การเข้ามาของรถไฟฟ้าถ้ายอดขายมันเพิ่มขึ้นจากนี้ โรงไฟฟ้าบ้านเรามันจะพอได้ยังไง

seeker

ที่บอกเหลือๆ ลองเอามาคำนวนดูก็ได้ ว่าเหลือเท่าไหร่
แล้วรถไฟฟ้า 1 คันใช้ไฟเท่าไหร่
ปัจจุบันมีรถกี่คัน และถ้ามีรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นกี่ % จะเพียงพอหรือไม่

ผมเดาว่าถ้ารถทั้งหมดในบ้านเราเป็น ev 100% โรงไฟฟ้าไม่พอครับ

ปล
ตอนแรกก็สนใจแผง solar cell กบบไม่มีห้องแบต เพราะไม่อยากซ่อมบำรุงและคอยเปลี่ยน ทำให้ผลิตไฟได้ตอนกลางวัน
แต่กลางวันก็ไม่อยู่บ้านเลยทำให้ไม่ได้ติดครับ



rvsmart

เมื่อก่อนแก๊สหุงต้มราคาถูกเพราะใช้ทำอาหาร ต่อมาโรงงานเริ่มใช้แทนน้ำมัน
พอรถติดตั้งแอลพีจีแทนน้ำมัน ตัวแก๊สเลยราคาขึ้นพรวดพราด สุดท้ายคนใช้แก๊สหุงต้มรับเคราะห์ไป
ก็หวังว่าคนใช้ไฟบ้านทั่วไปจะไม่ต้องมารับภาระแบบนั้นด้วย



Fly to dream

Solar cell และ พลังงานลม  ไม่ต้องเอามาคิดรวมครับ  มันไม่ได้ผลิตได้ตลอดและหน่วยราคามันสูงมาก
ขยะของโลกออนไลน์​ในปัจจุบั​นคือเชื่อคนโง่ที่มีคำพูดสวยหรู​ หาข้อมูล​ไม่จริงมาโกหกคำโตๆ​ อีกอย่างคือพูดความจริงไม่หมด กับพวก​ Avatar ที่ทำเป็น​เก่ง​แต่เก่งน้อยในโลกความจริง​ซึ่งจะหาได้ง่าย



AquaFlash

รถ EV ใช้ไฟน้อยมาก เมื่อเทียบกับปริมาณการผลิต

โรงงานอุตสาหกรรม ใช้เยอะกว่ามากครับ รองลงมาก็โรงแรม ออฟฟิศ
ต่อให้เปิดไฟทั้งวันทั้งคืน ตัวโรงงาน โรงแรงเองก็ติดโซล่าห์ของตัวเองได้
ไฟที่จะใช้ก็ลดลงอีกเพราะผลิตเองใช้เอง

ต่อให้มี EV อีกเป็นหมื่นๆคัน ก็ไม่สะเทือนครับ

ปัญหาของระบบไฟบ้านเรา คือมันไม่ไปตามตำบลเล็กๆ สายไฟอันจิ๋ว จ่ายไฟไม่พอ
แต่ตัวไฟเอง มีมากมายเหลือล้น
บางตำบลผลิตโซล่าห์ฟาร์มเองแท้ๆ แต่ตัวหมู่บ้านไฟติดๆดับๆบ่อยๆ






Jacob

เมื่อก่อนแก๊สหุงต้มราคาถูกเพราะใช้ทำอาหาร ต่อมาโรงงานเริ่มใช้แทนน้ำมัน
พอรถติดตั้งแอลพีจีแทนน้ำมัน ตัวแก๊สเลยราคาขึ้นพรวดพราด สุดท้ายคนใช้แก๊สหุงต้มรับเคราะห์ไป
ก็หวังว่าคนใช้ไฟบ้านทั่วไปจะไม่ต้องมารับภาระแบบนั้นด้วย
นั่นสินะ พอแก๊สขึ้นราคาไม่โวยวาย แต่รถไฟฟ้ายังไม่ทันมากลับโวยวายซะละ  8)



