ผู้เขียน หัวข้อ: รถมีปัญหา วิธีการคิดของเรามันถูกต้องแล้วหรือ???  (อ่าน 6989 ครั้ง)

ออฟไลน์ YIM

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,015
  • ไม่น่ารัก เราไม่มอง!!
    • อีเมล์
ออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้ทำงานกับบริษัทรถยนต์แต่อย่างใด

ในปัจจุบัน ผู้ใช้รถหลายคนที่เจอปัญหา (หมายถึงปัญหา defect รายคัน ไม่ใช่ปัญหายก Class แบบเสียงต๊อกๆ ของรถยี่ห้อหนึ่ง หรือปัญหาคันเร่งค้างที่ USA) มักจะแสดงออกในแบบที่ว่า "กูเก็บเงินซื้อมาแทบตาย ทำไมกูต้องเจอรถที่มีปัญหา(วะ)" ซึ่งสิ่งที่ลูกค้าส่วนมากมักจะเรียกร้องก็คือ "ซื้อคืนเต็มราคา" หรือ "เปลี่ยนรถคันใหม่ฟรี" ซึ่งผมก็มั่นใจว่าไม่มีบริษัทไหนยอมแน่นอน

ผมเคยคุยกับช่างที่หนึ่ง ไม่ขอเอ่ยนามแล้วกัน เขาบอกผมได้ดีทีเดียวว่า "ไม่มีทางที่บริษัทแม่จะยอมซื้อรถคืนไปง่ายๆ หรอก" เพราะ

1. รถคันนั้น จะเอาไปทำอะไรละ ย้อมแมวขายไปก็เสียชื่อ เก็บไว้ก็เปลืองที่เก็บ ทำลายทิ้งก็เสียต้นทุน
2. รถที่เปลี่ยนให้ลูกค้าไป ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่า ลูกค้าจะไม่กลับมาโวยใหม่ เพราะบางทีรถอาจไม่มีปัญหา แต่ลูกค้าคิดไปเองหรือเปล่า

ทีนี้ผมกลับมาคิดอีกแง่

"สินค้าที่ defect 0% มีด้วยเหรอ??" เพราะผมเป็นเภสัช แม้แต่ยาที่คุณๆ กินเข้าไป จะมีปัญหารึเปล่า บางทีก็ยังมีบ้างเหมือนกัน เพราะ "ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ"

รถก็เช่นเดียวกัน ไม่มี Production Line ที่ไหนผลิตของได้ตรงเป๊ะๆ 100% หรอก เขาทำได้แค่ ทำให้ใกล้เคียง 100 เท่าันั้น ซึ่งมันก็อาจจะมี 0.0001 หลุดไปได้อยู่ดี คำถามคือลูกค้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อ 0.0001 นี้เลยหรือ (ก็คือการยอมหยวนๆ กับผู้ผลิต เป็นบางเรื่องไปนั่นเอง) 0.0001 นี้ ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องรับความเสี่ยงใดๆ โยนกลับไปให้บริษัทรถยนต์เจ็บตัวไปเลยก็ได้งั้นหรือ

มันเหมือนกับเรื่องหมอรักษาคนไข้ครับ จริงอยู่การรักษานั้นมีผลต่อชีวิต แต่แม้แต่หมอก็ทำสิ่งที่ผิดพลาดได้ตลอดเวลาครับ ง่วงนอน อารมณ์เสีย หรือเจ็บป่วย คนเรามันมีปัญหาได้ตลอดเวลาครับ บางทีผมก็คิดเหมือนกันนะครับ "ถ้าไม่สามารถยอมรับความผิดพลาดจากการรักษาได้เลย งั้นจะมารักษาทำไมกัน คนเรามันก็มีผิดพลาด มีไม่เต็มร้อยได้ทุกคนนั่นแหละ"

ซึ่งผมคิดในมุมกลับ "ถ้าไม่สามารถยอมรับความเสี่ยงในการซื้อรถได้แล้ว คุณจะซื้อรถทำไม???"

สรุปแล้ว ตรรกะเกี่ยวกับ "ความยุติธรรมต่อผู้บริโภค" มันอยู่ตรงไหน ผมก็ยังงงๆ
JDM เท่านั้น จะครองโลก!

ออฟไลน์ Yeahyeahs

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 856
บริษัทกำไรเป็นร้อยเป็นพันล้าน ถ้ารถมีdefectแค่0.001%จริง ซื้อคืนไม่เสียหายเลย กลับสร้างภาพลักษณ์ให้ดีขึ้นด้วยซ้ำ แต่ต้องตรวจสอบให้100%ว่าปัญหามาจากการผลิต ส่วนผู้บริโภคหาเงินแทบทั้งชีวิตแลกกับรถที่อาจพาไปตายได้ทุกเมื่อ

คุณว่าใครควรรับผิดชอบล่ะครับ?

การซื้อของทุกอย่างไม่ใช่ซื้อความเสี่ยง ซื้อของไม่ใช่เล่นหุ้น ไม่ใช่ซื้อลอตเตอรี่นะครับ สัญญาก็มีระบุชัดเจนว่าต้องได้อะไรบ้าง หลักฐานก็มีว่ารถspecเป็นอย่างไร มาตรฐานความปลอดภัยก็เป็นกฎหมาย ไม่ใช่ว่าโยนภาระให้ผู้บริโภค

การคิดแบบคุณมันเปรียบเทียบได้กับ การเดินซื้อของในตลาดอยู่ดีๆ มีผู้ร้ายวิ่งหนีตำรวจแล้วจะยิงปืนใส่ตำรวจแต่ดันพลาดไปโดนคุณ ถามว่าเขาตั้งใจฆ่าคุณไหม ตอบได้ว่าเปล่า ฉะนั้นคุณจะคิดไหมครับว่า "คนเราเกิดมามันก็เสี่ยงแล้ว ตายก็ตายฟรีๆไปละกัน โจรมันไม่ได้ตั้งใจนี่หว่า ของแบบนี้ผิดพลาดกันได้"

ถ้าในตัวอย่างที่คุณยกมา คุณทราบว่ายาที่ขายไปตัวไหนที่มีdefect ก็ควรจะไปแก้ไขครับ ไม่ใช่รู้แล้วปล่อยผ่านไป

ออฟไลน์ J!MMY

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15,628
    • www.headlightmag.com
    • อีเมล์
ค่อนข้างเห็นด้วย กับแนวคิดนี้ครับ
แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

ทุกคนเก็บเงินมาเหนื่อย กว่าจะได้เป็นเจ้าของรถสักคัน
คนทำรถยนต์ ทุกคน รู้เรื่องนี้ดี

