ผู้เขียน หัวข้อ: มีใครแสบตาจากไฟเดย์ไทม์รันนิ่งกันบ้างครับ  (อ่าน 10126 ครั้ง)

ออฟไลน์ bravo

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,466
    • อีเมล์
Re: มีใครแสบตาจากไฟเดย์ไทม์รันนิ่งกันบ้างครับ
« ตอบกลับ #60 เมื่อ: เมษายน 01, 2021, 20:17:48 »
ผมว่ามันแสบตาเฉพาะตอนเช้ามืด กับตอนหัวคว่ำ ที่หลายๆคนเริ่มจะเปิดไฟหรี่ กันเเล้ว (เเต่บางคนไม่ยอมเปิดไฟหรี่ เปิด drl แทงตาคนอื่น)

ถ้าตอนสายๆ, บ่ายๆ, เย็นๆ ก้อกำลังดีครับ ไม่แสบตา เห็นรถชัดเจน

เเต่ผมว่า ถ้าตอนเที่ยงเลย , drl มองไม่ค่อยเห็นเลยนะ แสงแดดล้วนๆ ที่แทงตา

เห็นด้วยครับ
และบางคน ที่จอดติดเครื่อง ในตอนกลางคืน แต่ไม่เปิดไฟหรี่ เดย์ไลท์นี่แสบตามากคครับ

ออฟไลน์ Dubee

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,534
Re: มีใครแสบตาจากไฟเดย์ไทม์รันนิ่งกันบ้างครับ
« ตอบกลับ #61 เมื่อ: เมษายน 01, 2021, 21:50:44 »
ตรรกะคุณนี้แปลกๆนะ Day Time Running Light ชื่อก็บอกอยู่แล้วคือไฟตอนกลางวัน และความตั้งใจก็เพื่อให้ผู้ขับขี่คันอื่นๆมองเห็นรถในเวลากลางวันที่ไฟหน้าหลักยังไม่ทำงาน เช่นช่วงที่แสงมันแยงตา!! และไอ้ที่ว่าถ้าจำเป็นจริงๆต้องอยู่ในกฎหมาย อันนี้ผมเชื่อว่าในอนาคตมันต้องมีแน่นอน!


แปลกตรงไหนครับ DRL มันเป็นไฟวิ่งกลางวันเพื่อใช้ในประเทศที่มีสภาพอากาศเลวร้าย มีแสงสว่างน้อย จึงต้องการไฟในการช่วยบอกตำแหน่งหน้ารถในเวลากลางวันตลอดเวลา เพราะการใช้ไฟหรี่คนขับอาจลืมเปิดได้และการใช้ไฟน้ามันก็สิ้นเปลืองพลังงานเกินจำเป็นมากไป แต่ไม่ใช่สำหรับประเทศไทยที่แสงแดดเจิดจ้ามองเห็นรถคันอื่นได้ชัดเจนเกือบตลอดทั้งปี Function ที่บอกว่า "ตั้งใจก็เพื่อให้ผู้ขับขี่คันอื่นๆมองเห็นรถในเวลากลางวันที่ไฟหน้าหลักยังไม่ทำงาน" นั้นในประเทศไทยมันมีมานานแสนนานแล้วนั่นก็คือไฟหรี่หรือ Position Lamp หรือ Clearance Lamp

รอไปเถอะครับ กฏหมายที่เมื่อไหร่จะบัญญัติเพราะสำหรับประเทศไทยมันคือเครื่องประดับที่ไม่จำเป็น เหมือน Fog Lamp ที่มีมากี่สิบปีแล้วครับทุกวันนี้บัญญัติเป็นกฎหมายหรือยัง ด้วยเหตุผลเดียวกันนั่นแหละคือมันไม่จำเป็นสำหรับประเทศไทย

หากมีความพยายามจะบัญญัติกฎหมายฝ่ายที่จะออกมาค้านก็คือพวกบริษัทรถยนต์นั่นแหละ เพราะเปิดช่องไว้อย่างนี้คือจะไม่มีก็ได้หรือถ้ามีก็นำไปเป็นจุดขายได้ แต่ถ้ากฎหมายบัญญัติเมื่อไหร่มันคือการบังคับเพิ่มต้นทุนขึ้นทันทีเพราะต่อจากนั้นไปรถยนต์ที่ขายในประเทศไทยจะต้องมี DRL อยู่ในโคมไฟหน้าหรือแยกโคมออกมา แถมเมื่อกฎหมายบังคับให้ทุกคันมีก็ไม่สามารถนำมาเป็นจุดขายได้อีกต่อไปเพราะมันมีเหมือนๆกันหมด

สุดท้ายแล้วมันก็ต้องจบลงด้วยการให้ข้อมูลเป็นตัวเลขและมาตรฐานทางวิศวกรรมจากบริษัทรถและ Supplier ถึงพวกระดับสูงในกระทรวงคมนาคม (ที่ส่วนใหญ่มาจากสายโยธาไม่ใช่ยานยนต์) เมื่อเจอข้อมูลจากฝั่งค่ายรถโน้มน้าวเข้าไปก็ต้องเดินตามค่ายรถอยู่ดี

