การจูนเครื่อง คือการปลดลิมิตของเครื่องยนต์ ที่มันสามารถทำได้อยู่แล้ว ???

apinui

วันนี้มีเรื่องเล่าชาวสันดาป ให้ได้ปวดหัวและถกเถียงในสังคม ลุงและวัยรุ่นรถคันแรกคุยกันในลานจอดรถอีกแล้วครับ

เข้าเรื่องเลยละกัน ... เมื่อหลายวันก่อน รุ่นน้องที่ทำงาน ชวนปรึกษาว่า จะเอา Civic 1.5T ไปจูนสำนักไหนดี สัก 200 แรงม้า

ผมถาม ... จูนอย่างเดียวหรือทำอย่างอื่นเพิ่มด้วย ..

น้องบอก จูนอย่างเดียว อาจเปลี่ยนปลายท่อ และกรองอากาศด้วย

ผมบอก ถ้าใส่ 2 อย่างนี้ก็แรงขึ้นแล้วไม่ต้องไปจูนมันหรอก รถอายุสั้นเปล่าๆ ...

เท่านั้นละครับ คำถามมา

- มันอายุสั้นยังไงพี่ จูนเพิ่ม มันก็แรงเพิ่ม จาก 178ม้า เป็น 200-220ม้า จูนเนอร์เก่งๆเค้าก็ทำกันไม่เห็นพัง

ผมถามกลับ "เอ็งรู้จักค่า safety factor ไหม" มันทำหน้า งง ??

ผมอธิบายต่อ ... เครื่องยนต์รถยนต์ทุกรุ่นเค้าจะมี safety factor ไว้เพื่อให้มันสามารถใช้งานได้ยาวนาน เช่น เครื่อง 1.5T เนี่ย ฮอนด้าเค้าก็ทำได้ 200ม้า ออกมาจากโรงงาน แต่เค้าปล่อยให้ใช้แค่ 178 ก็เพราะมันต้องเผื่อการใช้งานที่ยาวนาน คงทน เค้าเลยจูนให้มันออกมาสู่มือลูกค้าเท่านี้ ดู accord สิ เครื่องตัวเดียวกันทำไมมัน 190ม้าล่ะ

ส่วนจูนเนอร์ที่เค้าจูนๆกันน่ะ มันไม่สนว่ารถเราจะพังๆไหม มันก็จูนปลดลิมิตให้เครื่องยนต์มันเค้นเต็ม 100% ที่ได้มาคือแรงม้า ที่ตามมาคือมันสึกหลอเยอะ

ดังนั้น ไอ้ที่เอารถไปจูน ขยายแค่ไอดีไอเสีย นั่งดีดนิ้วในคอมฯไม่กี่ที โชว์กราฟแรงม้ากันน่ะ มันไม่ได้เก่งอะไรหรอก มันแค่ไปปลดลิมิตของรถที่โรงงานเค้าตั้งไว้แค่นั้น

มันทำหน้างง แบบไม่ยอมรับ และเถียงต่อ เครื่องดีเซลเค้าจูดเพิ่มกันเป็น 100 ม้าเลยนะพี่ ผมก็บอก ก็มันปลดลิมิตเหมือนกันนั่นแหละ เพิ่มบูส เพิ่มน้ำมัน เครื่องดีเซลแม่งมีแค่นี้ใครจูนก็แรงทั้งนั้นแหละ สุดท้ายเป็นไง ยกก็แพ้ แช่ก็พัง รถเดิมขับถึงบ้าน รถจูน พังอยู่ข้างทาง

สุดท้ายผมบอกเค้าไปว่า ใส่กรอง เปลี่ยนท่อ แค่นี้พอแล้วไปจูน 2-3หมื่น เสียดายเงิน ที่มีอยู่เหยียบสุดหรือยัง

......