แต่มีบางคนเท่านั้น ที่จำใส่ใจไว้ตลอด
ขณะที่อีกจำนวนมาก กลับปล่อยลอยผ่านไป

ใช่ บางเคส รถคันนี้ ปล่อยหลุดออกมาได้อย่างไร
ทำไมทำงานกันชุ่ยแบบนี้ โยนขี้โยนกลองกันแบบนี้ มีให้ด่าอยู่หลายกรณี

แต่บางครั้ง พอสืบสาวราวเรื่องให้ดี ตัวลูกค้าเองนั่นแหละ วิตกจริตบ้าบอเหลือเกิน
บางคน หนักกว่านั้น ไปฟังขี้ปากเขามา แล้วทำวางท่ารู้มาก อวดดี ใส่บริษัทรถเขาซะอย่างนั้น ก็เยอะอยู่! (นี่เอาหลายๆเคส มารวมๆกันเล่านะ ขอบอก)
สุดท้าย พอบริษัทรถชี้แจง ซึ่ง เมื่อฟังการชี้แจงแล้ว ก็มีเหตุผล และฟังข้น และถูกต้องตามหลักวิชาการเป๊ะ
ลูกค้า ก็ทำเป็นเฉไฉ ตะแบงท่าเดียว

ดาราในวงการบันเทิงบางคน ก็เคยมีเคสรถมีปัญหาแบบนี้ เมื่อกว่าสิบปีก่อน ถึงขั้น มีรายการออกโทรทัศน์ ประชันกันต่อหน้า
สุดท้าย ความจริง ก็คือความจริง หนีไม่พ้น ธาตุแท้ ของดาราคนนั้น ออกมา ก็มี ขอไม่พูดถึงว่าชื่ออะไร หรือเป็นใคร
เพราะเรื่องมันจบไปหมดแล้ว นานมากแล้ว จนรถรุ่นนั้นหมดอายุตลาดไปนานแล้ว

กรณีการซื้อคืน มีเกิดขึ้นจริง
แต่ ผู้ผลิตทุกราย ไม่อยากให้ลูกค้าคนอื่นรู้
เพราะไม่เช่นนั้น มันจะเกิดกระแสลัทธิ เอาตามอย่าง
อะไรนิดอะไรหน่อย ก็เรียกร้องให้เปลี่ยนรถใหม่ หรือซื้อคืน
ทั้งที่ บางปัญหาหนะ ซ่อมจบได้ง่ายมาก

อยากจะบอกกับผู้บริโภคทั้งหลายว่า
ขอให้การซื้อคืน เกิดขึ้น เฉพาะเมื่อ แก้ปัญหาเดิม ไม่จบ 3-4 ครั้ง
หรือ แก้ปัญหาเดิมเสร็จปุ๊บ ปัญหาใหม่โผล่ขึ้นมา อีก 1-2 เรื่อง
หรือขับๆไป เจอเรื่องเกิดขึ้นมาในระดับที่คิดว่าน่าจะรุนแรง

หรือพูดง่ายๆ การดีลกับองค์กรใหญ่ๆหนะนะ
ขอให้เขาได้ทำตาม ขั้นตอนการแก้ปัญหาของเขา ตาม Policy ของเขาก่อน
อย่างตรงไปตรงมา จริงใจ ไม่มีใครอยากจะทะเลาะกับลูกค้าหรอกครับ

ไม่ใช่ว่า เอะอะ ปุ๊บ พรมเป็นขุยง่าย ขอเปลี่ยนรถคันใหม่ ขอให้ซื้อคืน! (มีนะ ไม่ใช่ไม่มี เคสนี้มีจริงๆ!)
ไอ้แบบนี้ อย่ามาปรึษาผมเลยนะ จะด่าซ้ำเข้าให้ด้วย ว่า เฮ้ย บ้าหรือเปล่า มากไปหรือเปล่า


อย่าพยายามคิดว่า ลูกค้าคือพระเจ้า กูจะทำอะไร กูต้องเอาให้ได้เสมอไป
เพราะ คำว่า พระเจ้า กับ เจ้าโลก มันใกล้กันมาก เหลือเกิน...

และอย่าคิดว่า บริษัทรถยนต์ ต้องเป็น มารร้าย มันรวย กูต้องเอาให้มันเจ๊งให้ได้
อันนี้ ก็ทุเรศเกินไปครับ เป็นวิธีคิดที่ผมว่า ปัญญาอ่อนไปหน่อย
เพราะบริษัทรถยนต์ อาจจะเสียชื่อเสียง ไปนาน ด้วยเคสของคุณ
แต่เขาจะไม่มีวันเจ๊ง ถ้าไม่ใช่ว่า บริหารงานจนเจ๊งเอง เสียอย่าง

บอกตรงๆ เจอมาตลอด 7 ปีมานี้ หลายเคสมาก ที่จบดี จบแบบเข้าใจ บริษัทรถผิดจริง
ยอมซื้อรถคืนไปก็มี และจบแบบ มองหน้ากันไม่ติดทุกฝ่ายก็มี และที่หนักกว่านั้น จบแบบ โอละพ่อ ก็มีหลายเคส

ไอ้คนที่พยายามจะช่วยดีลปัญหาให้ อย่างผมหนะ เหนื่อยหวะครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 23, 2010, 00:17:10 โดย J!MMY »

ออฟไลน์ YIM

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,015
  • ไม่น่ารัก เราไม่มอง!!
    • อีเมล์
คำถามคือ การที่เกิดปัญหาแล้ว ลูกค้าทำท่าแบบไล่บี้บริษัทรถยนต์แบบ "มึงพลาดแล้ว เสร็จกูละ กูจะเอาให้เละเลย" ประเภท Sue จนรวย ผมมองว่าเรื่องแบบนี้น่ากลัวครับ อาจจะยังไม่เกิดในเมืองไทยเท่าไร แต่ถ้าเป็นวงการแพทย์ เรื่องแบบนี้ ผมเห็นมาหลายรายแล้วครับ เดี๋ยวนี้มีทนายไปหางานใต้โรงพยาบาล เป็นเรื่องปกติเลยครับ ประเภท ใครส่งลูกมารักษา แล้วตาย ไอ้พวกนี้ยุเลย "ฟ้องไหมครับ งานนี้ต้องฟ้องไหมครับ ชะชะช่า"

ผมก็ไม่ใช่ประเภทที่ว่า จะยอมบริษัทรถยนต์หรอกครับ ถ้ารถเกิด defect แต่ว่า ถ้าปัญหาที่เกิดขึ้น มันไม่ก่อความไม่ปลอดภัย และแก้ไขได้ ก็แก้ๆ ไปเถอะ เพราะผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่า รถที่ขอเปลี่ยนจะไม่มี defect

