ถึงกับต้อง Login เข้ามาตอบเลย ผมเป็นผู้ใช้งานที่ขาย CX-30 มาซื้อ Civic eHEV เมื่อปีที่แล้วถ้าให้เปรียบเทียบกับระหว่าง 2 รุ่นนี้
1.เรื่องของวัสดุที่นำมาตกแต่งและงานประกอบ ใน CX-30 จะมีการใช้ Piano Black หลายส่วนและมีหลายจุดเป็นรอยง่ายเช่นหน้าปัทม์ ทำให้เราต้องติดกันรอยตั้งแต่ออก ภาพรวมไปทางหรูด้วยวัสดุที่นำมาใช้งาน ส่วนงานประกอบจริงๆแล้ว ส่วนตัวผมคิดว่ามันไม่ได้ต่างกับญี่ปุ่นตัวอื่นๆขนาดนั้น สุดท้ายมันก็มีเสียงก็อกๆ แก๊กๆ ที่แผลกระตู จอกลาง และในคอนโซลหน้า ผมก็มารื้อหาเองเพราะศูนย์แก้ให้ไม่ได้ ส่วนที่เด่นแน่ๆ คือการเก็บเสียงครับ มันประเสริฐมากๆ อันนี้คือเรื่องเดียวที่ผมยังรักน้องเสียงจากพื้นเงียบมาก เสียงจากส่วนบนก็เงียบต้องเกิน 130 ขึ้นไปถึงจะเริ่มได้ยินเสียงลม ส่วนใน Civic ก็ตามสไตล์ Honda ครับ มันไม่ได้แย่นะครับ แต่แค่ไม่ได้ออกหรู มันออกแนววัสดุที่ดูเป็นรอยได้ยากกว่า แต่ก็เช่นกันทำให้ดูไม่ได้หรูเท่า เหมือนใช้งานทุกๆ วันได้ดีไม่ต้องคิดไรมาก หรือถนอมมันมาก ไม่ต้องค่อยระวังเป็นรอยอะไรมาก ส่วนเรื่องเก็บเสียงคือตามสไตล์ Honda เลยครับ ในตัว eHEV ได้ ANC มาทำให้ภาพรวมมันไม่ได้ดังมาก ยังมีความเงียบอยู่ไม่ถึงกับรำคาญเสียงข้างๆรอบรถ แต่จากพื้นเนี่ยดังจริงๆ ไม่เข้าใจ Honda ว่าทำไมที่บอกว่าพ่อกันเสียงแล้วแต่ก็ยังดัง จริงๆรถ Honda ก็มีวัสดุที่เป็นเหมือนกำมะหยี่ลดเสียงที่พื้นทั้งคันเลยนะครับ รวมถึงซุ้มล้อหลังด้วย แต่ก็ยังถึงว่าดังกว่าที่ควรจะเป็น
2.เรื่องของพื้นที่ห้องโดยสาร แถวหน้าไม่ได้แคบ แต่ก็ไม่ได้กว้างมากความสูงเบาะนั้นต่ำสุดยังสูงสบายๆ แต่อาจไม่ได้สูงเท่าพวก Crossover รุ่นอื่น เพราะตัวหลังคามันลาดต่ำกว่า แต่ส่วนของเบาะแถวหลังนั้นนั่งค่อนข้างชัน และแอบเมื่อยเวลานั่งนานๆ ที่วางขาพอดีไม่ได้แคบแต่ก็ไม่ได้กว้างแน่ๆ และที่สำคัญแอร์มันไม่ค่อยเย็นครับ ถ้าจะให้เย็นลมก็จะเสียงดังมากยกเว้นจะยกเลิก Auto ปรับเอง ส่วนใน Civic แน่นอนครับมันกว้างกว่าในทุกมิติที่พักขากว้างกว่าเยอะ แต่ด้วยทรงรถซีดาน และ Honda ก็ยังต้องการให้ Head Room เหลือ เบาะนั่งมันเลยต่ำมาก อันนี้ต้องพิจารณาไปลองนั่งส่วนตัวผมชอบนั่งขับรถแบบนอนขับ555 เลยไม่มีปัญหา ส่วนฝั่งคนนั่งผมเลยไปเสริมความสูงที่เขาทำกันในคลับครับ ส่วนเรื่องแอร์ด้วยความที่มันเป็นรถ Hybrid ทำให้คอมแอร์เป็นไฟฟ้า เย็นเร็วและต่อเนื่องกว่าและเสียงลมแอร์เบากว่ากันเยอะเลย
3.เรื่องเทคโนโลยีความปลอดภัย แน่นอนว่ามาสด้าจัดเต็มทุกอย่าง MRCC, Parking Sensor, BSM, RTCA และกล้อง AVM ยกเว้นที่ MRCC ในไทยคือโดนกั้ก Stop and Go ซึ่งก็มีคนปลดได้แล้วในคลับ แต่ก็ยังไม่เนียนเท่าจากที่ผมเคยใช้ของทั้ง CX-5 และ CX-30 รวมถึงการใช้ Radar ทำให้ไม่สามารถจับรถแทรกเข้ามา ในขณะที่ Honda จอมกั้ก มาพร้อม LaneWatch และ Honda Sensing เรื่องนี้ผมขอแยกเป็นแต่ละประเด็น
