« ตอบกลับ #65 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2021, 21:05:33 »
30ปีก่อน ใครจะคิดว่าทุกคนจะมีมือถือกันหมด มือถือก้อไม่มีปุ่ม..
ก้อเหมือนกับรถนั่นแหละครับ ก่อนจะก้าวผ่านเทคโนโลยี คงต้องมีการปรับพื้นฐาน ทั้งความเข้าใจ ทั้งองค์ประกอบหลายอย่าง
แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน รถสันดาปคงหมดไปเอง เหมือนที่มือถือแบบมีปุ่มเหลือคนใช้อยู่แค่ไม่กี่คน
และหลังจากนั้นอีกไม่นาน ในอนาคตรถไฟฟ้าก้ออาจจะไม่มีล้อ วิ่งลอยเหนือผิวถนนก้อได้ครับ
+1 ครับ ผมก็เชื่อว่าเวลาจะเป็นฆาตกรที่ทำให้เครื่องยนต์สันดาปค่อยๆ หายไปจากโลกนี้อย่างช้าๆ เหมือนกับที่รถยนต์เคยฆ่ารถม้ามาแล้ว
เกือบ 20 ปีก่อน สมัยที่คนยังนิยมใช้โนเกีย 8850 มีบริษัทนึง คิดจะเขียนแอพบนมือถือ จึงไปทำสำรวจตลาดว่า ถ้ามีโทรศัพท์มือถือจอสี หน้าจอสัมผัส ต่อเนตได้ แล้วสามารถใช้โปรแกรมบางอย่างคล้ายๆ คอมพิวเตอร์ ราคาอาจจะแพงกว่าโทรศัพท์แบบเดิมๆ ไปบ้าง ท่านจะสนใจซื้อมาใช้งานมั้ย คำตอบเกิน 80% คือไม่สนใจกันเลยครับ เหตุผลก็ประมาณว่า
- โทรศัพท์มีไว้โทร อย่างมากก็อ่าน SMS จอสีไม่ใช่เรื่องจำเป็น ใช้จอสีแล้วกลัวไม่ทน ถ้าจอสีเสียแล้วกลัวค่าซ่อมแพง
- จอสัมผัสไม่เหมือนปุ่มกด ฟิลลิ่งการใช้งานมันไม่ได้ บางคนก็กลัวไปว่าถ้าเกิดโทรศัพท์แฮงค์ขึ้นมาจะแก้ไขปัญหายังงัย
- ทำไม่ต้องใช้โปรแกรมบนโทรศัพท์ด้วย ใช้บนคอมพิวเตอร์ก็สะดวกอยู่แล้ว จอใหญ่ๆ สบายตากว่าตั้งเยอะ
- จะให้ใช้แชท ท่องเวบผ่านมือถือเหรอ ไม่เอาหรอก ค่าดาต้ามันแพง Operator คิดราคาตาม MB สู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว ขอใช้งาน MSN บนพีซีต่อไปดีกว่า
- บางคนที่ Expert ทางด้านไอทีมาก ถึงกับปรามาสว่ามันไม่มีทางเกิดได้เพราะ โทรศัพท์มือถือที่ดีต้องเครื่องเล็กๆ พกพาสะดวก แบตอึดๆ อยู่ได้หลายๆ วัน และต้องทนทานตกแล้วไม่พังง่ายๆ จอสีใหญ่ๆ เครื่องจะใหญ่และหนัก แถมต้องกินแบตมาก เบตอยู่ได้ไม่ถึงวัน ถ้าทำออกมาขายคงไปไม่รอดแน่นอน
ผ่านมา 20 ปี ตลาดตอบรับกับโทรศัพท์มือถือจอสัมผัสที่มีการใช้งานแอพและเนตผ่านคลื่นมือถือกันอย่างไร คงไม่ต้องบอกแล้ว ปัญหาที่ Expert หลายๆ คนตั้งประเด็นไว้มันถูกแก้ปัญหาไปหมดแล้ว
- เรื่องขนาดเครื่องที่ใหญ่ พกลำบากก็แทบจะไม่มีใครบ่นกันอีกแล้ว คนส่วนใหญ่รับกับขนาดของมันได้ ทุกวันนี้รุ่นเรือธงคือรุ่นที่จอใหญ่และมีขนาดและน้ำหนักใหญ่ที่สุดด้วยซ้ำ
- เครื่องตกแล้วหน้าจอแตก พังง่าย ก็มีเคส มีฟิลม์กระจกมาช่วย
- แบตไม่ทน ใช้ได้ไม่ถึงวัน ก็มีพาวเวอร์แบงค์มาช่วย แถมมีระบบฟาสต์ชาร์จ 30 นาทีได้แบตมา 5-70% ล่ะ
- เครื่องไม่ทนเหมือนปุ่มกดก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เพราะเทคโนโลยีใหม่มันมาไวมาก เด็กรุ่นใหม่ใช้โทรศัพท์เครื่องเดิมได้ถึง 2-3 ปีก็ถือว่าเก่งมากแล้ว บางคนเปลี่ยนทุก 6 เดือนด้วยซ้ำ
ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่หาซื้อโทรศัพท์แบบปุ่มกดได้ยากเต็มที กับเรื่องรถยนต์ผมก็คิดว่าไม่ต่างกันมาก อยู่ที่ว่าจะเมื่อไรเท่านั้นเอง
คุณพี่เปรียบเทียบรถ ICE กับ EV แบบโทรศัพท์ปุ่มกดกับสมาร์ตโฟน มันก็ไม่ถูกซะทีเดียวกรอกครับ
กรณีสมาร์ตโฟน มันไม่ได้มาแทนมือถือแบบปุ่มกด แต่มันมาแทน โทรศัพท์+PC+Compact Digi Came +
เกมพกพา ในตัวเดียว
ถ้าจะมองแบบนั้น EV ต้องเป็นทั้งรถ + PC + Robot + Autonomous Driver + Delivery boy + etc.