ณ เวลานี้ ผมกลัวเมืองไทยจะเป็นแบบ US ครับ ประเภทกาแฟลวกนิ้ว แล้วไปฟ้อง Mc ว่ากาแฟร้อนเกินไป

ทุกวันนี้ ผมก็ยังเกลียด Ralph Nader อยู่ ที่ว่า รถวางเครื่องหลังอันตราย

"รถมันอันตราย หรือคนขับขับไม่เป็น??" (ผมก็ขับไม่เป็น เพราะที่บ้านไม่มี 911 ฮ่าๆๆๆ)

ผมไม่ได้บอกว่า ให้เรายอมผู้ขาย หรือผู้ให้บริการ แต่ประเด็นคือ บางเรื่องที่มันไม่หนักหนาเนี่ย มันจะยอมกันไม่ได้เชียวหรือ

ขอเปลี่ยนรถทั้งคัน เพราะมีรอยขนแมว หรือหลอดไฟขาด สงสัยสักวันคงจะมีแบบนี้

แม้กระทั่งปัญหาที่หนักๆ อย่าง หลังคารั่วเนี่ย ถ้าสมมุติว่ามันซ่อมหายเนี่ย มันยังจำเป็นต้องเปลี่ยนรถใหม่หรือไม่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ
JDM เท่านั้น จะครองโลก!

ออฟไลน์ 6162002

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,089
อืมก็ถูกครับ แต่ประเด็นคือรถที่มีปัญหามันไม่ใช่0.0001%นี่สิ ผมว่ามันมากกว่านั้น แต่ก็อย่างว่า บางเรื่องมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ลูกค้าบางคนก็ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่
เรื่องหมอนี่ พอผมอ่านการ์ตูนหมอเยอะๆแล้ว ผมรู้สึกครับว่า การจะมาอ้างว่าเหนื่อย ง่วงนอน ทำไม่ได้ เพราะคุณต้องดูแลตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่สมควรจะมาเป็นผู้ที่จะรับผิดชอบชีวิตคนอื่นครับ ยกเว้นจะไม่เห็นค่าของชีวิต งานหมอหนักก็จริง แต่สิ่งที่หมอได้รับกลับมันก็มากกว่าอาชีพอื่นครับ ทั้งเกียรติ ความนับถือ เงิน ที่สำคัญคือ ความรู้สึกได้ช่วยชีวิตคนอื่นของหมอเองครับ

ออฟไลน์ YIM

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,015
  • ไม่น่ารัก เราไม่มอง!!
    • อีเมล์
อืมก็ถูกครับ แต่ประเด็นคือรถที่มีปัญหามันไม่ใช่0.0001%นี่สิ ผมว่ามันมากกว่านั้น แต่ก็อย่างว่า บางเรื่องมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ลูกค้าบางคนก็ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่
เรื่องหมอนี่ พอผมอ่านการ์ตูนหมอเยอะๆแล้ว ผมรู้สึกครับว่า การจะมาอ้างว่าเหนื่อย ง่วงนอน ทำไม่ได้ เพราะคุณต้องดูแลตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่สมควรจะมาเป็นผู้ที่จะรับผิดชอบชีวิตคนอื่นครับ ยกเว้นจะไม่เห็นค่าของชีวิต งานหมอหนักก็จริง แต่สิ่งที่หมอได้รับกลับมันก็มากกว่าอาชีพอื่นครับ ทั้งเกียรติ ความนับถือ เงิน ที่สำคัญคือ ความรู้สึกได้ช่วยชีวิตคนอื่นของหมอเองครับ

ผมเข้าใจครับ ว่าคนเราไม่สามารถมีข้ออ้างกับงานที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนเช่นนี้ได้ แต่อย่างไรก็ดีครับ หมอก็ยังเป็นคนครับ มีกิเลส และตัณหาไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนโลกใบนี้ และแน่นอน ก็เหมือนกับผู้บริหารบริษัทรถยนต์นั่นแหละ การที่เราไปคาดหวังกับผู้ประกอบอาชีพหนึ่งๆ ว่าจะต้องทำงานได้สมบูรณ์แบบ มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ใช้อารมณ์ส่วนตัว มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ

แต่ในความเป็นจริง คนเราตัดสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่

ผมไม่ได้สนับสนุนให้คนชั่วลอยนวลครับ หมอที่เลี้ยงไข้คนไข้ เพื่อจะรับประทานค่ายา หรือทำยอดให้กับ detail ที่ตัวเองชอบ มันก็มีจริงครับ

แต่กับความผิดพลาดที่เกิดจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ หรือควบคุมได้ยากละ แล้วถ้าแก้ไขได้ละ จะอภัยกันไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ??

แล้วค่าเสียหายที่เราเรียกร้อง เราวัดมาจากอะไร หรือ "เอาให้ได้มากที่สุด เท่าที่เป็นไปได้"
ผมมองว่าถ้าคิดกันแบบนั้น ผู้เสียหาย ก็ไม่ได้ดีไปกว่าผู้ให้บริการเลย เพราะสิ่งที่ผู้เสียหายต้องการคือความยุติธรรม ถ้าผู้เสียหาย ต้องการจะเอาชนะเมื่อไร ผมก็ไม่คิดว่าคนๆ นั้นเป็นผู้เสียหายแล้ว แต่เป็นเพียง "ผู้เล่น" เท่านั้นครับ
JDM เท่านั้น จะครองโลก!

ออฟไลน์ Pan Paitoonpong

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,457
  • Long live M/T
สินค้าที่ Defect 0% มีด้วยหรือ

ผมว่ามี

ไข่ไก่ไง..ถ้านับเป็น Unit นะ
แต่เรื่องชวนผวาคือไข่ไก่มีแต่ Defect 0% กับ Defect 100% ไม่มีการบอกว่าไข่แดงเสีย แดกไข่ขาวได้ครับ
เสียคือเสียทั้งฟอง ผ่านคือผ่านทั้งฟอง

แต่รถยนต์ไม่ใช่ไข่ ทั้งความซับซ้อนและความแพงของราคาทำให้อารมณ์ที่ถูกกระชากเวลามีปัญหานั้นรุนแรงกว่า
และด้วยจำนวนชิ้นส่วนที่มากหลายพันชิ้น ผมคิดว่ามันจะมี Defect สักชิ้นนึงก็ไม่แปลกอะไร