ส่วนแรก Adaptive Cruise Controls ส่วนตัวผมรู้สึกว่า Honda พัฒนาเทคโนโลยี Image Processing มาได้โหดมาก ถึงจะโดนว่าลดต้นทุน แต่ในมุมมองด้านเทคโนโลยี การทำให้กล้องจับระยะลึกตื้นได้จะต้องมี Dynamic Calibration Distance ที่เก่งพอตัว ซึ่งเขาทำได้จริงๆ รเพราะทุกอย่างทำงานด้วยกล้องมุมกว้างเพียงตัวเดียว แต่สามารถตรวจจับและควบคุมพวงมาลัยได้เนียน สมูทกว่าหลายๆ ยี้ห้อที่ผมใช้เช่น CX-30, CX-5, C-HR, Good cat , Yaris Ativ และอีกอย่างเลยที่ผมชอบคือการจับรถที่จะแทรกเข้ามา หรือแม้กระทั่งการเปิดไฟเลี้ยวขณะที่ใช้ ACC อยู่ รถมันจะไปจับรถเลนฝั่งที่เราเปิดไปเลี้ยวพร้อมเร่งเครื่องออกไปทำให้ไม่เสียจังหว่ะ อันนี้ส่วนตัวคิดว่าเป็นประโยชน์ของเลนส์มุมกว้างเลยครับ แต่แน่นอนด้วยการที่ถูดลดต้นทุนเอาเรดาร์ออก (Accord มี) มันก็อาจจะไม่สามารถทำงานได้เมื่อมีอะไรมาปิดบังกล้อง (จากการใช้จริงยังไม่เคยเจออาการเพี้ยน ยกเว้นฝนตกแบบเราเองยังขับรถไปต่อแทบไม่ได้อยู่ 1 ครั้ง และพบว่ารถที่มีเรดาร์ส่วนใหญ่ก็จะหยุดทำงานเหมือนกันครับ)
ส่วน BSM อันนี้ผมมองเป็น 2 ส่วนครับคือแน่นอนมียังไงก็ย่อมดีกว่าไม่มี แต่ด้วยความที่ผมขับรถและมองกระจกตลอด พอใช้รถที่มี BSM ไปนานๆ จนชินในเมืองที่รถมอเตอร์ไซค์คับคั่ง ผมกลับเพิกเฉยต่อสัญญาเตือน เพราะมันเตือนแทบจะตลอดเวลา ส่วนกล้องส่องผี หรือ Lanewatch ที่เขาว่ากัน ผมกลับชอบตรงที่ว่ามันทำให้เรามองเห็นได้จริงๆว่ามีอะไรอยู่ แน่นอนภาพมันห่วยครับ555 แต่มันยังไม่เท่าใน City/HR-V ก็เลยคิดว่ามันยังพอใช้งานได้ ติดที่แค่มันมาข้างเดียว ส่วนเรื่องที่คนบอกรำคาญมันขึ้นจอเวลาดูแผนที่ผมกดปิดเองที่หัวก้านไฟเลี้ยวครับ และอีกอย่างคือกล้องรอบคันไม่มี เซนเซอร์รอบคันไม่มี ผมเห็นด้วยที่จะโดนด่าแต่ก็ยังซื้อ เพราะผมเองขับรถมาหลายปีแล้วชินกับการกะระยะได้เอง เลยไม่ได้ติดเพิ่มครับ
4.เรื่องการขับขี่เครื่องยนต์ และอัตราสิ้นเปลือง ต่างกันแน่นอนครับเพราะ CX-30 ยังเป็น NA ไม่มีเทอร์โบ เป็น 2.0 ที่มีกำลังอัดสูงหน่อยคู่กับเกียร์ 6 Speed ถ้าใช้งานทั่วไปไม่ได้เจอรถติดมันสมูทดีครับ แต่ถ้าเจอรถติดจะมีกระตุกช่วงเกียร์ 1-2 บ้างเพราะลากรอบขึ้นลงบ่อย บางทีผมก็ตบ Peddle Shift เองให้รถขึ้นเกียร์ 2-3 ไป กำลังมันเหลือๆครับ ไม่ได้แรงที่สุด แต่ไม่อืดแน่ๆ ขับสนุกประมาณหนึ่งด้วยการที่มันลากเกียร์เองได้ แต่เครื่องแบบนี้แน่นอนครับอัตราสิ้นเปลืองในเมืองผมขับอยู่ชั้นในเลยได้ที่ 9-12 