แพ้กันเหมือนแต่ก่อน 20 กว่าปี แล้ว

เรื่องการขับขี่ ผมใช้งานมา บอกเลยว่ารถญี่ปุ่น ไม่ได้แพ้ยุโรปเลย แต่มันจริงที่รถ mass ญี่ปุ่นโดยส่วนใหญ่ เขาออกแบบและพัฒนามาเพื่อการใช้งานทั่วไป หลายหลาย และกลุ่มผู้ใช้งานกว้าง ตั้งแต่ วันรุ่น วันทำงาน ผู้หญิง ผู้ชาย แม่ค้า คนแก่ คนท้อง ขับจ่ายตลาด ขับไปทำงาน ขับไปต่างจังหวัด บลาาาาาา

อย่างสมัย 90-2K คนบอกถ้าชอบขับขี่ไป BMW ชอบนั่งสบาย นั่งเป็นผู้โดยสาร ให้ไป Benz แต่ช่วง 5-10 ปีมานี้ Benz เองก็พัฒนา ปรับบุคลิค และ เปลี่ยน Look ของตัวเอง เพื่อให้กลายเป็นรถขับสนุกขึ้นมา เพราะบางอย่างถ้าไม่ปรับไม่เปลี่ยน อาจจะตายได้เหมือนกัน

สรุปเลย

น้อยคน น้อยครอบมาก ที่จะมีรถยุโรปเพียวๆ ไม่มีรถญี่ปุ่นเลย

มันขึ้นอยู่กับโจทย์ การใช้งาน มากกว่า

บางคนมีรถยุโรป แล้วมีรถญี่ปุ่นไว้เป็นรถสำรองบ้าง รถครอบครัวบ้าง รถออกทริป รถลุย และอื่นๆ เยอะแยะเหตุผล

และไม่ต้องพูดถึง LEXUS Alphard Vellfire ซะด้วยนะ เพราะอันนี้ ไม่ได้แพ้ยุโรปในแทบทุกมุมเลย

ออฟไลน์ O_o"

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,376
จริงๆก็อยากรู้เหมือนกันว่า คนยุโรปที่ใช้รถยุโรปมาตลอด แล้วต้องมาใช้รถญี่ปุ่น เค้าจะคิดแบบไหน มุมมองต่าง ๆ อาจไม่ได้คิดแบบในไทย

หรือแม้แต่คนญี่ปุ่นเองที่ใช้รถญี่ปุ่นมาตลอด แล้วต้องใช้รถยุโรป เค้าจะมีมุมมองแบบไหน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 16, 2020, 09:53:18 โดย O_o" »

ออฟไลน์ เนื้อน่องไม่หนัง

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,733
"หน้าตา", "สมรรถนะ", "ความสบายใจ", "ความไว้ใจได้" ให้น้ำหนักอันไหนดี??

เห็นด้วยมากๆเลย ในแต่ละช่วงอายุ เราอาจให้น้ำหนักกับ เรื่องต่างๆไม่เท่ากัน
แล้วพอ Gap ของ ราคา สมรรถนะ และหน้าตา มันแคบลง ทำให้คนที่ใช้ D-Seg ขึ้นไปลอง พรีเมี่ยม และให้คนพรีเมี่ยมลองมาใช้ D-seg ได้ง่ายขึ้น

ออฟไลน์ mongolias

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,369
เข้ามาดู ผมอยากได้รถยุโรปมือสองไว้ขับเล่นเหมือน จขกท
แต่ทำใจลำบากเวลาต้องไปอู่ จ่ายค่าซ่อมหลักหมื่น ไหนจะเสียเวลาอีก เลยได้แต่เมียงมอง

สำหรับผมเมื่อก่อน มันแตกต่างกันเยอะจริงครับ นั่งรถยุโรปที่เงียบ นิ่ง เทียบกับรถญี่ปุ่นที่ก๊อกแก๊ก เบาหวิวไปทุกส่วน ตั้งแต่เปิดประตูเข้ามา แต่นั่นเมื่อสัก 20 ปี ++ ที่แล้ว

ปัจจุบันผมว่า ค่ายญี่ปุ่นทำได้ดีขึ้นมากเลยนะครับ บางรุ่นนั่งสบายไม่แพ้ฝั่งยุโรป เลยทีเดียวครับ