ปัญหามันต้องเกิด ต้องมี แน่นอน ไม่ว่าเกิดขึ้นที่ตัวรถหรือเกิดขึ้นที่จิตของลูกค้า
เพราะผมอยู่ในอาชีพบริการ ผมทราบดีว่าในหลายเคสที่ลูกค้าแทบจะฆ่าผมตายนั้น หลายครั้งเป็นความ
เลินเล่อของลูกค้าเองที่ไม่ศึกษารายละเอียดให้ดีเสียก่อน แต่อาชีพบริการนี้บ้าบอดีอย่างนึงคือถ้าลูกค้าผิดน่ะไม่เป็นไน
แต่ถ้าเราผิด ลูกค้าแทบจะถอดรองเท้าตบกบาลเราได้เลย

ทีนี้ธุรกิจรถยนต์ก็มีความเหมือนกัน ดังนั้นความยุติธรรมกับผู้บริโภคอยู่ตรงไหน ก็ต้องเอาผู้บริโภควางข้างนึง
ผู้ผลิตรถยนต์วางอีกข้าง แล้วดูรายละเอียดจากตรงกลาง

ประการแรก คือการวัดจากสิ่งที่เป็นลายลักษณ์อักษร

หลายปีมาแล้ว ดีลเลอร์ Honda ที่นครสวรรค์นำรถ CR-V เวอร์ชั่นต่ำกว่ามาติดตั้งอุปกรณ์เองและขายเป็นรุ่นสูง ในราคาที่เท่ากับรุ่นสูง
ลายลักษณ์อักษรมันอยู่ตรงที่ว่าตอนขายระบุว่าให้ลูกค้าได้รุ่นสูงไป แต่ตัวเองเอารถรุ่นต่ำมาขายใ้ห้เขาแถมมีเนียนหลอกด้วย
เลขตัวถังกับโค้ดควบคุมการผลิตสามารถบ่งบอกได้ว่า Honda นครสวรรค์ตกลงกับลูกค้าอีกอย่าง แต่เอารถอีกอย่างมาให้ลูกค้า
ซึ่งหลักฐานผูกมัดได้ด้วยลายลักษณ์อักษร เช่นการระบุรุ่น กับราคาค่าตัวแค่นี้ก็รู้แล้วว่าแอบมีเนียน

หรืออย่างเคสล่าสุดกับ Mazda 2 Sedan รุ่น Spirit ที่มีการระบุว่าใช้ช่วงล่างแบบสปอร์ต แต่อันที่จริงกลายเป็นว่าลูกค้าได้ช่วงล่าง
แบบธรรมดา อันนี้ก็ต้องไปดูว่าในโบรชัวร์มีประโยคอมตะอย่าง "ทางบริษัทสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโดยมิต้อง
แจ้งให้ทราบล่วงหน้า"หรือเปล่า ถ้าไม่มี..จบ และต่อให้มี การนำเอาประโยคนี้มาใช้งัดข้อกับลูกค้า ผลร้ายจะเกิดกับแบรนด์มากกว่า
ดังนั้นลายลักษณ์อักษรแจ้งลูกค้าเอาไว้ว่าอย่างไร ก็ต้องเป็นไปตามนั้น

เรื่องพวกนี้สำคัญมาก..ไม่งั้นคุณคงไม่เห็นหรอกว่า Honda เวลาระบุรายชื่ออุปกรณ์ในโบรชัวร์ คุณจะเห็นคำว่า "เบาะนั่งบุด้วยหนังแท้
และวัสดุหนังสังเคราะห์" เพราะถ้าขืนเขียนว่าหนังแท้ แต่ลูกค้าเฉือนหนังไปวิจัยแล้วพบว่าเป็นหนังเทียม ..บริษัทเดือดร้อน ดิ้นไปหลุด


ประการที่สอง วัดจากมาตรฐานเฉลี่ยของรถแต่ละรุ่นในการผลิต

"รถรุ่นนี้มันก็เป็นอย่างนี้แหละครับ"
เคยเจอไหมกับประโยคคลาสสิคที่ช่างปากบอนชอบพูดโดยไม่มีเหตุผลอื่นใดที่น่าฟัง ซึ่งผมมักจะตอบกลับอย่างสุภาพ
ว่า แหม ผมดีใจเหลือเกินที่ได้รู้ว่าบริษัททีุ่คุณรับซ่อมให้เขาอยู่เนี่ยมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าในการผลิตรถให้ห่วย
ไม่ใช่ห่วยแค่คันเดียว แต่ยังห่วยในเรื่องเดียวกันได้ทุกคันอีกด้วย

อย่างรถผม..พวงมาลัยหมุนแล้วดังปุกปัก และเป็นอาการที่ Tiida ก่อนไมเนอร์เชนจ์เป็นกันทุกคัน
ถึงแม้จะเถียงได้ว่าไม่ใช่สิ่งที่รถปกติพึงมี เพราะรถทั่วไปไม่เป็นกัน แต่รถคันอื่นออกมาเป็นกันทุกคันหมด
ทำใ้ห้ด่าได้ไม่เต็มปากเต็มคำ เพราะว่ากันตามตรง หากรถเป็นกันเสียทุกคันอย่างนั้น ผมก็มีส่วนที่จะต้อง
รับผิดชอบความเสี่ยงในการตัดสินใจซื้อ เพราะมีโอกาสในการทำวิจัยก่อนซื้อรถตั้ง 2 ปี แต่ทั้งที่มีคนโพสท์
ให้ทราบกันถ้วนหน้าว่ามีปัญหากับพวงมาลัย แล้วซื้อมาเพื่อบอกว่า "รับไม่ได้" มันถูกต้องหรือเปล่ากับ
เรื่องที่เราทราบอยู่แก่ใจ

แต่..