ถึงจะแทน ICE แบบโทรศัพท์ปุ่มกดอ่ะครับ
ใช่แล้วครับ ผมมองแบบนั้นแหละครับ ผมถึงยกตัวอย่าง Smartphone ขึ้นมา เพราะถ้าการพัฒนาโทรศัพท์มันแค่เปลี่ยนจากปุ่มกดมาเป็นจอสัมผัส โดยที่ตัวเครื่องยังทำได้แค่รับเข้า-โทรออก โทรศัพท์จอสัมผัสคงจะมาแทนที่โทรศัพท์แบบปุ่มกดไม่ได้หรอกครับ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนจากปุ่มกดมาเป็นจอสัมผัสงัยครับมันต่อยอดได้อีกเยอะเลย เมื่อก่อนก็คงมีแค่น้อยคนที่คิดว่าโทรศัพท์มือถือจะเอามาใช้แทนกล้องถ่ายรูปและถ่ายวีดีโอ แต่ตอนนี้ มันก็ทำได้แล้วนะครับ แม้กระทั่ง Social Media อย่างเฟสบุ๊ค อินสตาแกรม ไลน์ ตอนนั้นก็ไม่มีใครนึกออกหรอกว่าจะเอาโทรศัพท์มาใช้ยังงัย
ในทำนองเดียวกันผมก็เชื่อว่ารถไฟฟ้าจะไม่ใช่แค่มาแทนที่รถยนต์ แค่ในเรื่องของเครื่องยนต์หรือระบบขับเคลื่อน แต่น่าจะสามารถเพิ่มฟีเจอร์อื่นๆ เข้าไปได้มากกว่านั้น เพราะข้อจำกัดของรถเครื่องยนต์ก็มีไม่น้อย เช่น ต้องมีห้องเครื่องยนต์ ต้องมีเกียร์ ต้องมีล้อเพื่อเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ต้องมีระบบช่วงล่างเพราะล้อต้องสัมผัสพื้น แต่ถ้ายังคงพัฒนารถไฟฟ้าต่อๆ ไป ยานพาหนะในอนาคตอาจจะไม่จำเป็นต้องยาว 4-5 เมตรเพื่อให้นั่งได้ 5-7 คนแบบปัจจุบันก็ได้ หรือหากมี AI พัฒนาพอที่จะสร้างยานพาหนะไร้คนขับได้ สามารถสื่อสารกับปลายทางสื่อสารกับยานพาหนะคันอื่นๆ ได้ และถ้าหากรถไฟฟ้าสามารถพัฒนาถึงขั้นล้อไม่ต้องสัมผัสพื้นได้ นักพัฒนาก็น่าจะสามารถสร้าง Solution อื่นๆ นอกเหนือจากข้อจำกัดของรถยนต์ในปัจจุบันได้ ถ้าถึงตอนนั้นรถยนต์ที่ต้องใช้ล้อยางวิ่งสัมผัสพื้นจะยังเป็นที่นิยมเหรอครับ
เมื่อข้อจำกัดหลายๆ อย่างหายไป นักพัฒนาอาจจะเพิ่มฟีเจอร์อีกหลายๆ อย่างเข้าไปได้ ซึ่งอาจจะยังไม่ใช่ความต้องการของคนยุคนี้ หรือคนในยุคนี้ก็ยังนึกความต้องการในอนาคตไม่ออก แต่เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นมาจนรถไฟฟ้าทำอะไรได้มากขึ้น ความต้องการของคนในอนาคตจะบอกเองว่ารถไฟฟ้าจะพัฒนาไปในทางใด
การนำระบบไฟฟ้าเข้ามาแทนเครื่องยนต์น้ำมัน ผมมองว่ามันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเท่านั้นเอง
ทั้งหมดทั้งปวงคือความเห็นส่วนตัว ผมอาจจะผิดก็ได้ แต่ถ้าเราถอยห่างออกมาไม่ได้มองแค่ว่ารถคือรถ แต่มองว่ารถคือ Solution ในการเคลื่อนที่คนและสิ่งของจากที่แห่งหนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ถ้าไม่ได้ยึดติดว่าต้องเป็นรถมีล้อยางวิ่งบนถนนแบบปัจจุบัน มันยังมีช่องทางในการพัฒนา Solution ในการเคลื่อนที่คนและสิ่งของได้อีกมากเลยนะครับ