เกิดอะไรขึ้นกับคำทำนายว่า BEV จะต้องขายดีขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งไม่จริงในบางบริบท?

nobody123

1. ในยุโรป ผ่านไปปีเดียว Market share รถ BEV ยี่ห้อสหรัฐ ในหมู่ BEV ลดลงจาก 21.6% เหลือ 10.3%
(เดือนเทียบเดือน และ ผมไม่ลงยี่ห้อนะ มีสมาชิกเคยไม่สบายใจ)
ยิ่งถ้าพิจารณาในหมู่ทุกชุดขับ (ไม่เฉพาะ BEV) ของยุโรป ลดลง จาก 2.8% เหลือ 1.8%
https://www.reuters.com/business/autos-transportation/teslas-february-market-share-europe-drops-despite-ev-pickup-2025-03-25/#:~:text=Tesla%20commanded%201.8%25%20of%20the,the%20same%20month%20in%202024.
และถ้ามันลดเฉพาะในยุโรป มันจะไม่แปลกเท่าไหร่

2. ในสหรัฐ เจ้าดังกล่าว ก็ลด โดยในปี 2024 ยอดขายลดลงครั้งแรกในรอบสิบปี (ไม่เกี่ยวกับการเมืองด้วย เพราะ พิจารณา 2024 เทียบ 2023)
สวนทางกับอีกเจ้านึง (อันนี้ บอกยี่ห้อได้ Volvo ผมใช้อยู่ PHEV รถดีแหละ ก็บอกต่อแล้วบอกต่ออีก)
PHEV ยอดพุ่งมหาศาลเกือบ 70% ส่วนยอด BEV ทรุดเช่นกัน
https://insideevs.com/news/746466/volvo-ev-phev-us-global-sales-2024/#:~:text=PHEVs%20Shine%20In%20The%20U.S.,59%25%20to%20just%205%2C608%20units.

ในยุโรป และ สหรัฐ เจอ BEV จีนบุกแล้วเหรอครับ (สำหรับในสหรัฐผมว่าไม่น่าใช่ เท่าที่ทราบมา จีนแทบขายในสหรัฐไม่ได้เลย)

ทำไมครับ?



apinui

ไม่แน่ใจว่าทำไมลดลง ...

แต่ผมดูราคาน้ำมันอย่างเดียวเลยครับ ถ้าน้ำมันในไทยลงเหลือ 20บาทกลางๆ ผมว่าได้เห็นอะไรอีกเยอะเลย



nobody123

ซึ่งกระแสรถไฟฟ้าเจ้าดังสหรัฐ ตอนนี้ ในไทย ยิ่งแล้วใหญ่เลยครับ ยอดขายลดลง เกือบครึ่ง เทียบปีต่อปี
อันนี้ ผมมองว่าชัดเจน รถ BEV จีนแย่งส่วนแบ่งตลาด แน่นอนครับ
แต่อย่าง Volvo ในไทย ยอดขายปีต่อปี กลับทำเท่าเดิมได้ โดยสู้รถจีนได้นี่ ผมว่าแปลกดี
ยิ่งในยุโรปนี่สตรองเลย Volvo ยอดขายโตขึ้น 25% 2024 เทียบ 2023 ทั้งที่
1. ยุโรปไม่ปิดกั้นรถจากบางประเทศเหมือนสหรัฐ
2. Volvo ไม่ใช่รถถูก คือ ผมเช็คราคาคู่เปรียบในต่างประเทศแล้ว มันเท่า BM/MB ในคลาสเดียวกัน
กล่าวคือ รถจีน ในยุโรป ขายดีเช่นกัน แต่โค่น Volvo ซึ่งเน้น EV ไม่ลง



sukhontha

ผมว่าอยู่ที่ความคิดของคน-ฐานะการเงิน -อายุ -โนฮาวด์ ในอนาคต  เป็นตัวกำหนด




mhujee

 PHEV = No.1 ? และ Volvo PHEV = No.1 ?
 PHEV = รักษ์โลก No.1 ?
 เท่าที่อ่านกระทู้ท่านที่ผ่านมา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 31, 2025, 09:39:31 โดย mhujee »