อย่างปัญหากับการติดฟิล์มรถผม ซึ่งฝั่งคนนั่งเป็นรอยจุดมากมาย แต่ฝั่งคนขับไม่มีปัญหา ของอย่างนี้
เกิดจากการตัดเอาฟิล์มท้ายๆม้วนมาใช้ ซึ่งเป็นการขี้เหนียวไม่เข้าเรื่อง ผมบากหน้าไปที่ศูนย์
แล้วไปดูรถแต่ละคันที่ออกมาจากศูนย์ว่าเจอปัญหาเดียวกับผมหรือเปล่า ถ้ามีผมคันเดียวที่มีปัญหา
บริษัทไม่สามารถพูดได้ว่า "ฟิล์มยี่ห้อนี้มันก็เป็นแบบนี้" ถือว่าผมจ่ายเงินเท่าคนอื่น
แต่ไม่ได้รับในสิ่งที่ดีเท่าคนอื่นอย่างชัดเจน รวมถึงวิสัยของฟิล์มติดกระจก ย่อมไม่มีใครอยากทำให้มัน
ขุ่น มัวหรือมองยาก เพราะขัดต่อความปลอดภัยอย่างชัดเจน เมื่อเราเสียเปรียบขนาดนี้ จึงต้องเรียกร้องสิทธิ์
ซึ่งก็โชคดีว่าศูนย์นัดผมเปลี่ยนวันเสาร์ถัดมาเลย

นอกจากนี้ที่ต้องบอกว่าวัดด้วยมาตรฐานเฉลี่ยจากรถรุ่นเดียวกัน เพราะลูกค้าที่ขาดความเข้าใจนั้นมีตัวตนจริง
สมมติว่าลูกค้าซื้อ Honda Jazz มาคันนึงแล้วไม่ชอบ เหตุผลเพราะเสียงเข้ารถมากผิดปกติ
ช่วงล่างแข็งผิดปกติ และระยะห่างคอนโซลด้านซ้ายและขวาไม่เท่ากัน แต่ปรากฏว่าพอเอารถไปวิ่ง
ก็พบว่าเหมือน Jazz คันอื่นๆทุกประการ มารู้เอาตอนหลังว่าลูกค้าไม่เคยใช้รถญี่ปุ่น และรถคันปัจจุบัน
มีแต่ Audi กับ Benz ก็เลยรู้สึกว่า Jazz เป็นรถที่ผิดปกติ...อย่าขำ ..ไม่ใช่ว่าเคสแบบนี้ไม่เคยมี..

ประการที่สาม การวัดบนพื้นฐานความปลอดภัยของชีวิต

ข้อนี้คือข้อที่สำคัญที่สุด เพราะหลายครั้งถูกใช้ในทางที่ถูก แต่บางครั้งผู้บริโภคเองก็ตลก
ชอบพูดให้เวอร์ราวกับมีดบาดนิ้วแล้วตายคาที่

ในยุค 70s Ford เคยทำรถรุ่น Pinto ซึ่งมีถังน้ำมันติดตั้งอยู่ด้านหลังรถ มีสิ่งที่เป็นคานเล็กๆ
อันเดียวที่กั้นเอาไว้ ผลก็คือ Pinto หลายคันที่ถูกชนท้าย เกิดถังน้ำมันรั่วและลุกติดไฟ
เคสที่บัดซบที่สุดคือมีคนตาย หรือบางคนที่รอดออกมาได้แต่ต้องเป็นพยานเห็นอีกคนหนึ่ง
ที่ติดอยู่ในรถถูกไฟคลอกตายไปต่อหน้าต่อตาก็มี

และการสนองตอบของ Ford ในการแก้ปัญหาก็ช้ามาก บางที่เขียนไว้ด้วยซ้ำว่า Ford ได้
ประเมินแล้วว่าค่าใช้จ่ายในการชดเชยผู้เคราะห์ร้ายโดยรวมแล้วถูกกว่าการ recall Pinto
กลับเข้ามาแก้ไขปัญหาใหม่ทั้งหมด ผมไม่ได้เกิดทันยุคนั้น และไม่มีหลักฐานเป็นกระดาษ
พิสูจน์อยู่กับมือ แต่ถ้าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องจริง แล้วมาเกิดขึ้นใน พ.ศ.แห่ง twitter กับ facebook
แบรนด์นี้จะไม่เหลือแม้แต่ซากให้ดูแน่นอน

เรื่องแบบนี้เป็นความยุติธรรมที่สมควรแก่การเรียกร้อง นั่นก็คือการออกแบบรถโดยมีส่วนใดส่วนหนึ่ง
ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีอันตรายถึงชีวิตและไม่ดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง และส่งผลให้ตัวรถนั้น
มีความปลอดภัยต่ำกว่ารถรุ่นอื่นในระดับราคาเดียวกันอย่างไม่ต้องสืบ แถมอาจทำให้คนตายได้


ทั้งนี้ต้องไม่รวมถึงการที่ลุกค้านำเอารถไปใช้แบบผิดวัตถุประสงค์ ไม่ใช่ว่าเอา Tiida ไปวิ่งลงอินทนนท์
ด้วยความเร็ว 140 แล้วเบรคเกิดร้อน แล้วเบรคไม่อยู่ แหกโค้งไปทับคนตาย จะมาฟ้องว่า Tiida
ไม่ยุติธรรมกับผู้บริโภคไม่ได้ เพราะทางลาดชัน ไม่ใช่ที่ที่ควรขับรถเร็ว ความเร็วขนาดนั้น
ก็เกินกฏหมายไปตั้งเท่าไหร่แล้ว เป็นความประมาท และถ้าไม่ว่ากันที่หัวข้อนี้ ก็ลองหันกลับไปดู
ว่ารถที่มาจากระดับราคาใกล้กัน มีรถคันไหนในตลาดบ้างที่อัดลงเขาด้วยเบรคโรงงานแล้วรอด..ไม่มี!


ดังนั้นคืนนี้ผมคิดออกแค่ 3 อย่างนี้ แต่ถ้าให้พูดกันทีละเคสในชีวิตจริง รับรองไม่จบ



- Nissan Tiida บ้านๆ/NX Coupe/AE111/190E1.8

ออฟไลน์ 6162002

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,089

ผมเข้าใจครับ ว่าคนเราไม่สามารถมีข้ออ้างกับงานที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนเช่นนี้ได้ แต่อย่างไรก็ดีครับ หมอก็ยังเป็นคนครับ มีกิเลส และตัณหาไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนโลกใบนี้ และแน่นอน ก็เหมือนกับผู้บริหารบริษัทรถยนต์นั่นแหละ การที่เราไปคาดหวังกับผู้ประกอบอาชีพหนึ่งๆ ว่าจะต้องทำงานได้สมบูรณ์แบบ มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ใช้อารมณ์ส่วนตัว มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ

แต่ในความเป็นจริง คนเราตัดสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่

ผมไม่ได้สนับสนุนให้คนชั่วลอยนวลครับ หมอที่เลี้ยงไข้คนไข้ เพื่อจะรับประทานค่ายา หรือทำยอดให้กับ detail ที่ตัวเองชอบ มันก็มีจริงครับ

แต่กับความผิดพลาดที่เกิดจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ หรือควบคุมได้ยากละ แล้วถ้าแก้ไขได้ละ จะอภัยกันไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ??