ผมว่าอีกส่วนคือคุณเทียบ CX5 ที่ผมว่าน้ำหนักพวงมาลัย กับช่วงล่างถือว่าดีในระดับต้นๆของ SUV ฝั่งญี่ปุ่น มันเลยรู้สึกต่างกันไม่เยอะ
ผมเทียบง่ายๆระหว่างรถญี่ปุ่นด้วยกันแต่คนละ Segment, CX5(ตัวก่อน) กับ City 2012 อีกคันที่บ้าน ตอนนี้กลับไปขับ City ทีไร ผมบ่นกับแฟนตลอดว่า ไม่ค่อยกล้าขับเกิน 100 แล้ว มันรู้สึกเบาหวิวไปทั้งคัน

ออฟไลน์ Stp

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,537
มาเสริมเรื่องราคาอะไหล่รถยุโรป (ศูนย์) ที่ว่าแพงกว่ารถญี่ปุ่น 2-3 เท่า (ศูนย์, ไม่ใช่เกรดพรีเมี่ยม) เท่าที่เห็นอะไหล่รถยุโรปเข้าศูนย์ราคานั้นประกัน 1-2 ปีนะครับ (จำกัด กม. และไม่จำกัดแล้วแต่ยี่ห้อ) ต่างจากยี่ห้อญี่ปุ่นที่ประกัน 6-12 เดือน จำกัด 5,000-10,000 กม. ด้วย

ดังนั้นบางทีคนเชียรอู่นอกก็บอกไม่หมด คือถ้าชิ้นอะไหล่สิ้นเปลืองเปลี่ยนอู่นอกอาจจะคุ้ม แต่ถ้าชิ้นอะไหล่สำคัญแล้วราคาอู่ต่างจากศูนย์ไม่เกิน 30% (รวมส่วนลด) บางทีคุยเรื่องประกันคุณภาพแล้วศูนย์อาจจะถูกกว่าด้วยซ้ำ
:D ;D ร่วมรณรงค์รักการอ่านหนังสือ แทนการถามตลอดเวลา ;D :D

ออฟไลน์ Auto

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,631
ตอนรถชน จะเห็นความแตกต่างได้เยอะสุด
  ชัดเจนที่สุดแล้วครับ     ตอนชนเห็นหลายคดีที่เบนซ์ไปชนเค้าแล้ว  ความแข็งแรงและความปลอดภัยของห้องโดยสาร  ทำให้คนไม่เป็นอะไรมากเลย         คือถ้ามีเงินเหลือ ๆ  แบใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดยังเหลือส่งต่อไปลูกหลานได้ และชีวิตสำคัญกว่าเงินมาก   จำเป็นต้องอยู่บนโลกใบนี้ต่อเพราะภาระหรือเรื่องธุรกิจและการเงิน อื่น ๆ    ผมว่าใช้เบนซ์ไปเถอะครับ มันช่วยชีวิตได้จริง  ๆ     

ส่วนการขับขี่ความหรูหรา อ๊อพชั่น ผมว่ามันทันกันได้คงไม่ต่างกันมาก      แต่ความแข็งแรงตอนเกิดอุบัติเหตุ ผมว่ามันต่างกันจริง ๆ 

ออฟไลน์ Thnn

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 48
มันก็มองได้หลายมุม และความต้องการของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
อยากจะบอกว่า ผมขับ BMW X5 g05 สลับกับ Mazda CX-3 2.0
X5 ขับไปห้างไปงานที่จำเป็น ครอบครัวไปหลายคน, CX-3 ไปโรงงาน ไปทำงาน ไปออกกำลังกาย ไปคนเดียว

พูดตรงๆว่าชอบช่วงล่างและพวงมาลัยของ CX-3 มากกว่า X5 ซะอีกครับ

อย่านับเรื่องการเก็บเสียง ความปราณีต วัสดุ เทคโนโลยี ภาพลักษณ์ นะครับ เรื่องเหล่านี้ X5 ยังไงก็เหนือกว่า รถBMW 6 ล้าน เทียบกับ Mazda 1 ล้านบาท

คนที่บอกว่าใช้รถยุโรปแล้วกลับไปใช้ญี่ปุ่นไม่ได้ ผมมองว่าเขาติดแบรนด์ ... หรือ ต้องการ Status อะไรบางอย่าง


PKS8

  • บุคคลทั่วไป
มาเสริมเรื่องราคาอะไหล่รถยุโรป (ศูนย์) ที่ว่าแพงกว่ารถญี่ปุ่น 2-3 เท่า (ศูนย์, ไม่ใช่เกรดพรีเมี่ยม) เท่าที่เห็นอะไหล่รถยุโรปเข้าศูนย์ราคานั้นประกัน 1-2 ปีนะครับ (จำกัด กม. และไม่จำกัดแล้วแต่ยี่ห้อ) ต่างจากยี่ห้อญี่ปุ่นที่ประกัน 6-12 เดือน จำกัด 5,000-10,000 กม. ด้วย