RERFz

ถ้าเทียบค่าแรงขั้นต่ำกับราคาน้ำมันของอเมริกาหรือญี่ปุ่น เสมือนถ้าอยู่ในไทยเหมือนเดิมน้ำมันลิตรละ 10 บาทอะ แบบนั้นใครจะใช้ bev ให้เสียเวลาชาร์ตและเสี่ยงซ่อมราคาแบตที่สูงมากๆ



REX

ในส่วนนึงที่ ตลาด BEV ควรจะขายดีขึ้นเรื่อยๆ
แต่ที่มันสะดุด ส่วนนึงผมเชื่อว่า
เป็นจากนโยบายการเมือง ระหว่างประเทศ
หลายปีก่อน  ชาติฝรั่ง  เขียนเสือให้วัวกลัว
ว่า เครื่องยนต์ รถสันดาป ทำให้โลกร้อน

ต้องสนับสนุน BEV
แต่นั่นหละครับ

กลายเป็นว่า เทคโนโนโลยี่การผลิต BEV จีน ก้าวหน้ามากกว่า ญี่ปุ่น& ยุโรป โดยโผล่มาจากไหนไม่รู้ ไม่คาดคิด
จะเห็นว่า นโยบายกีดกัน การค้า
ส่วนนึงการกีดกัน รถไฟฟ้า คือ จีนจะได้รับผลกระทบ แน่ๆ
จึงดึงเวลาไว้ก่อน  รอ เจ้าตลาดเดิม ตามมาให้กระชั้นกว่านี้

เมื่อไหร่ นโยบาย สนับสนุน BEV กลับมาแน่

ผมเชื่อแล้ว ลึกๆมีการเมืองระหว่างประเทศด้วย  ผิดหริอถูกแล้วพิจารณา




axister

ทุกอย่างคือความสะดวกเป็นหลักอยู่ดีอ่ะครับ

bev ที่ผ่านมามันเหมือนเป็น trend โดยเฉพาะ EU ที่เรื่องโลกร้อนเค้า aware กันสุดๆ มันเลย fomo แค่ช่วงสั้นๆ ในขณะที่หลายๆประเทศยังถวิลหาเครื่องดีเซล + เกียร์ manual เป็นหลัก ซึ่งพวก dedicated platform ev มันไปทั้งระบบเทคโนโลยี เลยทำให้มีแค่ช่วงแรกครับ มีแค่ไม่กี่ประเทศที่ไปสุดตัวทั้ง eco system เช่น norway แต่มีหลายประเทศที่หวือหวา แต่สุดท้ายคนยังชอบระบบเก่าๆ อย่าง UK

ตรงกลางเลยเป็น Phev ครับ ไม่ต้องปรับตัวเยอะ แล้วก็ได้รักโลกด้วย

ส่วนในไทยแนวโน้มดีขึ้น เพราะเรื่องราคา ที่ผ่านมารถญี่ปุ่นกินนิ่มมาเยอะ พอจีนมา disrupt ตลาด คนเลยเทใจมาง่าย รวมถึงระบบขนส่งมวลชนในไทยที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงทำให้คนเห็นความจำเป็นของรถส่วนตัวบวกกับค่าน้ำมัน ค่าครองชีพที่สูงเกิน GDP ต่อหัว เรื่องประหยัดจึงมาเป็นปัจจัยหลักในการเติบโตของ bev ในไทยครับ ซึ่งแตกต่างจากประเทศโลกที่ 1 ที่ไม่ได้เอาราคาตั้งแต่เป็นเรื่อง social awareness เรื่อง global warming

แต่ยกเว้นอเมริกาไว้ประเทศนึงที่เป็นเคสพิเศษ เพราะประเทศเค้าใหญ่มาก การเดินทางข้ามรัฐมีให้เห็นกันบ่อยๆ สถานีชาร์จจึงเป็นเรื่องจำเป็นมาก เลยทำให้สัดส่วน bev น้อยเพราะยังมองว่าไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ tesla ขยาย network เยอะและเร็ว bev ที่ขายได้หลักๆเลยเป็น tesla เจ้าเดียว ต่างจากประเทศที่รับ bev มาขายจะมีคู่แข่งจากจีนและเยอรมันเยอะหน่อยครับ