แล้วค่าเสียหายที่เราเรียกร้อง เราวัดมาจากอะไร หรือ "เอาให้ได้มากที่สุด เท่าที่เป็นไปได้"
ผมมองว่าถ้าคิดกันแบบนั้น ผู้เสียหาย ก็ไม่ได้ดีไปกว่าผู้ให้บริการเลย เพราะสิ่งที่ผู้เสียหายต้องการคือความยุติธรรม ถ้าผู้เสียหาย ต้องการจะเอาชนะเมื่อไร ผมก็ไม่คิดว่าคนๆ นั้นเป็นผู้เสียหายแล้ว แต่เป็นเพียง "ผู้เล่น" เท่านั้นครับ
ครับ นั้นผมเห็นด้วยค่อนข้างเกือบทั้งหมดครับ แค่อยากจะสื่อเฉยๆว่าเราคงเอา ช่างคนกับช่างรถ ไปเทียบกันไม่ได้ เพราะเขาแบกความรับผิดชอบค่อนข้างต่างกันน่ะครับ ยังไงเราคงกลัวหมอเลวกันมากกว่าช่างเลวอยู่แล้วแหละครับ
เรื่องการเรียกร้องนี่ บางคนพูดยังไงก็ไม่เข้าใจครับ แต่คนที่เข้าใจก็ัยังมี
คงได้แต่หวังว่ากระทู้นี้จะทำให้คนที่เข้ามาอ่าน บางคนที่ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ เปลี่ยนความคิดไปได้ครับ

ออฟไลน์ Yeahyeahs

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 856
ที่ว่าค่าเสียหายวัดจากอะไร
ผมว่าศาลเขามีดุลพินิจที่ดีอยู่แล้วครับ

แต่ความเห็นส่วนตัว สมมติเบรคพังจากความผิดพลาดด้านการผลิต
กรณีนี้ผมว่าถึงชีวิต ค่าเสียหายน่าจะเท่ากับค่าเสียหายถ้าเกิดเหตุแล้วเสียชีวิต+ค่าใช้จ่ายระหว่างรอซ่อม+ค่าทำขวัญครับ

โอเคบริษัทรถก็อ้างได้ว่าไม่สามารถควบคุมให้ไม่มีdefectได้100% แต่QCปล่อยผ่านมาแล้ว แปลว่าบริษัทก็พร้อมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดจากรถที่ตนเองผลิตออกมาแล้วครับ ดังนั้น อ้างได้ แต่จ่ายด้วยครับ

แต่ถ้ากรณีแบบ เบาะหนังส่งกลิ่นสาบ แล้วเป็นอยู่คันเดียว อันนี้ค่าเสียหายน่าจะเท่ากับ เบาะใหม่ยกชุด+ค่าใช้จ่ายระหว่างรอเปลี่ยน(ค่าtaxi ฯลฯ)+ค่ารักษา+ค่าทำขวัญ(ถ้ากรณีที่กลิ่นเกิดจากสารเคมีที่อาจะเป็นพิษต่อร่างกายได้)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 23, 2010, 02:18:17 โดย wazgod »

ออฟไลน์ J!MMY

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15,628
    • www.headlightmag.com
    • อีเมล์
ครับ ถูก

แต่ ลูกค้าบางกลุ่มไม่คิดแบบนั้น
ต้องการเคลมรถใหม่ "ทั้งคัน"

แบบนี้ ทำไงดี?

ผมเองก็จนปัญญาเหมือนกันกับลูกค้าในลักษณะดังกล่าว

ออฟไลน์ Yeahyeahs

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 856
บางทีผมก็คิดว่าผมเข้าใจคนที่ต้องการเปลี่ยนใหม่ทั้งคันนะครับ
ถ้าเป็นชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับความปลอดภัย ยังไงคำว่า"รถใหม่"ก็ให้ความรู้สึกดีและปลอดภัยกว่า"รถซ่อม"น่ะครับ เป็นเรื่องของจิตใจมากกว่า แต่ยังไงใครจะไปรู้ว่าการซ่อมน่ะ ซ่อมยังไง ใช้อะไหล่จากไหนมาซ่อม ซ่อมหรือเปลี่ยน แล้วการที่ช่างเปลี่ยนให้จะสู้ประกอบมาตั้งแต่ที่โรงงานเลยได้จริงหรอ คำถามพวกนี้ยังไงก็เกิดครับ

แต่ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆเช่น เบาะส่งกลิ่น กระจกดังหรือตกร่อง ยางขอบประตูเสื่อม อันนี้ถ้าจะเคลมทั้งคันผมว่ายากหน่อย แต่ยังไงก็คิดว่ามีสิทธิ์จะเคลม เพราะอย่างที่บอกครับ ถ้าQCคุณให้ผ่านมา ก็แปลว่าคุณพร้อมจะรับผิดชอบทุกกรณี เหมือนซื้อคอมน่ะครับ จ่ายสามหมื่นเท่ากัน เครื่องนึงสมบูรณ์ อีกเครื่องนึงมีdead pixelหนึ่งจุด จะเลือกเครื่องไหน ทั้งที่ความจริงแล้วแทบไม่เห็นความแตกต่าง แล้วถ้าสมมติได้เครื่องที่มีdead pixelมา แล้วบริษัทบอก เดี๋ยวไปซ่อมให้ ก็ต้องถามอีกว่า ซื้อราคาเท่าเครื่องใหม่ ทำไมต้องซ่อม(ฟะ) 

แต่ผมว่า กรณีที่คนต้องการเคลมทั้งคันจากเรื่องเล็กๆพวกนี้มีน้อยอ่ะครับ แล้วถ้ามี บริษัทชดเชยเป็นตัวเงินให้น่าจะจบ ที่ว่าชดเชยเป็นตัวเงินไม่ใช่ว่า เบาะหนังส่งกลิ่นก็เปลี่ยนเบาะให้ แต่น่าจะเป็นเปลี่ยนเบาะให้และชดเชยเงินเป็นส่วนลดให้อีกซักจำนวนหนึ่งจากการที่ผู้บริโภคต้องเสียความรู้สึกกับรถมือหนึ่งที่ต้องซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ตั้งแต่ซื้อมาแรกๆ(รวมถึงที่ต้องทนใช้มาซักพักก่อนเข้ามาเคลมทั้งที่ไม่ใช่ความผิดผู้บริโภคเลย)


ออฟไลน์ BBOnLY

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,235
    • เพจวิศวะท่องโลกการเงิน
ผมขอตอบในมุมแบบทั่วๆไปละกันครับ จริงๆในหลายๆเคสที่เกิดขึ้นมันก็เกิดจากความชุ่ยหรือความผิดพลาดในการผลิต ซึ่งแน่นอนว่าเกิดขึ้นจริงๆ การผลิตแบบ mass production มันไม่สามารถคุมให้ทุกอย่าง perfect 100% ได้หรอครับ

แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า deflect ที่เราเจอหน่ะ เป็นเรื่องที่ซ่อมทีเดียวแล้ว "จบ" หรือเปล่า หรือซ่อมแล้วมี deflect อะไรตามมาอีกมั๊ย เป็นเหตุที่เกิดจากตัวชิ้นส่วนหรือความผิดพลาดของผู้ประกอบ/ช่าง

อีกประเด็นก็คือมันเป็น deflect จริงๆของตัวรถนั้นๆ คันนั้นๆ รุ่นนั้นๆ หรือเป็น "อุปทาน" ของเจ้าของรถ กันแน่ หรือว่ามันเกิดจากการใช้งานที่ "ผิดประเภท" อัดหนักเกินเหตุหรือเปล่า กรณีแบบนี้ก็มีนะครับ เอารถกระบะไปขนของหนักเกือบ สามตันเป็นประจำ!!! แบบนี้ไม่ถึงสองปีแชสซีส์ลาโลกก่อนละครับ แบบนี้จะโวยวายผู้ผลิตว่าทำรถห่วยก็ไม่ได้เพราะพี่ท่านเล่นซะขนาดนี้ รถเทพที่ไหนก็พังครับ!!!!

สรุปแล้วต้องดูว่า deflect ที่เจอเนี่ย มันเกิดจากอะไรกันแน่ มันผิดมาจากโรงงาน ดีลเลอร์ หรือตัวเราเอง ต่อมาก็คือดูว่าซ่อมจบมั๊ย ถ้าซ่อมจบแล้วจะเจออะไรอีกหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบว่าซ่อมไปครั้งนึง ไม่หายแถมยังมีอาการอื่นๆตามมาอีกแล้วซ่อมไม่หายซะที แบบนี้มันก็น่าซื้อคืนครับ แต่ถ้าจบเลยครั้งเดียว ผมว่าซ่อมมันจะดีกว่านะ...

บางทีผมว่าการใช้สิทธิ์ของคนไทยเนี่ย เราถูกสอนให้ใช้สิทธิ์เต็มที่ แต่กลับไม่สอนให้รู้ว่าขอบเขตมันอยู่ที่ตรงไหน อย่างไร หรือว่าจะต้องกำหนดเป็นกฎออกมาถึงจะเข้าใจกัน?

ผมขอตั้งคำถามแบบนี้ละครับ

ที่สำคัญที่สุด "ไม่มีวิศวกรคนใดที่ถูกสอนมาให้ทำงานแบบชุ่ยๆและไร้ความรับผิดชอบ" ครับ...
ติดตามเพจ "วิศวะท่องโลกการเงิน" ได้นะครับ

https://www.facebook.com/engineerinsidefinanceworld

ให้ #แอดบอยดูแล ได้ครับ

ออฟไลน์ FyGI

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,308
ผมว่าเรื่องนี้คุยกันยังงัยก็คงหาบทสรุปค่อนข้างยาก

ถ้ามีลูกค้าที่คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า กับบริษัทรถที่คิดว่าตูเป็นเทพ มาเจอกันคงฮาละงานนี้



สำหรับผม ตัวอย่างที่ ผู้การแพน ยกมามีคล้ายๆ ของผม 1 เคส

ซึ่งตัวผม ณ จุดๆ นี้ถือว่าทำใจยอมรับมันได้แล้ว ทางบริษัทฯ

ก็คิดแนวทางแก้ปัญหาถึงแม้ว่ามันจะดูบ้านๆ ไปหน่อย แต่ใครมามองแว้บแรก

ก็ต้องคิดแก้ปัญหาแบบนี้เหมือนกัน

แต่แบบชนิดที่ว่า เจอความผิดพลาดแบบนี้

ตั้งแต่เริ่มผลิต จนหมดอายุตลาด Model นั้นๆ ก็ไม่ไหวนะครับ

ในตัว ไมเนอร์เชนจ์ ควรจะมีการแก้ไขได้แล้ว

ออฟไลน์ old_emu

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 8
บอกตรงๆว่ามีใบขับขี่มาปีนี้ก็ครบยี่สิบเจ็ดปีพอดี...เปลี่ยนรถไปแล้วหกคัน คันสุดท้ายอยู่ด้วยกันสิบปีแล้ว...บอกตรงๆว่ามีความสุขกับทุกคัน ทุกวันที่ขับ...ผมอาจจะโชคดีที่รถไม่ค่อยมีปัญหา (แต่...ศูนย์บริการห่วยเยอะ) เคยนั่งรถไปกับเพื่อน (ผมว่ามันประสาท...หน่อยๆ) มันจะเงี่ยหูฟังเสียงนั้นเสียงนี้  หาว่าวันนี้รถเป็นอะไรหรือเปล่า อดสงสัยไม่ได้ว่ารถหรือคนที่มีปัญหา ผมว่า defect รถ 1% ยังพอรับได้ เพราะรถคันนึงกว่าจะหลุดจากสายพานการผลิตมาได้เจอช่างประกอบสักห้าสิบได้มั๊ง ยังไม่คิดถึงระหว่างการผลิตแต่ละชิ้นส่วนว่ามี defect ในตัวเองมากน้อยแค่ไหน สองอย่างนี้รวมกันก็คาดว่ามีปัญหากันทุกคน ผมเองอาจไม่ได้คิดมากเพราะลำพังตัวเองจะให้ทำอะไรถูกสัก 90 % ต่อวันยังยากทั้งๆที่เราเป็นคนควบคุมเองแท้ๆ

ออฟไลน์ YIM

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,015
  • ไม่น่ารัก เราไม่มอง!!
    • อีเมล์
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ

ก็หวังว่าเราจะอยู่ในสังคมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันต่อไป อย่าให้เป็นแบบ "กาแฟลวกมือ ร้านผิด เพราะกาแฟร้อนเกินไปเลย"

แต่ทั้งนี้ และทั้งนั้น สคบ. ทำงานด้วยครับ อย่าปล่อยให้่ NGO เคลื่อนไหวกันเอง มันมั่ว!!!!
JDM เท่านั้น จะครองโลก!