S6

ตอนนี้เราก็ใช้ไฟฟ้าจากเอกชนเกินครึ่งของรัฐวิสาหกิจนะ เกินกว่าครึ่งไปเยอะด้วย
ถ้าความต้องการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น เอกชนก็ลงทุนเพิ่ม



XMSL

รถยนต์ไฟฟ้าเสียบปลั๊กชาร์จช้าที่บ้าน ตั้งเวลาให้เริ่มชาร์จตอน off-peak น่าจะมีสำรองอยู่อีกเยอะนะ รัฐสนับสนุนเปลี่ยนมิเตอร์ TOU ช่วยสักหน่อย น่ากลัวกว่ากำลังการผลิตสำรองคือ ยุทธการปล้นตังค์ไทยภาคสองนะ...



Odd_yim

เป็นกระทู้ที่ผมต้องเข้ามาตอบในคอมเลย เป็นคำถามที่ตอนแรกผมก็คิดเหมือน จขกท แต่พอได้ศึกษาเรื่องราวมากขึ้น ก็ทำให้ความคิดผมเปลี่ยนไป ต้องบอกว่าต่อจากนี้ไป รูปแบบของอุตสาหกรรมไฟฟ้าจะเปลี่ยนไปอย่างมาก แนวโน้มกำลังการผลิตไฟฟ้าจะล้นแบบนี้ไปอีกนานครับ ต่อให้มีรถ EV เพิ่มขึ้นเป็นล้านคัน ซึ่งผมเคยลองคำนวณไว้คร่าวๆ ว่า กำลังผลิตจะต้องเพิ่มอีกสัก 10,000 MW กำลังการผลิตสำรองก็ยังเพียงพออยู่ครับ ต้องขอเล่าเป็นข้อ ๆ ดังนี้ครับ

1. ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้ายังใช้รูปแบบ Single Buyer คือ กฟผ. เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชน และขายต่อให้ กฟน กฟภ มายังผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ แต่แนวโน้มในอนาคต ผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อย ๆ จะเพิ่มมากขึ้น เช่น โรงไฟฟ้าชุมชน, อาคารหรือที่อยู่อาศัยที่ติด Solar ซึ่งก็จะกลายเป็น Prosumer คือ ทั้งซี้อไฟและผลิตไฟรวมถึงขายไฟ ตามการใช้งานของตนเองด้วย จะทำให้การผลิตไฟฟ้าจะกลายเป็นตลาดเสรีมากขึ้น จะมีการทำสัญญาซื้อขายไฟ โดยไม่ผ่านการไฟฟ้ามากขึ้น แถมยังมีแนวคิดที่จะให้ รถ EV สามารถขายไฟกลับเข้าในระบบ ในลักษณะเป็น Energy Storage ได้อีกด้วยครับ

2. ระบบสายส่ง จะมีการพัฒนาโครงข่าย Smart Grid รวมถึงจะมีการกำหนดให้มีการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศได้ ซึ่งเป็นการเสริมความมั่นคงได้กรณีกำลังผลิตไฟฟ้าในประเทศไม่เพียงพอครับ และยังรองรับการซื้อขายไฟกันเองระหว่างกลุ่ม เช่น บ้านแต่ละหลังซื้อขายไฟกันเอง โดยต้องเสียค่าส่งไฟฟ้าผ่านสายส่ง ของการไฟฟ้า แต่ลักษณะนี้ น่าจะต้องทดลองเป็นบางพื้นที่ก่อนครับ