เล่าจบแล้ว เพื่อนๆมีความเห็นอย่างไรกับการจูนรถครับว่า มันคือการปลดลิมิต หรือปลดค่า safety factor ของเครื่อง มันไม่ได้พิเศษอะไรเลย

แลกเปลี่ยนความเห็นกันครับ



เนื้อน่องไม่หนัง

ผมมองว่า Limit มันอยู๋ที่ Hardware
ซึ่งมี Software มาคุม SafetyFactor อีกทีนึง เมื่อใดที่ถึง limit ก็คือแหก

การจูนเครื่อง แก้ไฟล์ remap เป็นการปรับ SafetyFactor ให้มันไปทำงานใกล้ Limit ของ Hardware มากขึ้น
ซึ่งพวกเครื่อง low power ก็ tune down ลงมา และอาจปรับใช้ ใส่ในอีกชุดนึง

ถ้าปลดเพื่อ เอาอัตราเร่งแซง เผื่อใช้แบบครั้งคราว ผมว่าอาจมีประโยชน์ คิดว่ากดเต็มตรีน2-3 วิ เดือนละครั้ง ไม่น่าจะมีผลมาก
แต่ถ้า เท้าหนัก กดทุกวัน แช่/จุ่ม อันนี้ไม่แน่ใจ..​. แรกๆอาจไม่มีปัญหา เพราะภายในสภาพยังดี ไม่ได้มีอะไรสึกหรอก
เพิ่มจาก 178 > 200-220 ม้า Load ที่เครื่องยนต์มากขึ้น แรงม้าแรงบิดที่ไปที่เกียร์ก็สูงขึ้นอีก สึกหรอมากขึ้น โอกาศเกียร์เอ๋อก็มากขึ้นแน่นอน
แต่ถ้าใช้ไปสัก 1แสน km Limit ของเครื่องต่ำลงจากความเสื่อม ตามอายุ ตามการใช้งาน.. มันยังรับไหวหรือเปล่า?

กระบะเครื่องอาจเหนียวกว่า เพราะรถมันต้องทำมารอบรับการใช้งานหนักมากกว่า ทั้งบรรทุกลากจูง
กระบะเดิมๆ วิ่ง 2-3 แสน km ได้อยู๋แล้ว
ถ้าเอาไปจูนเพิ่ม 100 ม้า เราเซอวิสระยะเดิมได้ไหม? 2-3 แสน km สภาพเครื่อง เทอโบ เป็นยังไงบ้าง...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 28, 2025, 00:18:29 โดย เนื้อน่องไม่หนัง »



albacore

ส่วนตัวคิดว่าSafety factor ก็ส่วนนึงครับ อีกส่วนนึงก็น่าจะเป็นเรื่องกฎหมายมลพิษที่ทำให้แรงม้าที่สามารถทำได้ถูกจำกัด
ถ้าจูนแล้วไม่ต้องคำนึงมลพิษไอเสียก็น่าจะเพิ่มได้พอสมควร

ส่วนเรื่องแต่ละรุ่นแรงไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องตำแหน่งการตลาดจริงๆแหละ แต่บางส่วนก็อาจจะถูกจำกัดด้วยขนาดรถทำให้ท่อไอดีไอเสียอาจจะทรงไม่เหมือนกัน แรงม้าก็อาจจะแตกต่างกันไปบ้างครับ




punn

ส่วนหนึ่งก็เรื่องต้นทุนด้วยนี่แหละครับ safety factor ก็ต้องแยกออกมาเป็นหลายส่วน
และส่วนที่จำกัดอายุก็คือส่วนที่เปราะบางที่สุดในเครื่อง บางรุ่นก็ตัวลูกสูบเอง ที่ทำให้ทำไมต้องจูนมาเท่านั้นเท่านี้

และเพราะการตลาดอีกส่วนหนึ่ง เมื่อก่อนค่อนข้างจะเป็นกติกาตกลงกันโดยแนวทฤษฎีสมคบคิด
เช่น ว่ารถพิกัดนี้ควรจะวิ่งได้ประมาณนี้ อาทิ 10 วินาทีบวกลบ ทำให้การดีไซน์จากโรงงานทำการลดต้นทุนทำแค่พอให้ถึงค่าตามต้องการ เพราะจะทำทนกว่านี้ก็ได้แต่มันก็จะเปลืองต้นทุนวัสดุศาสตร์เข้าไปอีก