คือไม่ได้หาข้อมูลมาก่อนใช่ไหมครับว่า ไฟเดย์ไลท์ มีบัญญัติไว้ในกฏหมายไทยไว้ตั้งแต่ปี 2555 แล้วครับ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2555/E/139/48.PDF

ออฟไลน์ Boatcommando

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 100
Re: มีใครแสบตาจากไฟเดย์ไทม์รันนิ่งกันบ้างครับ
« ตอบกลับ #62 เมื่อ: เมษายน 01, 2021, 23:06:30 »
เวลาขับรถไม่แสบครับ เวลาเดินเคยแสบรอบหนึ่ง แต่มันเป็นจัวหวะที่รถขึ้นทางลาดแล้วไฟมันเข้าตาพอดี

ที่แสบจริงนี่ฟอร์จูนเน่อร์ครับ ไม่รู้คนออกแบบกะให้เอาไปส่องหาเอเลี่ยนบนดวงจันทร์หรือไง ฟอร์จูนเน่อร์อย่างเดียวก็แย่แล้ว หลังๆมีปาเจโร่มาท้าชิงอีก
Current Cars
1996 - Merc E200 (W124)  :-*
2022 - BMW 530e Elite (G30 LCI)

Past
2000 - Honda Civic (EK)
2003 - Honda Accord 2.0 (G7)  :-*
2015 - Honda Accord Hybrid (G9)  :-\

ออฟไลน์ deertesla

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,245
Re: มีใครแสบตาจากไฟเดย์ไทม์รันนิ่งกันบ้างครับ
« ตอบกลับ #63 เมื่อ: เมษายน 02, 2021, 02:54:13 »
เวลาขับรถไม่แสบครับ เวลาเดินเคยแสบรอบหนึ่ง แต่มันเป็นจัวหวะที่รถขึ้นทางลาดแล้วไฟมันเข้าตาพอดี

ที่แสบจริงนี่ฟอร์จูนเน่อร์ครับ ไม่รู้คนออกแบบกะให้เอาไปส่องหาเอเลี่ยนบนดวงจันทร์หรือไง ฟอร์จูนเน่อร์อย่างเดียวก็แย่แล้ว หลังๆมีปาเจโร่มาท้าชิงอีก
2รุ่นนี้น่าเอาระเบิดไปวางที่บ้านมากครับ

ออฟไลน์ hutchubang

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 29
Re: มีใครแสบตาจากไฟเดย์ไทม์รันนิ่งกันบ้างครับ
« ตอบกลับ #64 เมื่อ: เมษายน 02, 2021, 11:01:28 »
DRL รถสวนมา ไม่ค่อยเท่าไร ของ mazda เม็ดเดียวมันสว่างจนบางทีแอบเข้าใจผิดนึกว่าแสงสะท้อนโครเมี่ยม
จะแสบตามากกว่าถ้าขับตามคันข้างหน้า แล้วมุมกระจกหลังคันข้างหน้าสะท้อนกับแสงอาทิตย์พอดี

ออฟไลน์ no7749

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 99
Re: มีใครแสบตาจากไฟเดย์ไทม์รันนิ่งกันบ้างครับ
« ตอบกลับ #65 เมื่อ: เมษายน 02, 2021, 11:03:59 »
แสบตาไม่แสบตา ขึ้นอยู่ปัจจัยสองอย่างครับ

อยากแรก ค่าความสว่างของแส่ง ที่นับเป็น "lumen" และ ม่านตา "ความกว้างของม่านตารับแสง" ก็อารมณ์ค่ากล้องพวก F1.8 หรือ F11

อย่างแรกอยากที่เรารู้กันว่า ถ้าเราจะถ่ายรูปหรือออกไปด้านนอกแดดจัดๆ ค่า Lumen ไปที่ 50,000 ขึ้นไปเลยนะครับ ตาเราเลยปรับม่านตารับแสงเราให้เล็กลง ตีเป็น F11

สมมุติว่า ข้างนอกตอนเทียงส่วน 50,000 ฉะนั้น ค่าไฟ DRL ก็ควรจะมีมากกว่าเพื่อจะเด่นชัดออกมาเวลาขับกลางแดดจะได้เห็นหรือสังเกตุได้ง่าย

แล้วที่ร่มล่ะ ใน office ก็ประมาณแค่ 200-500 Lux ก็ทำงานได้ล่ะ ค่าสายตาเราลงปรับไปที่ F2.8, 3.5 หรืออะไรก็ว่าไปเพื่อที่จะรับแสงได้ดีมากขึ้น ถ้าสมมุติเอาไฟ DRL ที่ 50,000 มาเปิดในสถานที่ 200 ล่ะ... ก็จะสว่างจ้ามาก แล้วม่านตาเราปรับไม่ทันรับแสงเข้าไป จึงเกิดอาการแสบตาครับ