3. อัตราค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก โดยอัตราค่าไฟฟ้า ตามหลักการแล้วราคาที่เหมาะสมที่สุด คือ ราคาที่เท่ากับ Marginal Cost ของการผลิตไฟฟ้าพอดี แต่ในทางปฏิบัติแล้วจะทำได้ยาก เพราะต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจะขึ้นอยู่กับประเภทของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าด้วย ซึ่งก็จะมาจากแผน PDP นั่นเอง ในช่วงนี้ที่การใช้ไฟฟ้าลดลงมากทำให้ต้นทุนคงที่ ที่คิดเฉลี่ยต่อหน่วยไฟฟ้าไว้แล้วมีความผิดพลาด คือ หน่วยไฟฟ้าที่มาหารลดลงทำให้มีโอกาสที่ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องแบกรับภาระค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น  และตอนนี้มีผู้ใช้ไฟฟ้าบางส่วนที่ไปซื้อไฟนอกรูปแบบ Single Buyer เช่น โรงงานที่ซื้อไฟจากผู้ผลิตไฟฟ้าที่มาลงทุนติดตั้ง Solar บนหลังคาโรงงาน เพราะได้ราคาถูกกว่าซื้อจากการไฟฟ้า ซึ่งก็ถูกกว่าจริง ๆ ครับ แต่ต้องบอกว่าอาจจะเข้าข่ายเลี่ยงกฎหมาย พ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงานนะ โดยปกติแล้วโรงไฟฟ้าจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มส่วนหนึ่งตามมาตรา 97 เพื่อลดผลกระทบให้กับชุมชนที่อยู่รอบโรงไฟฟ้า ตรงนี้พอ กฟผ. รับซื้อไฟมาก็ต้องบวกต้นทุนส่วนนี้ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในระบบทั้งหมดด้วย รวมถึง ต้นทุนเพิ่มจากนโยบายรัฐ เช่น ไฟฟ้าฟรี 50 หน่วย, ไฟฟ้าถนนทางหลวง, ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่รัฐบาลรับซื้อ ฯลฯ ก็จะถูกรวมอยู่ในค่าไฟฟ้าด้วย ฉะนั้นต่อไป อัตราค่าไฟฟ้าคงต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมมากขึ้นครับ



Level Z3RO

เป็นกระทู้ที่ผมต้องเข้ามาตอบในคอมเลย เป็นคำถามที่ตอนแรกผมก็คิดเหมือน จขกท แต่พอได้ศึกษาเรื่องราวมากขึ้น ก็ทำให้ความคิดผมเปลี่ยนไป ต้องบอกว่าต่อจากนี้ไป รูปแบบของอุตสาหกรรมไฟฟ้าจะเปลี่ยนไปอย่างมาก แนวโน้มกำลังการผลิตไฟฟ้าจะล้นแบบนี้ไปอีกนานครับ ต่อให้มีรถ EV เพิ่มขึ้นเป็นล้านคัน ซึ่งผมเคยลองคำนวณไว้คร่าวๆ ว่า กำลังผลิตจะต้องเพิ่มอีกสัก 10,000 MW กำลังการผลิตสำรองก็ยังเพียงพออยู่ครับ ต้องขอเล่าเป็นข้อ ๆ ดังนี้ครับ

1. ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้ายังใช้รูปแบบ Single Buyer คือ กฟผ. เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชน และขายต่อให้ กฟน กฟภ มายังผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ แต่แนวโน้มในอนาคต ผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อย ๆ จะเพิ่มมากขึ้น เช่น โรงไฟฟ้าชุมชน, อาคารหรือที่อยู่อาศัยที่ติด Solar ซึ่งก็จะกลายเป็น Prosumer คือ ทั้งซี้อไฟและผลิตไฟรวมถึงขายไฟ ตามการใช้งานของตนเองด้วย จะทำให้การผลิตไฟฟ้าจะกลายเป็นตลาดเสรีมากขึ้น จะมีการทำสัญญาซื้อขายไฟ โดยไม่ผ่านการไฟฟ้ามากขึ้น แถมยังมีแนวคิดที่จะให้ รถ EV สามารถขายไฟกลับเข้าในระบบ ในลักษณะเป็น Energy Storage ได้อีกด้วยครับ