และในประเทศไทยอีกส่วนก็คือกฎหมายมลพิษ ที่ตรวจเข้มข้นแค่ตอนออกจากโรงงาน
พอถึงมือลูกค้าแล้วก็หย่อนยาน แต่ถ้าไปปรับจูนแล้วค่ามลพิษเปลี่ยนในประเทศจีนโดนจับขังคุกเลยนะครับ 555

ในประเทศไทยถึงสามารถปลดลิมิตค่ามลพิษให้เครื่องกินน้ำมันให้เครื่องปล่อยไอเสียมากขึ้นทำให้ตัวเลขออกมาเพิ่มขึ้นได้ง่าย

พวกช่างที่เก่งๆก็จะมองจุดเปราะบางของเครื่องแล้วเปลี่ยนวัสดุ แล้วค่อยจูนตามประสบการณ์ตามความรู้สึกความเข้าใจของแต่ละสำนักแต่ง
สำนักเล็กๆกลางๆทั้งหลายผมไม่เชื่อว่าจะทุ่มเงินทำ r&d เท่าบริษัทผลิตรถหรอกครับ แต่ก็อาจจะชดเชยด้วยการ over spec ไว้ก่อนได้

สุดท้ายการใช้งานจริงหลังจากจูนให้แรงกว่าเดิมแล้วมันก็ค่อนข้างจะอายุสั้นกว่าค่ามาตรฐานจากโรงงานเป็นส่วนมากนะ ผมเดา ฮา
เป็นคนโลกปกติธรรมดา :)
ไม่โลกสวย และไม่โลกมืด อยู่กับความเป็นจริงและพลังงานบวก ..

ปราชญ์สอนสิ่งไหน คนก็จะจำสิ่งนั้น
ประสบการณ์เจอแบบไหน คนก็จะคิดทางนั้น
ต่างคนต่างประสบการณ์เรียนรู้สิ่งเดียวกัน ก็จะออกมาแตกต่างกันไปครับ



tom46

จะว่าแบบนั้น ก็ไม่น่าจะถูกทั้งหมดครับ

คนจูนดีๆเขาก็จะดูรายละเอียดอื่นๆประกอบให้มันเหมาะสมกันด้วยครับ จริงอยู่ว่ามันเป็นศักยภาพของเครื่องอยู่แล้ว แต่ปรับอะไรมากไปน่้อยไปก็จะไม่ดี เขาจะดูว่าปรับไปแล้ว ผลออกมาเป็นอย่างไร a/f ratio ดีไหม เหมาะสมไหม วิ่งแล้วมีปัญหาอะไรบ้างไหม อะไรแบบนี้กันมากกว่าครับ

ยิ่งกล่องสมัยนี้ฉลาด พออะไรๆที่มันเกินลิมิต กล่องมันจะตัดเลย อย่างของผมก็เคยเป็น วิ่งรอบ 6400 พวกตัด misfire เซฟเครื่องเลย ต้องมาปรับแก้กันใหม่ ให้ afr ได้ กดเต็มได้ไม่มี misfire แรงม้าแรงบิดดีขึ้นกว่าเดิม ฯ

แต่การทำแบบนี้ เจ้าของรถบ้านเรา มักจะไม่ชอบกัน เพราะ มันจะมีค่าใช้จ่ายเยอะ ค่าไดโนหลายรอบ ต้องเก็บข้อมูลต่างๆมาก่อน  จูนเนอร์ ถึงจะทำได้ การทำก็จะค่อยๆปรับไปทีละครั้งแล้ววัดดู ส่วนมากก็ชอบแบบง่ายๆเร็วๆ ค่าใช้จ่ายไม่เยอะ กันมากกว่าครับ

