คือ มันต้องแยกประเด็นครับ
ไม่ว่าบริษัทจะซื้อรถประเภทไหน ในทางบัญชีและภาษี สามารถซื้อและเป็นค่าใช้จ่ายได้
แต่เกณฑ์ของสภาวิชาชีพและกรมสรรพากรจะต่างกันในบางจุดครับ
1) สภาวิชาชีพ - โดยปกติ การซื้อรถทั้งแบบเช่าซื้อและแบบลีสซิ่ง หลายปีมานี้ สภาจะให้บันทึกทรัพย์สินและเจ้าหนี้เช่าซื้อทั้งก้อนครับ พร้อมทั้งคิดค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ยตามปกติ
2) สรรพากร - กรณีเป็นรถที่มีที่นั่งน้อยกว่า 10 ที่นั่ง หรือที่เรียกว่ารถเก๋ง
การเช่าซื้อปกติ จะลงค่าใช้จ่ายในนามของบริษัทได้ โดยคำนวณค่าเสื่อมราคา ซึ่งมาจากราคารถบวกดอกเบี้ย รวมกันจะหักเป็นค่าเสื่อมราคาได้ในส่วนที่ไม่เกิน 1 ล้านแรกครับ สมมติ รถเก๋งราคา 950,000 รวมดอกเบี้ยเป็น 1,050,000 บาท กรณีแบบนี้ทางภาษีก็จะให้ใช้ค่าใช้จ่ายปีละไม่เกิน 200,000 บาท กรือรวม 5 ปีไม่เกิน 1 ล้านบาทครับ
การเช่าซื้อแบบลีสซิ่ง จะลงเป็นค่าใช้จ่ายได้ไม่เกินเดือนละ 36,000 บาท (รวมแวท) หรือปีละ 432,000 บาท หลังจากผ่อนครบ 5 ปี ก็นำมาบันทึกเป็นทรัพย์สินและคิดค่าเสื่อมได้อีกปีละ 200,000 บาท รวมอีก 5 ปี
หากมองแค่นี้ เหมือนลีสซิ่งจะดีกว่านะครับ แต่โดยส่วนตัว ผมจะบอกลูกค้าว่าซื้อธรรมดาเถอะ ลีสซิ่งดอกโคตรแพง หักลบออกมาไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เพราะส่วนใหญ่ใช้รถกันแค่ 5 ปีก็ขายแล้ว