ดังนั้นบางทีคนเชียรอู่นอกก็บอกไม่หมด คือถ้าชิ้นอะไหล่สิ้นเปลืองเปลี่ยนอู่นอกอาจจะคุ้ม แต่ถ้าชิ้นอะไหล่สำคัญแล้วราคาอู่ต่างจากศูนย์ไม่เกิน 30% (รวมส่วนลด) บางทีคุยเรื่องประกันคุณภาพแล้วศูนย์อาจจะถูกกว่าด้วยซ้ำ

ขอแย้งนะครับ อะไหล่ญี่ปุ่นอย่างมิตซู ฮอนด้า โตต้า รับประกัน 6 เดือนจริง แต่อย่างที่ว่ามันถูกกว่ายุโรป 2 เท่า ยังไงๆก็ถูกกว่าอยู่ดีครับ แล้วไม่ถูกเฉพาะค่าอะไหล่ ค่าแรงก็ถูกกว่าเยอะมาก ส่วนยุโรปต่อให้รับประกันอะไหล่ 2 ปี และรับประกันงานซ่อมแค่ 3 เดือน (ศูนย์แถวจรัญ) ก็ยังแพงกว่าค่าซ่อมญี่ปุ่นเยอะอยู่ดีครับ

ส่วนอู่นอกยุโรปอะไหล่สำคัญๆ อย่างระบบแอร์ เกียร์ แรคไฟฟ้า สมองต่างๆ มันไม่ได้ถูกกว่าศูนย์แค่ 30% อู่นอกทำในสิ่งที่ศูนย์ไม่ทำคือ โอเวอฮอล์ และหาอะไหล่มือสองจากนอกครับ ค่าซ่อมรวมหมดเบ็ดเสร็จถูกกว่าเกินครึ่ง ที่เหลืออยู่ที่ฝีมืออู่ ถ้าอู่เก่งจริงจบใช้ได้ยาวครับ E60 ผมเปลี่ยนแรคมือสอง ตอนนั้น 7 หมื่นบาท เทียบกับให้ศูนย์ตีราคาเปลี่ยนใหม่แสนสอง ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้คนที่ซื้อรถผมไปใช้ต่อวิ่งจะ แสนห้าแล้วยังไม่พังเลยครับ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ไม่มีทางเลยครับที่ศูนย์จะถูกกว่านอก แค่ค่าแรงก็คนล่ะเรื่องแล้ว

แต่ถ้าจะพูดถึงฝีมืออู่ ก็อย่าคิดนะครับว่าศูนย์จะดีเด่อะไร ผมเคยเอาเข้าศูนย์แถวจรัญ ครั้งแรกถ่ายน้ำมันเครื่อง นอกจากราคาที่โหดร้ายแล้ว ช่างลืมปิดฝาน้ำมันเครื่องครับ กว่าผมจะรู้ก็วิ่ง 2-3 วันแล้วน้ำมันเครื่องกระจายเต็มห้องเครื่อง ฝาก็หาย ครั้งที่สองล่าสุดเพื่อนผมเอา F30 ไปเปลี่ยนผ้าเบรคหลัง ออกมาวิ่งซักพักวิ่งหอนดังมาก แล้วปล่อยคันเร่งรถไม่วิ่งเบรคติดอีก ผมกล้าพูดเลยว่าอย่าคิดว่าศุนย์ยุโรปจะดีกว่าศูนย์ญี่ปุ่นครับ

ออฟไลน์ ariazero

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 621
ผมมั่นใจความปลอดภัยรถยุโรปมากกว่านะครับ

ไม่ได้หมายถึงเทคโนโลยี แค่คำว่า "เหล็กมันแข็งกว่า"

ไม่ใช่คนศึกษารถยนต์จนไปเทียบกี่มิลเมตร เลยไม่รู้ว่ามันจริงมั้ย

อายุเยอะแล้ว
'8X Familia, '91 TFR ,
'94 Sunny B13, '98 520i (E28), '99 Sunny B14,
'08 Vios, '08 C200, '08 Vitara
'15 Vios, '17Accord G9 MC, '17 X1 18i

ออฟไลน์ Nott1959

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 480
ก็มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลับไปใช้รถยุโรปอีกนี่ครับ....

ก็คงจะมีรถญี่ปุ่นแบรนเดียวนี้แหละครับที่จะกลับไปใช้นั้นคือ Lexus !!!
V8 V10 V12 ONLY!!!!

