ORA Good Cat ค่าใช้จ่ายในภาพรวมทั้งหมด ถูกที่สุด
ถ้าใช้งานถึง 10 ปี ค่าไฟจากการชาร์จทั้งหมด ประมาณ 75,000-80,000 บาทครับ
ถูกกว่าค่าเติมน้ำมันของรถ Eco Cars ที่ใช้งานไปแล้ว 10 ปี ถึง 2 เท่า
ต่อให้ค่าบำรุงรักษา รถยนต์ไฟฟ้า Good Cat ถูกกว่ารถยนต์ Eco Cars
แต่ราคารถยนต์ไฟฟ้า Ora Good Cat แพงกว่ารถยนต์ Eco Cars อยู่ดี
สรุปคือ ยังไงก็ลงเอยไปที่รถยนต์ไฟฟ้าอยู่ดี เพราะไม่ปล่อยมลพิษเลย เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม สามารถชาร์จไฟที่บ้านได้ การบำรุงรักษาง่าย ไม่จุกจิกเหมือนรถ Eco Cars
ใครว่าไม่ปล่อยมลพิษกันครับ แต่มลพิษตอนวิ่งไปอยู่กับท่อโรงไฟฟ้าและการจัดการกับแบตเตอรี่ที่ไม่รู้ว่าจัรีไซเคิลได้ทั้งหมดมั้ย. กับขั้นตอนกาขุดเหมืองลิเที่ยมที่ทำลายธรรมชาติแและจ้างแรงงานมาถูกๆ อยากรักษ์โลกก็ต้องไปจักรยานและขนส่งสาธารณะครับ
อย่าลืมคิดค่าเสียเวลา รอชาร์จ เป็นชั่วโมงๆด้วยนะคับ ICE 5 นาทีต่อรอบ ส่วนEV ต่อให้ชาร์จแบบ DC ก็ต้องมี 30 นาที up บางทีอาจจะคุ้ม บางทีอาจจะไม่
อันนี้เห็นด้วยนะครับว่าสำคัญมากๆ
สมมุติว่าทุก 500 km ต้องเสียเวลารอชาร์จ 1 ชม. ถึงสองแสนโลมันเสียเวลาชีวิตเราไปตั้ง 400 ชม. เลย
ต่อให้มีจุดชาร์จทั่วประเทศมันก็ยังจำกัดระยะการเดินทางพอสมควร ถ้าขับรถไปกลับ กทม. - เชียงใหม่ แล้วต้องเสียเวลาเพิ่ม 2-3 ชม เป็นผมคิดหนักเหมือนกัน ยิ่งขับเร็วยิ่งต้องชาร์จถี่ ชาร์จนานขึ้นอีก
ยังไม่คิดว่าต้องรอคิวยาวรึป่าวด้วยนะครับ
ยังไม่หัวเสียเท่าวางแผนไว้แล้ว มาถึงที่ชาร์จปิดปรับปรุง ผมเจอมาแล้วตอนไปเที่ยวพังงา มีหัวชาร์จในปั้มแถวสุราษ เดินไปดูอ้าวเห้ย เสีย แล้วงี้คนที่เค้าวางแผนมาดีๆตามในแอพ เจอแบบนี้ไปทำไงหว่า
นั่นสิครับ เสียเวลานี่เอาคืนมาไม่ได้ครับ
2แสนโลประหยัดไป 3แสนบาท
โดยใช้รถราคาฐาน 1 ล้านอย่าง civic และ ora good cat
เมื่อถึงปีที่ 7 ราคามือ 2 ของ civic จะอยู่ที่ประมาณ 3แสน
หากคนใช้รถไฟฟ้ามีวินัยในการหยอดกระปุก ทุกๆเดือนหยอดให้ได้ซัก 4-5 พันที่ต้องเติมน้ำมัน ก็จะได้ประมาณ 4แสน(หากหักค่าไฟที่ต้องชาร์จ ก็จะได้พอๆกับ civic) ในระยะเวลา 7 ปี ถ้าขายเป็นซากได้ซัก 1 แสน ก็สามารถดาวน์รถคันใหม่ได้สบายๆ
ผมว่าเริ่มเข้าเค้าแล้วล่ะ จะใช้แล้วทิ้งก็ไม่น่ากลัวแล้ว
ถ้าออก good cat หรือ mg ev อีก 7 ปีข้างหน้า คงมีรถไฟฟ้าดีๆมาให้ใช้อีกเยอะ
ผมกลัวว่ามันจะพังจนไม่น่าใช้ก่อนที่จะถึง5ปีนะครับ
จริงพี่... เรื่องนี้ยังต้องรอการพิสูจน์ อีกเยอะ
เรื่องรถน้ำมันเราคุ้นกันแล้ว ใช้กันมานาน จนรู้ว่าอะไรจะอยู่ได้ประมาณไหน ซ่อมได้มั้ย ประมาณเท่าไหร่
แต่กับ EV เรายังรู้จักกับมันน้อยมากในเชิงการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าให้เทียบว่ามัน
คือเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างหนึ่ง ซึ่งบุคลิกของเจ้าเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปทุกคนคงพอรู้ คือบทมันจะไป
ก็ไปเลยนะ อย่างเมนบอร์ดพัง การ์ดพัง ชิปพัง ต่างจากพวกที่เป็น mechanics ที่มันจะเริ่มจาก
การสึกหรอ หลวมคลอน ส่งสัญญาณบอกเราก่อนน่ะครับ