ศักยภาพเครื่องกับความเหมาะสม มันก็สัมพันธ์กัน เลยต้องมีการจูนกันด้วยครับ
M52TUB30 NA TUNING
STROKER M54B30
SCHRICK CAM 248/248
aa tuning software custom
K&N performance air intake kit
Exhaust systems thailand hand made
Rear exhaust EISENMANN



oryor

สั้นๆง่ายๆครับ
พังตามตีน

รถเดิมๆหรือรถจูน เหยียบแช่ลากรอบ Redline ตลอดไม่สนอะไรเลย ยังไงก็พัง
รถจูน แต่ขับเป็น ไม่ได้แช่ ไม่ได้ลากรอบตลอด ไม่พังง่ายๆหรอกครับ

นี่หล่ะที่มาของ ยกก็แพ้ แช่ก็พัง



the kit

จากโรงงาน
เขาไม่ได้ทำให้ "แรงสุด" เนื่องจาก การสร้างมลพิษ การกิน นม. ความสึกหรอ ในระยะยาว
ในเรื่องของความทนทานก็ด้วย

แต่การมา "ปลดล็อค" หรือ "Remap" ใหม่
ไม่ว่าจะจูนแบบไหน เจ้าของต้องคุยกับ "Tuner" ให้ดี
ว่าจะเอายังไง แบบไหน

และถ้า Tuner ดี "เป็นมวย" มีความเข้าใจในเครื่องยนต์นั้นๆ ดี
เขามักจะจูน "ที่เหมาะสม" ไม่เกินลิมิตของเครื่อง

บางคนต้องการแค่ เน้นต้น หรือช่วงแซง หรือ power band ในความเร็วที่ใช้ประจำ
แต่ไป "บางน้ำมัน" ในช่วงความเร็วเดินทางเพื่อประหยัดก็มี

การจูนใช่ว่า ต้องแรงไปยัน "Deadline" ของเครื่อง
ยกเว้น เจ้าของรถจะสั่งเพิ่ม ว่า พังไม่ว่า รับผิดชอบตัวเองได้!!??
"Only live once, but if you do it right, Once is enough"



Edwardsella

ตอบแบบคนที่ไม่ได้ทำงานสายวิศวกรรมนะครับ
ถ้าหมดประกันแล้ว ทำได้ รถเราเราจะทำอะไรแค่ไหนก็ได้ แต่โอกาสมีอะไรพังมันก็มากขึ้นตามมา เอาที่เรารู้สึกพอใจ พังก็ซ่อมกันไป
safety factor  แน่นอน set มาต่ำมันก็น่าจะสึกหรอน้อยกว่าอยู่แล้ว
สุดท้าย แรงตามตัง พังตามตีน เหมือนหลายๆ ความเห็นครับ



Devil13

คุณไปถามร้าน ร้านก็ต้องบอกว่าทำได้สิครับ
ไม่อวยตัวเอง ไม่ส่งเสริมธรุกิจตัวเอง แล้วมันจะรวยไหม ?



Tien.W

จริงๆ มันก็แล้วแต่คนทำ และ คนขับ

ปลด limit น่ะใช่ครับ แต่บางที มันไม่ได้ limit เพื่อให้ทน เพียงเรื่องเดียว อาจจะมีเรื่องมลภาวะด้วย ก็ได้

ทำนิดๆหน่อยๆ พอขับสนุกขึ้น แล้วขับแบบรู้ limit มันก็ไม่พังหรอก แต่ถ้าทำแล้ว กระทืบอย่างเดียว ยังไงก็พัง



DiKiBoyZ

ผมตอบตามที่คนทำรถมานะครับ

เครื่องเดิม ไฟล์เดิม ทุกอย่างเดิม แค่รื้อออก ขัดลื่น หรือ วัดเคลียแลนซ์ใหม่ ประกอบกลับ วัดแรงม้าบนไดโน่ แรงม้ายังเพิ่มเลย