2. ระบบสายส่ง จะมีการพัฒนาโครงข่าย Smart Grid รวมถึงจะมีการกำหนดให้มีการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศได้ ซึ่งเป็นการเสริมความมั่นคงได้กรณีกำลังผลิตไฟฟ้าในประเทศไม่เพียงพอครับ และยังรองรับการซื้อขายไฟกันเองระหว่างกลุ่ม เช่น บ้านแต่ละหลังซื้อขายไฟกันเอง โดยต้องเสียค่าส่งไฟฟ้าผ่านสายส่ง ของการไฟฟ้า แต่ลักษณะนี้ น่าจะต้องทดลองเป็นบางพื้นที่ก่อนครับ

3. อัตราค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก โดยอัตราค่าไฟฟ้า ตามหลักการแล้วราคาที่เหมาะสมที่สุด คือ ราคาที่เท่ากับ Marginal Cost ของการผลิตไฟฟ้าพอดี แต่ในทางปฏิบัติแล้วจะทำได้ยาก เพราะต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจะขึ้นอยู่กับประเภทของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าด้วย ซึ่งก็จะมาจากแผน PDP นั่นเอง ในช่วงนี้ที่การใช้ไฟฟ้าลดลงมากทำให้ต้นทุนคงที่ ที่คิดเฉลี่ยต่อหน่วยไฟฟ้าไว้แล้วมีความผิดพลาด คือ หน่วยไฟฟ้าที่มาหารลดลงทำให้มีโอกาสที่ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องแบกรับภาระค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น  และตอนนี้มีผู้ใช้ไฟฟ้าบางส่วนที่ไปซื้อไฟนอกรูปแบบ Single Buyer เช่น โรงงานที่ซื้อไฟจากผู้ผลิตไฟฟ้าที่มาลงทุนติดตั้ง Solar บนหลังคาโรงงาน เพราะได้ราคาถูกกว่าซื้อจากการไฟฟ้า ซึ่งก็ถูกกว่าจริง ๆ ครับ แต่ต้องบอกว่าอาจจะเข้าข่ายเลี่ยงกฎหมาย พ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงานนะ โดยปกติแล้วโรงไฟฟ้าจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มส่วนหนึ่งตามมาตรา 97 เพื่อลดผลกระทบให้กับชุมชนที่อยู่รอบโรงไฟฟ้า ตรงนี้พอ กฟผ. รับซื้อไฟมาก็ต้องบวกต้นทุนส่วนนี้ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในระบบทั้งหมดด้วย รวมถึง ต้นทุนเพิ่มจากนโยบายรัฐ เช่น ไฟฟ้าฟรี 50 หน่วย, ไฟฟ้าถนนทางหลวง, ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่รัฐบาลรับซื้อ ฯลฯ ก็จะถูกรวมอยู่ในค่าไฟฟ้าด้วย ฉะนั้นต่อไป อัตราค่าไฟฟ้าคงต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมมากขึ้นครับ

เป็นความรู้ที่ดีมากเลยครับ ขอบคุณครับ



Auto

ขอบคุณทุกคำตอบครับ  ช่วยให้กระจ่างขึ้นอีกเยอะ



HHHsung

ไม่ต้องกังวลครับ การทีรถไฟฟ้าจะเกิดได้ ปัจจัยหลักตอนนี้คือแบตเตอรี่  ราคา คุณภาพ ยังไม่อยู่ในจุดสมดุลย์

แต่หากเมื่อถึงจุดนั้นแบตเตอรี่จะไม่ได้ใช้แค่ในรถไฟฟ้าอย่างเดียว มันจะถูกใช้ในการบาลานซ์ระบบผลิตและการใช้พลังงานไฟฟ้า ด้วย

เสมือนการเกลี่ยพื้นที่การผลิตไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลาให้อยู่ในระนาบเดียวกัน

ปล. เช่น การชาร์จเข้าแบตของระบบไฟฟ้าในช่วงการใช้ไฟฟ้าต่ำ (ดึกๆ - รุ่งเช้า) และ ดิจชาร์จจากแบตเข้าระบบไฟฟ้า

ในช่วงเวลาที่เหลือที่มีความต้องการๆ ใช้พลังงาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 08, 2020, 13:22:34 โดย HHHsung »