นี่ยังไม่นับพวก software ระบบ OS ต่าง ๆ ที่ต้องพิสูจน์ความเสถียรอีก กว่าจะเข้าที่เข้าทางคงใช้เวลา
ในการพัฒนา เรียนรู้ และแก้ไขกันพอควรครับ
ใช่ครับ และยิ่งการ์ดบอร์ดชิปเหล่านี้อยู่ในราคาอะไหล่รถยนต์ที่ต้องเบิกศูนย์มันไม่ถูกเหมือนไปบ้านหม้อหรือไปร้านอุปกรณ์ไอทีเพื่อซื้อเมนบอร์ดด้วยครับ อากาศเมืองไทยร้อนชื้นด้วยยิ่งทำให้อุแกรณ์เหล่านี้อายุสั้นกว่าเมืองหนาวอากาศแห้งนะครับ. ใครว่ารถไฟฟ้าทนทานไม่พังง่าย คนนั้นมองตื้นไปครับ
ทราบว่ามีแบตเตอรี่แบบไหนที่สามารถ Recycle แล้วกลับมาใช้ใหม่นั้น มีหรือไม่ครับ
ที่รู้แน่ๆ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV นั้นจะเพิ่มขึ้นจากเดิม 20% ภายใน 10 ปีข้างหน้าครับ
มีที่รับทำลายและรีไซเคิลแต่รีไซเคิลได้กี่เปอร์เซนต์ของชิ้นส่วนขอบแบตก็ไม่รู้นะครับ
เรื่อง Carbon Footprint เขาคำนวณกันมาเยอะเเล้วครับ ไปหาดูได้ครับ
อันนี้คลิป สรุปสั้นๆ ถ้าขี้เกียจไปหา paper อ่าน (แต่คลิปนี้เขาเอา Tesla มาคำนวณ ซึ่งมันเป็นรถ Luxury มันใช้ทรัพยากรในการผลิตสูงมากอยู่เเล้ว ถ้าเอารถ EV บ้านๆ B-Segment ก็พอ ตัวเลขจะออกมาดีกว่านี้อีก) :
ยังไง EV มี Carbon Footprint ก็น้อยกว่ามากๆๆ เเล้วอีกอย่าง ไปฝากไอเสียไปไว้ที่ โรงไฟฟ้ายังไงก็ดีกว่า
1.) โรงไฟฟ้า Thermal Efficiency สูงมากๆๆๆๆๆๆๆๆ สูงกว่าสุดๆ (ไม่ต้อง Combined Cycle, แค่ Gas Turbine เปล่าๆ ก็สูงกว่ารถยนต์เครื่อง ICE 2-3 เท่าเเล้ว) ไม่รวมปัจจัยอื่นๆเช่น ไม่มีเผาน้ำมันทิ้งเล่นๆทิ้งตอน idle รถติด หรือตอนลากรอบเครื่องยนต์ในการใช้งานปกติ
2.) การควบคุมมลพิษ strict กว่ามาก , โดนกฎหมายคุมเคร่งกว่ามาก, และถูกควบคุมโดย Operator รฟฟ. (ไม่เหมือนชาวบ้าน เดี๋ยวก็ถอด Cat, เดี๋ยวก็อุด EGR, เดี๋ยวก็ควันดำ, เดี๋ยวก็ kick down, เดี๋ยวก็ลากรอบ โดยไม่จำเป็น)
3.) เมื่อมี technology ใหม่ๆ เช่น Molten Salt Nuclear, Solar, Wind, Hydro, Fuel Cell หรือเป็นเทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่ตอนนี้เรายังไม่ค้นพบ, etc. ก็จะได้เปลี่ยนที่โรงไฟฟ้าเลย ง่ายๆ ไม่ใช่ต้องมาเปลี่ยนให้รถทุกคัน, ให้รถทุกคันเป็น EV หมด เเล้วไปพัฒนาโรงไฟฟ้าเเทน
***ไม่ได้เชียร์ให้ซื้อรถ EV นะครับ, ผมรู้ว่ายังไง infrastructure ประเทศก็ยังไม่พร้อม, แท่นชาร์จไม่พอเเน่ๆกับประชากรทั้งประเทศ, กำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ MW ก็ยังไม่พอ, ไม่สะดวกใช้เเน่ๆ, เเล้วปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของ EV ตอนนี้ คือ น้ำหนัก (Energy Density ของไอ Li-ion นี่เเหละ) รถบรรทุกขนส่งจะหนักขนาดไหน
. รถกระบะจะหนักขนาดไหน
. รถบัสจะหนักขนาดไหน
ตอนนี้ ไม่พร้อมมากๆๆๆๆๆๆ แต่อนาคต ยังไงก็ต้อง EV
(ไปฝากความหวังกับโรงไฟฟ้า กับพวก scientist + engineer หานวัตกรรมใหม่ๆ ดีกว่ามาฝากความหวังไว้กับประชากรทุกคนบนโลก ที่ใช้รถ)***กระทู้นี้ผมเเค่คำนวณเล่นๆเฉยๆ ไม่ได้คิดจะซื้อ หรือเเนะนำให้คนอื่นซื้อ
เหตุผลเรื่อง Carbon Footprint ของ EV มันก็ไม่ต่างกับ ICE หรอกนะ <== อันนี้เหตุผลใช้ไม่ได้
แต่เหตุผลอื่นๆ ใช้ได้ 55