คำว่า safety factor ที่หลายๆ คนใช้ รู้ว่ามี แต่ไม่รู้ว่า มันคืออะไร และ เท่าไหร่

และอีกอย่างนึงที่ทำไมเขาทำไว้เท่านี้ เพราะเหตุผลเรื่องอัตราการกินน้ำมันหรือบริโภคเชื้อเพลิง รวมกับ การปล่อยไอเสีย ครับ อันนี้ จขกท.ไม่พูดถึง

ตัวอย่างง่ายๆ

เครื่องที่เค้นการทำงานแบบ 100% เต็มๆ ได้ 200 แรงม้า

เครื่องที่ติดตั้้งใส่กับรถมา อาจจะทอนเหลือ 85% ก็อาจจะได้สัก 160-170 แรงม้้า

อันนี้เราก็เรียกว่า safety factor ได้ ว่า เขา safe ไว้ (หรือเรียกว่า หมกไว้) อีก 15% ใช่ไหม แค่ตัวเลขสมมุตินะ

ในอดีต หรือ แม้กระทั้งปัจจุบัน ถ้าใครทำเครื่อง ทำรถมา โดยเฉพาะ 2JZ จะรู้ว่า เครื่องเดิม มันหมก อยู่แล้ว มันถูกล็อค 280 แรงม้า เพื่อข้อตกลงบางอย่างในการผลิตรถสมัยนั้น(อันนี้น่าจะพอทราบกัน ว่าทำไมรถยุค 90 มันถึงตันอยู่แถวๆ 280-285 แรงม้ากันซะเยอะ)

พอปลดอะไรบางอย่าง นิดๆ หน่อยๆ 2JZ นี่กระโดดไป 300-400 ม้าเลย เป็นต้น

-----------

กลับมาถึงกรณีที่พูดถึง คือ Civic 1.5 Turbo นะ

ถ้า ไล่ข้าง ท่อ กรอง + remap แคมเดิม มันทะลุ 200 อยู่แล้วครับ

ถ้าใคร หรือ ช่างคนไหน หรือ อู่ไหน ทำไม่ได้ เลิกทำได้เลย เอาง่ายๆ แค่เพิ่มบูชต์ แรงม้าก็เพิ่มแล้ว มันง่ายกว่าเครื่อง N/A เยอะ

แต่ถ้าจะเอา 220++ จะต้องเพิ่มอินเตอร์ ถ้ามีแคมด้วยนี่ไปไกลเลย

จุดที่จะพังตัวแรกคือ เกียร์ ครับ

สุดท้าย เจ้าของรถ เป็นผู้ตัดสินใจ และ รับความเสี่ยง เองครับ



EVA01

ใส่แค่กรองกับเปลี่ยนท่อไม่แรงขึ้นหรอกครับ (ผมเคยลองขึ้นไดโน่วัดเทียบกันเลย ม้าเท่าเดิม) มันต้องจูนให้สัมพันธ์กับ Hardware ที่ใส่เข้าไปใหม่ด้วย

ส่วนเรื่อง safety factor ก็อยากที่หลายๆ ความเห็นบอกครับ รถออกจากโรงงานมีข้อจำกัดเยอะทั้งเรื่องภาษี มลพิษ กฎหมายต่างๆ ดังนั้นจริงๆแล้วการจูนบางระดับก็อาจจะไม่ได้กระทบกับความทนทานของเครื่องยนต์อะไรขนาดนั้น จูนเนอร์เก่งๆ เค้าสามารถจูนให้เครื่องยนต์มันทำงานได้ดีกับปัจจัยต่างๆ เฉพาะตัวของรถคันนั้น เช่น ของแต่ง น้ำมัน ที่ใช้