และปัจจัยสุดท้าย ค่ายรถยนต์ใหญ่ๆ จริงๆแล้วยังลงมาเล่นตลาด bev น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นค่ายจีนน้องใหม่ การตลาดถึงพยายามจะดึงคนที่มีชื่อเสียงในวงการมาสร้างชื่อ เช่น avatr ดึง nader ที่เป็น designer ของ bmw มาก่อนและเน้นทำงานประกวดเป็นหลัก ทั้งที่ deepal เองก็ designer ไม่ได้แย่เลย การทำ product dev แบบนี้ถ้ามองให้ชัดเราเห็นกันบ่อยๆในมือถือ โดยเฉพาะ brand honor ครับ ที่จับมือกับ porsche ทำ edition ต่างๆมา เรียกความน่าเชื่อถือ หรือแม้แต่ geely เองที่ยอมซื้อ volvo/polestar/lotus เข้า port เพื่อชูว่า geely/zeekr ก็ใช้เทคโนโลยีแบบรถพรีเมียมนะ และเพิ่มราคาให้ดูพรีเมียมขึ้น ซึ่งยังไม่ติดตลาดโลกเท่าไหร่อ่ะ

ก็ดูมีแต่ volvo ที่จริงจังกับ bev อย่าง vw/bmw มีสัดส่วน bev เยอะขึ้นก็จริงแต่เทียบใน port แล้วก็ยังถือว่าน้อยครับ

ตอนนี้ hybrid เลยตอบโจทย์สุดครับ จะเป็น hev erev phev epower ก็แล้วแต่ใครจะเรียกเทคโนโลยีอะไร แต่ภาพรวมคือ เติมน้ำมันได้ ประหยัด และปล่อย co2 น้อย แค่นั้นเลยครับ

ราคาน้ำมันส่งผลน้อย ส่วนใหญ่ส่งผลต่อโลกที่ 3 มากกว่าด้วยที่ค่าครองชีพเป็นเรื่องหลักที่ต้องคิด และโลกที่ 3 แบบประเทศไทยไม่ได้เป็นเค้กก้อนใหญ่ทีค่ายรถเค้าจะมาขยับตามครับ ซึ่งแน่นอนว่า trend โลกร้อนยังไงก็ทำให้ bev หรือเชื้อเพลิงที่ไม่ปล่อยมลพิษในอนาคตจะมาแทนที่น้ำมันอยู่แล้ว แค่อาจจะช้ากว่าที่เดากันไว้ปีก่อน



nobody123

PHEV = No.1 ? และ Volvo PHEV = No.1 ?
 PHEV = รักษ์โลก No.1 ?
 เท่าที่อ่านกระทู้ท่านที่ผ่านมา
ผมจขกท.นะครับ
Volvo PHEV ไม่ No. 1 หรอกครับ ก็เห็นอยู่จากลิงค์ว่า มันมีรุ่นอื่นผลประเมินดีกว่า เต็มไปหมดเลย
แต่สำหรับที่ผมซื้อได้ ใน Range ราคานี้ ใช่ครับ No. 1 เฉพาะของรถในบ้านที่มี หรือ คันที่ลองขับ (คันที่ไม่ได้ลองขับ ผมตอบไม่ได้)
ผมถูกใจ V60 มากกว่า เช่น อีกท่านที่เอารูป V60 ขึ้นโปรไฟล์เหมือนกัน แต่เขาใช้รูปท้ายรถ
1. ผมใส่ค้ำโช้คครับ แก้ปัญหารถบิดตัวได้ตั้งแต่ปีแรกที่ซื้อ (ท่านที่ผมกล่าวถึง ลองติดค้ำโช้คดูครับ บุคลิกรถเปลี่ยนเลย)
2. ADAS
2.1 มันแก้ปัญหาชีวิตขับทางไกลผมเลย ลงรถปุ๊บ เอนหลัง สามนาที ผมออกวิ่งได้เย็นนั้น เป็นต้น
2.2 ผมขับหลับในในรถครั้งเดียวครับ แต่รอดชีวิต เพราะ มือยังอยู่บนพวงมาลัย แล้ว ADAS ขับต่อให้ (ไม่รู้หลับไปกี่นาที)
เช่น เอาง่าย ๆ เลย Zeekr X ผมกลัวว่าผมจะขับแล้วติดใจรถล้านต้น ๆ ที่มี ADAS ใกล้เคียง Volvo ติดแค่แบตมันไปได้ไม่ไกล (และไม่รู้จอดติดเกียร์ N ได้ไหม)
กล่าวคือ รถไฟฟ้าดี ๆ ออก ตรงสเปคผม ผมก็ขาย Volvo + BM (ที่ไปปลดจอดติดเกียร์ N ได้มา) เพราะตอนนี้จอดที่บ้านกทม.ก็ยาก เอาไปจอดที่ทำงานคันนึง วันดีคืนดีก็โดนที่ทำงานเก็บค่าจอดค้างคืน แม้บ้านแม่หลังติดกันมีที่จอดรถคันที่สาม แต่มันจะไปเปลี่ยนวิถีชีวิตแม่เขา ทำให้ตากผ้าลำบาก
= รถไฟฟ้าที่ วิ่งได้ไกล ช่วงล่างดี (ผมว่า BEV ช่วงล่างจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ตอนแบตเบาอย่าง Solid state ออก) มี ADAS ดี ๆ จอดติดเกียร์ N ได้ มันจะแก้ Pain point ผมหมดเลย