ฉะนั้น คนมีปัญหาเรื่องแสบตาบ่อยๆ อาจจะต้องไปตรวจตา หรือ ม่านตาด้วยนะครับ

ปล. ระหว่างผมเลือกว่า มี DRL หรือไม่  สำหรับผม มีเห็นรถได้ง่ายกว่าเวลาขับรถ หรือแม้กระทั่งที่จอดรถเองก็ด้วยการมี DRL นั้นบอกว่ารถคันนั้นพร้อมเคลื่อนไหวแล้ว คนรอบข้างก็ต้องระวัง ถึงแม้ไฟแม้งจะแสบตาโครต แต่ส่วนตัวผมชั่งน้ำหนักว่า มีดีกว่า เพราะว่าในด้านความปลอดภัยสำคัญกว่าแสบตาผม

ออฟไลน์ Winnie_The_Poom

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 496
    • อีเมล์
Re: มีใครแสบตาจากไฟเดย์ไทม์รันนิ่งกันบ้างครับ
« ตอบกลับ #66 เมื่อ: เมษายน 02, 2021, 12:37:20 »
ถ้าแบบมาตราฐาน ผมว่ามันเห็นชัดดี แต่ถ้าแบบพวกติดเอง ใช้ของไม่มีคุณภาพ มันจะจ้ากว่าเดิม แต่ก็ไม่รู้สึกว่ามันรบกวนสายตาอะไรมากมาย ขนาดกระจกรถผมติดแบบเน้นความสว่างมากๆ ผมไม่ค่อยชอบติดแบบทึบ ไม่ได้รู้สึกรบกวนสายตา แต่มองว่าเป็นข้อดี ทำให้มองเห็นง่าย เพราะรถสมัยนี้ขับเร็วมากๆ เจอบ่อยมาก พวกที่จู่ๆโผล่มา แซงด้วยความเร็ว ตกใจหลายครั้ง เพราะไม่มีอะไรให้เห็นเลยว่าระขับมาเร็วถึงไหนแล้ว แต่พอมีไฟให้เห็น ทำให้หลบได้ หรือกะระยะรถที่จะมาถึงได้ แต่พวกที่จ้ามากๆก็เคยกะผิดเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่ารถไกลมากแค่ไหน
เอาจริงๆพวกไฟหน้ารถโตโย หลายรุ่นเลย แสงจ้ามาก ไม่ค่อยชอบ พวกคนขับก็ชอบจี้ ชอบดัน ไม่รู้อะไรหนักหนา


ออฟไลน์ burst

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 331
Re: มีใครแสบตาจากไฟเดย์ไทม์รันนิ่งกันบ้างครับ
« ตอบกลับ #67 เมื่อ: เมษายน 04, 2021, 10:24:35 »
Daytime Running Light หรือ DRL มันไม่ควรมีในประเทศไทยเลยด้วยซ้ำ มันบังคับใช้อยู่ในประเทศที่สภาพอากาศแล้วร้าย กลาางวันสั้นในหน้าหนาวอย่างกลุ่ม Scandinavia, Iceland, Canada รวมไปถึงบาวรัฐในสหรัฐอเมริกา ในประเทศไทยไฟชนิดนี้ไม่จำเป็นเลยซักนิด

ที่มันบ้าจี้มาติดกันเป็นบ้าเป็นหลังก็เพราะมีรถยุโรปนำเข้ามีไฟนี้ติดมาด้วย พอคนอื่นเห็นเลยอยากเลียนแบบบ้างสุดท้ายกลายเป็นแฟชั่นอยากมี DRL เหมือนคนมีรถยุโรปไปจนค่ายรถในไทยต้องใส่เข้ามาเพิ่มมูลค่าด้วย

ขออนุญาตเห็นแย้งครับ ผมว่าโคตรจำเป็นเลยไฟเดย์ไลท์เนี่ย คุณลองไปขับรถแบบสวนเลนต่างจังหวัด ไฟเดย์ไลท์มีประโยชน์มากเลยครับเห็นรถที่สวนมามาแต่ไกลเลย

จริงครับ แต่ก่อนไม่ทันคิดว่ามันดี แต่มันช่วยให้เห็นรถได้ดีมากเลยนะครับ
ปกติรถน่ะเห็นไกลๆ เราไม่รู้ว่า จอดอยู่ หันหลัง หรือหันหน้า
DRL นี่ช่วยได้เยอะจริงๆ
แล้วก DRL แท้ๆนี่ไม่แยงตาเลยนะครับ ตอนกลางคืนก็ dim ลงเองด้วย (ไฟหน้าออโต้)
Toyota Soluna Vios MC 1.5 S '06 1NZFE
BMW 3-Series 320D LCI Sport line '16 B47D20
Nissan Navara NP300 VL 4WD '17 YD25DDTi