pladaek

ก็ตามนั้นแหล่ะครับ
ผมมีกรณีใกล้ตัวพอได้เปรียบเทียบอยู่บ้าง
บ้านผมซื้อ Fortuner เครื่อง 1KD เดิมๆปัจจุบันวิ่ง 330,000 กม.
ก็มีบำรุงรักษาตามปกติ
กับอีกคันของน้อง VIGO เครื่อง 1KD เหมือนกัน รถปี 12 เหมือนกัน
แต่รีแมพ ไล่ข้างตามสเตปวัยเคยรุ่นสมัย 10 กว่าปีก่อน
ณ ปัจจุบันก็มีซ่อมบำรุงเยอะกว่าของ Fortuner เดิมๆไปพอสมควรละ
เทอร์โบใบหลังก็บิ่น ซ่อมไปสักพักก็รวน สุดท้ายยกใหม่ทั้งลูกจบกว่า
ฝาเครื่องก็เปิดบ่อย น้ำมันซึมบ้าง เช็ควาล์วบ้าง
เกียร์ก็ยกคลัชไปรอบนึง แต่เกียร์ออโต Fortuner ยังไม่เคยซ่อมเลย

ไม่ใช่ว่า Fortuner มันจะไม่พังนะ ดูอาการก็น่าจะได้ซ่อมบ้างเหมือนกัน
แต่อายุใช้งานมันต่างกันแบบเห็นได้ สัมผัสได้

ไม่ได้ขับรถเพื่อทำเวลาที่ดีที่สุด.. แต่ขับรถเพื่อเจอช่วงเวลาที่ดีที่สุด..



bravo

"การจูนรถครับว่า มันคือการปลดลิมิต หรือปลดค่า safety factor ของเครื่อง มันไม่ได้พิเศษอะไรเลย"

ก็ตามที่ว่ามาเลยครับ

แต่ผมก็ จูนเครื่องตั้งแต่รถยังป้ายแดง ไม่รอให้หมดประกัน เพราะมันต้องรอนานถึง 3 ปี
ผมกับจูนเนอร์ ก็คุยกันก่อนจูนว่า จูนแค่พอขับสนุก เน้นแซงในถนนเลนสวนแบบไม่ต้องลุ้น ไม่เอาไปแข่งกับใคร(บนถนน)
ทำแบบนี้มา 2 คัน เอาไปลงสนามคลอง 5 บ้าง เทพนครบ้าง รถก็ไม่เคยพัง

จูนเนอร์ที่ดีๆ เขาก็ไม่อยากจูนจนสุดกราฟ
แต่เจ้าของรถ(บางคน)ก็จะเอาแรงเพียงอย่างเดียว ไปเล่นกับคนอื่นแล้วแพ้มา ก็จะมาจูนเพิ่ม
จูนเนอร์บางคนก็ไม่อยากขัดใจ จัดไปสุดกราฟ
สุดท้าย ก็เป็นที่มาของคำว่า " ยกก็แพ้ แช่ก็พัง"



nobody123

จากจั่วหัวกระทู้ ส่วนตัว ผมมีประสบการณ์เฉพาะประมาณนั้นครับ ไม่เคยเปลี่ยน Hardware
คันรถเก่า (เซลส์ Audi นิยาม BM ผมว่า Classic ควรเก็บ) มีประสบการณ์นำรถเข้ารีแมป แต่ไม่สำเร็จเพราะเครื่องมือของร้านไม่พร้อม (ร้านให้รอกล่องจูนใหม่สองสัปดาห์)
ผมมานั่งคิด ไม่ไปทำอีกดีกว่า แม้ค่าทำแค่ประมาณพันเดียว เหตุผลหลักเพราะ เปลืองน้ำมัน (ตอนนั้นไม่ได้อยากถนอมเครื่องแต่อย่างใด)
และมีอีกคันที่รีแมปที่ศูนย์ได้เลย โดยปัจจุบันประพฤติตัวเสมือน BEV คือ Flat torque เลย การรีแมปคือปลด Torque ให้เป็นธรรมชาติ
แต่คันนี้ไม่ได้อยากรีแมป ICE ด้านหน้าเท่าไหร่ (เห็นคนทำแล้วเขาทึ่งความแรงกันทั้งนั้น) คือ อย่างจขกท.มอง คือ เราอยากถนอมเครื่องให้ใช้ได้นาน ๆ
; ผมเชื่อว่าตัวเอง ถ้ารีแมปมา ผมก็ใช้ คือ ผมกดแน่นอน แล้วความสึกหรอก็มากขึ้นตาม