Km/lนอกเมืองผมเคยปั่นๆได้ 17-19Km/l แต่ขับช้านะครับไม่เกิน 80-90km/hr อันนี้พยายามไปเรื่อยๆ ออกตัวไม่กระชากแล้ว ส่วนช่วงล่างมันไม่ได้ดีสำหรับทุกคนทั่วไปครับ ด้วยความที่มาสด้าโดยปกติจะมีคาแรคเตอร์ช่วงล่างที่ต้องแน่นหนึบมันก็จะมีความแข็งอยู่โดยเฉพาะรุ่นซีดานอย่างมาสด้า 3 พอมาเป็น Crossover แบบกระเดี๊ยดมาทางรถนั่งมากขึ้น ก็ต้องให้ตัวมากขึ้นนุ่มขึ้น กลายเป็นมันนุ่มดีดๆ และเวลาผ่านลูกระนาดแรงๆ คือโช็คกระแทกดังปั้กกเลยครับ ผมเอาไปเปลี่ยนยางเป็น Primacy 4 ดีขึ้นแต่ไม่หายตึงตังถ้ามาเร็วๆ โยนตัวไม่มากแต่ภาพรวมคือนั่งไม่ได้สบายมากครับเทียบกับ CHR ผมอีกคันคือคนละโลก สรุปมันดีทางเรียบ และทางตรง ทางดาวอังคารอุกาบาทใน กทม ประเทศไทยคือสะเทือนถึงตับ
ส่วนใน Civic แน่นอนครับผมยกให้มันเป็นเครื่องยนต์ Hybrid ที่มีเทคโนโลยีค่อนข้างดีและมี Efficiency ดีตัวหนึ่งที่วางขายในโลกตอนนี้เลยครับ การขับขี่ในเมือง 99% มันทำงานแบบ e-Power ครับ คือเครื่องยนต์ชาร์ทไปเขาแบตและจ่ายไฟไปยังมอเตอร์ ในขณะที่เมื่อออกถนนที่ได้ความเร็วนิ่งๆ มันจะตัดชุดส่งกำลังจากเครื่องลงล้อด้วยอัตราทด Over drive พร้อมกับแรงที่เหลือก็ปั่นไฟเข้าเก็บในแบตอีกทำให้แทบไม่สูญเสียน้ำมันที่ติดขึ้นมาเลย ทำให้ความกำลังความแรง Honda นับที่ Motor Traction อย่างเดียวคือ 184 แรงม้า หมายความว่าจริงๆมันเหมือนเราขับรถ EV ที่มีคาแรคเตอร์คันเร่งแบบรถน้ำมันครับ ส่วนเรื่องอัตราสิ้นเปลือง ในเมืองผมได้ 18-22 Km/l ส่วนนอกเมืองถ้าขับ 90-110 ผมทำได้ 24-27Km/l แบบไม่ต้องพยายามเลยครับ ส่วนช่วงล่างมันคือ Honda Next-Gen ครับ นุ่ม หนึบ เกาะดีกว่ารุ่นเก่าๆ เยอะมาก Body Roll ก็น้อยลง ความเร็วสูงแบบคนทั่วไปไม่เกิน 120-140 มันยังนิ่งได้แบบไม่น่ากลัวครับ ซับแรงสะเทือนดีคนนั่งสบายทุกจุด
และเรื่องของปัญหาประจำรุ่น ทางฝั่ง Mazda ก็จะเป็นจุกจิกเช่น กระจกข้างไม่พับ กั้นชนหน้าปริแตกเอง แบตหมดง่ายโดยเฉพาะเมื่อไม่ล็อครถ และโช้คหลังรั่ว ปั้มแรงดันสูง สุดท้ายคือผมเจอเองคือน้ำมันเครื่องหาย ก็เริ่มมีให้เห็นกันในกลุ่มครับ, ส่วนทางฝั่ง Honda ก็จะเป็นเรื่องของ แร๊คพวงมาลัยเจ้าเก่าเจ้าเดิมลากมาตั้งแต่ Civic FC จนตอนนี้เห็นว่าลามไป CR-V , HR-V Accord ตัวล่าสุดก็มา ผมเองก็หวังว่าจะมีพาร์ทแก้กันสักทีเพราะเป็นทั้งโลกเลย เพราะทาง US ก็เริ่มกดดันให้ Honda แก้ปัญหาเรื่องนี้
ยังไงลองพิจารณาดูความระหว่างความชอบ กับ เหตุผล ส่วนตัวผมถึงแม้จะใช้ทั้งสององค์ประกอบนี้มาตัดสิน ก็ยังไม่เสียใจที่เลือกทั้งคู่มาใช้ครับ แต่สุดท้ายเรื่องค่าใช้จ่ายต่อเดือน รวมถึงศูนย์บริการที่ทาง Mazda ทยอยปิดตัวลง ผมเลยตัดสินใจปล่อยไป