ออฟไลน์ prai

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,154
ผมว่าตรงจุดไหน ที่มันเกิดการผิดพลาดก็ควรแก้ไขตรงจุดนั้นให้ลูกค้าไป
ไม่ใช่ให้ซื้อคืน หรือ ไม่ทำอะไรให้ลูกค้าเลย


อย่าง Volvo XC90 ควันขาวนั้น(ขอพลาดพิง)
ถ้าเป็นผมนั่นเหรอ ไม่ดับเครื่องหรอก
เพราะรถอยู่ในวารันตี มันจะพังก็พังเรื่องของมัน
ดับเรื่องแล้วเป็นไง ช่างบอกเป็นทุกคัน
ก็ไปทั้งควันขาว ปล่อยเทอร์โบพัง ปล่อยพัง
ยังไงเขาก็ต้องเปลี่ยนให้ เพราะรถเกิดจากการผิดพลาดทางการผลิต



ผมว่ารถยุคนี้เน้นแต่ กำลังในการผลิต จนลืมคิดถึง คุณภาพของสินค้า
ยังไงคุณก็ผิดอยู่ดีแหล่ะ

ออฟไลน์ J!MMY

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15,628
    • www.headlightmag.com
    • อีเมล์
เฮ้อ..........

ออฟไลน์ Dark Overlord

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,804
  • Hail to the darkside
เราคงอธิบายให้ลูกค้าทุกคน ให้เข้าใจเหมือนกันไม่ได้นะครับ 
ซึ่ง part มีเป็นพันๆ ชิ้น อาจจะมี defect เกิดขึ้นได้บ้าง
หลายๆ คนไม่ต้องการเป็นผู้โชคดี ที่เจอรถ defect และรับไม่ได้
กับตรงนั้น เพราะรถไม่ใช่ราคาถูกๆ เค้ามองรถเป็นรถทั้งคัน ไม่ได้
มองเป็น part หลายๆ ชิ้น มาประกอบเป็นรถหนึ่งคัน

ทางแก้ไข มีอยู่ทางเดียวคือ บริษัทจะต้องฝึกฝนพนักงาน
ให้ดีๆ ต้องมี action ที่เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาให้ลูกค้า
อย่างละเอียดอ่่่่่อนที่สุด หากปัญหารถมีความเรื้อรัง ยิ่งต้องระมัดระวัง
การกระทำของตัวบริษัทรถเองขึ้นไปอีกขั้น ตอนที่ Toyota ก่อตั้งตอน
แรกๆ รถของ Toyota เสียไม่เว้นแต่ละวัน จนหนังสือพิมพ์ลงข่าวรายวัน
ว่า "รถของ Toyota เสียอีกแล้ว" แต่สิ่งที่น่าชื่นชมในเวลานั้นก็คือ
ประธานบริษัทและทีมหัวหน้าวิศวกร ไปหาลูกค้าและไปช่วยกันดูกันซ่อม
ถึงที่ การเปลี่ยนรถไม่ใช่การแก้ปัญหาสำหรับรถที่มี defect แต่ การปฏิบัติ
ต่อลูกค้าอย่างถูกต้องคือหัวใจสำคัญ ที่จะทำให้ลูกค้ายอมรับความตั้งใจ
ในการแก้ไขปัญหาของบริษัทรถ และสามารถทำให้ยอมรับและไว้ใจ ที่จะ
ใช้รถของบริษัทที่ซ่อมแล้วได้อย่างสบายใจต่อไป

ออฟไลน์ apinui

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,954
    • อีเมล์
มันก็มองได้หลายอย่างเนอะ อยู่ที่ใครพอใจตรงไหนมากกว่านะ .....

อย่างบางคน คิดว่า ถ้ารถมี defect ได้ .... เราลูกค้า มี defect เงินด้วยได้ไหม ... เช่น งวดสุดท้ายไม่จ่าย เพราะเครมบ่อย อะไรแบบเนี้ย ..... ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ได้ ... รถมี defect ได้(ในความคิดหลายๆท่าน) แต่เงินต้องจ่ายเต็ม ..... ถูกไหม ... ??

ผมว่า อยู่ที่ความรับผิดชอบของศูนย์บริการมากกว่า ที่จะสร้างความยอมรับใน defect ได้ ...เช่น

ผมใช้ กระับะยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง ใช้มาได้ 6 ปีและ ... 1-3ปีแรกแน่นอน รถก็มี defect เหมือนกัน ...แต่ สิ่งที่ทำให้ผมรับได้คือ ... "เค้ารับเครมทุกกรณี" ไม่ถามไม่ซักประวัติ ไม่มีวิ่งหาอาการเลย .... บอกไอ้นั่นเสีย ไอ้นีีเสีย พี่ท่านจับเปลี่ยนให้ทันที ไม่มีงอแง แถมไม่ต้องรออะไหล่ด้วย .....  อันนี้เป็นการสร้างความพอใจให้กับผมเป็นอันมาก .....

เราเสียเวลามาเครมแล้ว ถ้าจะมาเครมมาแจ้งปัญหา พอมาถึงแล้วช่างบอกไม่มีอาการ หรือ เอารถเราไปวิ่งแล้วกลับมาบอกไม่เจออาการ แบบนี้เราก็ไม่ happy แน่ๆ ..... แต่พอเราขับกลับบ้าน มันก็ยังเป็นอยู่ ...... (ผมว่าหลายๆคนเป็นนะ)

ฉะนั้น ..ผมว่า defect มีได้ แต่รับผิดชอบยังไงดีกว่า ....

เพิ่มเติม .. .นี่แหละ ที่เป็นตัวบ่งบอกของยี่ห้อดัง กับไม่ดัง การบริการหลังการขายของสินค้าที่มี defect ที่ต่างกัน ... บริษัทดังๆยอดขายเยอะ แต่บริการดีเครมให้หมด ... แต่ บริษัท ที่ยอดขายน้อยๆ อันดับ 4ลงไป เสียยังไง ก็ต้องมีข้อแม้ มีถาม มีอ้าง ..... มันเลยแย่อยู่อย่างนั้น ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 25, 2010, 10:29:02 โดย apinui »

ออฟไลน์ wiszard

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 165
สรุปคือ... case by case ล่ะกันครับ

ออฟไลน์ boykung

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,174
  • ตอนเด็กๆ โคตรอยากเป็นจีบันเลย
มันก็ต้องขึ้นอยู่กับจรรยาบรรณทั้งผู้ซื้อผู้ขายแหละครับ

เพราะผู้ผลิตย่อมไม่อยากให้มีการเกิด defect ขึ้น แต่ถ้ามีการเกิดขึ้นผู้ผลิตก็ต้องพร้อมยอมรับและแก้ไขในสิ่งที่เกิดขึ้น
Hyundai Grand Starex 2012
Kia Rio 2013
Volvo XC60 D4 Hybrid with Engine Oil 2013
Mercedes Benz S300Hybrid AMG 2014
BMW 420D Coupe M Sport 2016