XMSL

จากประสบการณ์รถมอไซค์นะครับ จากที่เข้าใจ รถในตลาดทั้งรถยนต์และมอไซค์จะมีอยู่ 3 กลุ่มหลักๆ 1)รถแข่ง 2)รถแข่งแต่จูนมาขายเป็นรถตลาด 3)รถตลาดหรือรถบ้าน

กลุ่มแรกจะมีกล่องจูนมาขาย มีแคม มีวาล์ว มีแคร้ง เลือกแต่งเพิ่มได้ตามความต้องการ ไม่ต้องถามหาความทนทาน และต้องดูแลตามชั่วโมงใช้งาน

กลุ่มที่ 2 กลุ่มนี้โดนตอนมาเพื่อให้ผ่านค่าไอเสีย และเสียง โดยที่พื้นฐานเครื่องยนต์ถูกออกแบบมากึ่งๆจะเป็นรถตามข้อ 1 การแต่งก็เริ่มตั้งแต่จูนกล่อง เปลี่ยนกล่อง เปลี่ยนท่อ รื้อระบบไอดีไอเสีย เปลี่ยนแคร้งเปลี่ยนแคม ความแรงที่ได้ก็กลับไปใกล้เคียงรถกลุ่ม 1 แต่ก็มีปัญหาตามมาคือเรื่องการดูแล การประกัน และเรื่องค่าไอเสีย

กลุ่มที่ 3 รถบ้าน กลุ่มนี้ผู้ผลิตจูนเครื่องมาให้ผ่านไอเสีย และความต้องการทางการตลาด รวมถึงการดูแล/รับประกัน ส่วนประกอบในรถแทบจะไม่มีความเป็นรถแข่ง แต่ก็สามารถจูนเริ่มต้นตั้งแต่การปิดลิมิตกล่องที่ตั้งไว้ เพิ่มน้ำมันแต่ละย่าน เปลี่ยนแคม เปลี่ยนกล่อง วาล์ว สูบ ไอดีไอเสีย แคร้ง เกียร์ เพิ่มระบบหล่อเย็น ตามแต่งบและความต้องการเจ้าของ



PaPaMan

รถมีโบมันจูนง่าย แค่เพิ่มบูส เพิ่มน้ำมัน มันก็แรงทะลุโลกล่ะ
แต่ก็อย่างที่ จขกท. ว่านั่นแหละ
บอกไอ้หนุ่มจูนให้สุดแล้วเตรียมหาตังค์ค่าโบใหม่ด้วย หนักกว่านั้นก็ยกเครื่อง



apinui

มาขยายความเพิ่มครับ (ได้อ่านทุกความเห็นแล้ว)

น้องที่จะไปจูนก็ไปสำนักจูนที่ในกลุ่มในคลับเค้าแนะนำครับ โดยสเต็ปที่เค้าทำคือ ไม่เปลียนอะไรเลย ใส่กรองอากาศซิ่ง(ไม่รู้ซิ่งแบบไหน) กับเปลี่ยนปลายท่อ จูนหลังถนน การันตี 200ม้า++ ครับ ไม่ถึงไม่คิดเงิน ..

และข้อมูลรถน้องเค้าคือรถอายุ 3 ปี หมดวารันตีแล้วเลขไมล์ 6หมื่นกว่าโล

ผมบอกเค้าไปว่า รถบางคันมันไม่เหมือนกัน บางคัน สกิดนิดเดียว 200 แล้ว บางคันดันให้ตายก็ไม่ถึงก็มีแม้จะเป็นรุ่นเดียวกันก็ตาม ทีนี้ ในเคสที่รถเราก็ไม่ได้สดใหม่ ม้าที่มีตอนนี้ก็เหลือไม่เท่ากับที่โรงงานให้มาแล้ว และต้องไปดันให้ได้ 200 ม้าอีก มันจะไหวหรอ และเป็นการจูนหลังถนนด้วย วิ่งไปจูนไป