ออฟไลน์ zapdos191

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 683
อ่า มันก็ไม่เชิงอ่ะครับ 555+

ของผมเริ่มจาก  Subaru  ไป BMW แล้วกลับมา Subaru อีกรอบ คันนึงอายุไม่ถึงปี อีกคันอายุ 12 ปี แต่ผ่านการสังคายนาใหญ่มาแล้ว

ตอนนี้ก็จอดทั้งสองคันในบ้าน สลับๆกันออก แต่ถ้าขับคนเดียวแล้วให้ผมเลือก ผมหยิบกุญแจ Subaru เสมอครับ
-------- Toyota Vios 2003 --------
-------- Subaru WRX STi 2015 --------
-------- Honda Jazz GK5 --------
-------- BMW G20 330i --------
-------- Subaru Impreza WRX STi 2008 (GRF) --------
-------- Subaru Forester XT (SJG) MC --------

ออฟไลน์ paulmerc

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 154
เอาปัจจัยเรื่องสมรรถนะ ความสบาย ถ้าเทียบในรถ segment เดียวกัน(ไม่นับราคานะ) ผมว่ารถยุโรปดีกว่าครับ ทั้งออฟชั่น การขับขี่ ความสะดวกสบาย ระบบเซนเซอร์ต่างๆ ที่ช่วยในการขับขี่

เอาเรื่องความสบายใจ สำหรับผมรถญี่ปุ่นสบายใจกว่าเยอะครับ ไม่กลัวหินกระเด็น คนเปิดประตูมาชน รถมันจะไปไฟโชว์ไปตายเอากลางทางไม๊  บางทีเซ็นเซอร์แค่เตือน แต่บางทีเด้งขึ้นบ่อยๆก็มีแอบหลอนครับ

เอาเรื่องประสบการณ์บนท้องถนน  รถยุโรปขับสบายใจกว่าเยอะมากครับ ทั้งคนอื่นให้ทาง รถไม่ค่อยขับจี้ท้าย ยามหาที่จอดให้ มันให้ความรู้สึกแบบพรีเมียม ยิ่งเวลาไปห้าง/โรงแรมนี่หาที่จอดง่ายกว่าขับรถญี่ปุ่นมากๆ


สรุปคือ กลับไปใช้ได้ครับตามสถานการณ์และความจำเป็น รถญี่ปุ่นมันก็ถูกกว่า สิ่งที่ได้ก็คุ้มค่ากับค่าตัว จะได้ประสบการณ์แบบรถยุโรปก็คงจะไม่ได้ แต่ถ้าให้เลือก รถยุโรปมันให้การขับรถในเมืองไทยรู้สึกง่ายและไม่ลำบาก 
ชอบซื้อรถ แต่งรถ เปลี่ยนรถไปเรื่อยๆ ครับ

2020  -  Toyota Sienta
2017  -  Mini Cooper Coupe
2011  -  Benz Ecoupe C207
2006  -  BMW 320ise E90
2005  -  Mini Cooper S R53 MT
2012  -  Honda Jazz GE
2010  -  Honda Civic FD
2003  -  BMW 330I E46

ออฟไลน์ twinmoon

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 92
ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนในการเปรียบเทียบครับ

สำหรับผม
รถยุโรปเก่าๆยี่สิบปีขึ้นทั้ง4คันที่ใช้อยู่มีทั้งซื้อตั้งแต่ป้ายแดงและมือสองมือสาม ปัจจัยสำคัญของผมคือ "ความเงียบ"
ที่ลูกเล็กขึ้นแล้วหลับสบาย พูดคุยกันเบาะหน้า-เบาะหลังไม่ต้องตะโกนหรือชะโงกตัวมาด้านหน้า
เปิดเพลงพังชิลๆได้อรรถรสทางเครื่องดนตรีไม่แสบแก้วหู
ส่วนรถญี่ปุ่นใหม่ๆมีดีที่สมรรถนะและความประหยัดที่รถยุโรปเก่าๆของผมต้องมองค้อนอย่างแรง

รถที่เอามาเทียบกันดื้อๆคือรถประจำตำแหน่ง จะเป็น altis ตั้งแต่ปี10-ปัจจุบัน
ที่เห็นได้ชัดเจนคือค่าน้ำมันและค่าซ่อมบำรุง
แต่สิ่ที่ต้องทนให้ผ่านไปคือเสียงรบกวนแบบ souround6.1ครับ เพราะมันเป็นรถฟรีเลือกไม่ได้  :(

แต่ถ้าไม่มีรถฟรีใช้ล่ะ?....
ผมคงใช้คุณปู่ในโรงรถของผมไปเรื่อย และคงซื้อรถญี่ปุ่นเล็กๆให้ภรรยาขับ
เพราะนางก็เบื่อกับการที่เราดูแลรถมากกว่านาง ตั้งแต่สมัยเป็นแฟนกันแล้วครับ5555 ;D
love me love my car