« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2021, 21:02:27 »
....เอาง่ายๆงี๊ครับ คุณจะได้เลือกใช้ตรงเครื่องดีเซลในรถรุ่นใหม่ของคุณ และคุณเลือกใช้มาตรฐานบ่งชี้คุณภาพของ API น่ะถูกต้อง เข้าใจง่ายกว่าอีกระบบ
- CI-4 ออกใช้ 2002
- CJ-4 ออกมาแทนต่อปี 2008 ทั้ง CI & CJ จำกัดให้ใช้งานกับเครื่องดีเซล ที่มี EGR นำไอพิษกลับ intake
วนขึ้นห้องสันดาปอีกครั้ง ถือว่าลด emission ระดับประถมได้หนึ่งชั้น
- CK-4 ออกมาแทนต่อในปี 2018 เพื่อรองรับขจัดไอเสียดีเซลที่ ยุโรป ( เช่น MB & BMW diesel ) ที่เปลี่ยนระบบเผาไหม้ไอพิษ เป็น DPF - Diesel Particulate Filter ผนวกอยู่ในยูนิตเดียวกับหม้อเผาไอพิษ ( Catalytic converter ออกเสียงสั้นกว่าอักษรเขียนว่า "แคดลิค คอนเวอร์เตอร์" ) เจ้า DPF เนี่ยปกติรับกรองไอเสีย 160-230 เซลเซียส กักเก็บไว้ใน strainer ตาข่ายรูจิ๋วมาก และหากเจ้าของรถเบ็นซ์ บีเอ็มดับบลิว ดีเซล ตั้งแต่ 2017 ขึ้นมา เติมแต่น้ำมันปาล์มดีเซลราคาถูกให้เขากินต่อเนื่อง เจ้า strainer รูจิ๋วนี้จะตัน วิ่งไม่ออก ยิ่งเค้น ไฟเตือนยิ่งโชว์ในเรือนไมล์ !! แต่หากให้เขากินของดี พรีเมี่ยมดีเซลมาตลอด ทุกๆ 50,000 kms. เจ้าอิเล็กทรอนิกส์ ECU timer ก็สั่งบูทส์เตอร์ใน DPF unit บูสอัพความร้อนในหม้อเผาไอพิษด้วยความร้อนสูง 700-900 เซลเซียส เผาทำลายละอองที่ strainer กักเก็บไว้จนเกลี้ยงสะอาด หมดจด ทั้งนี้ burning period ที่ ไทเมอร์สั่งงาน จะทำงานควบคูไปกับความเร็วรถที่วิ่งไม่ต่ำกว่า 80 kmh. โดยสั่งเผา on/off จนกว่าหมดละอองไอพิษ
** ดังนี้แล้ว ขอให้คุณจงเลือกใช้ทั้ง น้ำมันเครื่อง และน้ำมันดีเซล ให้ถูกต้องกับอุปกรณ์ที่ติดอยู่ในรุ่นรถของคุณ หรือจะใช้ตัวดีที่สุดก็ได้ แต่หากน้ำมันเต็มแก้วอยู่ก่อน ถึงคุณรินน้ำเพิ่ม มันก็จะล้นออกหมด เสียของ !