นี่ยังไม่รวมจูนเกียร์ด้วยนะ ผมนี่มองบนเลย จูนเกียร์ CVT .... ก็เอากะเค้าล่ะครับ  ;D ;D




DiKiBoyZ

มาขยายความเพิ่มครับ (ได้อ่านทุกความเห็นแล้ว)

น้องที่จะไปจูนก็ไปสำนักจูนที่ในกลุ่มในคลับเค้าแนะนำครับ โดยสเต็ปที่เค้าทำคือ ไม่เปลียนอะไรเลย ใส่กรองอากาศซิ่ง(ไม่รู้ซิ่งแบบไหน) กับเปลี่ยนปลายท่อ จูนหลังถนน การันตี 200ม้า++ ครับ ไม่ถึงไม่คิดเงิน ..

และข้อมูลรถน้องเค้าคือรถอายุ 3 ปี หมดวารันตีแล้วเลขไมล์ 6หมื่นกว่าโล

ผมบอกเค้าไปว่า รถบางคันมันไม่เหมือนกัน บางคัน สกิดนิดเดียว 200 แล้ว บางคันดันให้ตายก็ไม่ถึงก็มีแม้จะเป็นรุ่นเดียวกันก็ตาม ทีนี้ ในเคสที่รถเราก็ไม่ได้สดใหม่ ม้าที่มีตอนนี้ก็เหลือไม่เท่ากับที่โรงงานให้มาแล้ว และต้องไปดันให้ได้ 200 ม้าอีก มันจะไหวหรอ และเป็นการจูนหลังถนนด้วย วิ่งไปจูนไป

นี่ยังไม่รวมจูนเกียร์ด้วยนะ ผมนี่มองบนเลย จูนเกียร์ CVT .... ก็เอากะเค้าล่ะครับ  ;D ;D

อันนี้ผมตอบเพิ่มเติมให้นะครับ

รถก่อนจะจูนทุกครั้ง (ไม่รู้ทำเหมือนกันทุกอู่ ทุกช่าง ทุกจูนเนอร์ หรือป่าวนะ)

จะต้องตรวจสอบความสมบูรณ์ของเครื่องยนต์ กำลังอัด แรงดันน้ำมัน ท่อทางต่างๆ เทอร์โบ และ อื่นๆ ก่อนเสมอ

รถเดิมๆ ระหว่างรถใหม่ กับ รถเก่า จับขึ้น dyno ดูก็ได้ครับ แรงม้าไม่เท่ากัน

สมมุติว่า เขาจูนการันตี 20-30 แรงม้า

ถ้าเครื่องเดิม 180 ม้า มันก็จะไกล้ๆ 200-210 แรงม้านั้นละ

แต่ถ้าเครื่องยนต์มัน 160-170 ม้าตั้งต้น จูนสเต็ปเดียวกัน มันก็อาจจะไม่ถึง 200 แรงม้าเต็มครับ

อันนี้เรื่องปกตินะ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

ส่วนเรื่องจูนกียร์ ก็เป็นเรื่องปกติครับ อาจจะให้เปลี่ยนเกียร์ ในรอบ และ แรงบิด ที่กระชับขึ้น

แต่จุดที่ FC/FK มันตัน ก็คือ เกียร์ CVT มันจะได้พังก่อนไวอันควรมาก ถ้าสเต๊ปนั้นเกิน 250 ม้า++



marvel

ได้อ่านกระทู้นี้แล้ว ผมเลยได้ไปเจอบทความนี้มา อ่านเล่นเพลินๆครับ
https://www.headlightmag.com/mods-light-step-civic-1-5-turbo-rs/



SpiRious

พังไม่พัง ผมว่าอยู่ที่เท้าเป็นหลักด้วยครับ

แต่ถ้านิสัยการขับแบบโหดๆ ปลดลิมิตมา มันก็มีโอกาสจะพังได้ไวกว่าอยู่แล้วครับ
2008 - Camry acv40
2014 - Fortuner 2.7
2017 - Yaris 1.2 (swap engine 1nz-mt)
2021 - Crv 2.4 AWD