mhujee

ทุกอย่างคือความสะดวกเป็นหลักอยู่ดีอ่ะครับ

bev ที่ผ่านมามันเหมือนเป็น trend โดยเฉพาะ EU ที่เรื่องโลกร้อนเค้า aware กันสุดๆ มันเลย fomo แค่ช่วงสั้นๆ ในขณะที่หลายๆประเทศยังถวิลหาเครื่องดีเซล + เกียร์ manual เป็นหลัก ซึ่งพวก dedicated platform ev มันไปทั้งระบบเทคโนโลยี เลยทำให้มีแค่ช่วงแรกครับ มีแค่ไม่กี่ประเทศที่ไปสุดตัวทั้ง eco system เช่น norway แต่มีหลายประเทศที่หวือหวา แต่สุดท้ายคนยังชอบระบบเก่าๆ อย่าง UK

ตรงกลางเลยเป็น Phev ครับ ไม่ต้องปรับตัวเยอะ แล้วก็ได้รักโลกด้วย

ส่วนในไทยแนวโน้มดีขึ้น เพราะเรื่องราคา ที่ผ่านมารถญี่ปุ่นกินนิ่มมาเยอะ พอจีนมา disrupt ตลาด คนเลยเทใจมาง่าย รวมถึงระบบขนส่งมวลชนในไทยที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงทำให้คนเห็นความจำเป็นของรถส่วนตัวบวกกับค่าน้ำมัน ค่าครองชีพที่สูงเกิน GDP ต่อหัว เรื่องประหยัดจึงมาเป็นปัจจัยหลักในการเติบโตของ bev ในไทยครับ ซึ่งแตกต่างจากประเทศโลกที่ 1 ที่ไม่ได้เอาราคาตั้งแต่เป็นเรื่อง social awareness เรื่อง global warming

แต่ยกเว้นอเมริกาไว้ประเทศนึงที่เป็นเคสพิเศษ เพราะประเทศเค้าใหญ่มาก การเดินทางข้ามรัฐมีให้เห็นกันบ่อยๆ สถานีชาร์จจึงเป็นเรื่องจำเป็นมาก เลยทำให้สัดส่วน bev น้อยเพราะยังมองว่าไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ tesla ขยาย network เยอะและเร็ว bev ที่ขายได้หลักๆเลยเป็น tesla เจ้าเดียว ต่างจากประเทศที่รับ bev มาขายจะมีคู่แข่งจากจีนและเยอรมันเยอะหน่อยครับ

และปัจจัยสุดท้าย ค่ายรถยนต์ใหญ่ๆ จริงๆแล้วยังลงมาเล่นตลาด bev น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นค่ายจีนน้องใหม่ การตลาดถึงพยายามจะดึงคนที่มีชื่อเสียงในวงการมาสร้างชื่อ เช่น avatr ดึง nader ที่เป็น designer ของ bmw มาก่อนและเน้นทำงานประกวดเป็นหลัก ทั้งที่ deepal เองก็ designer ไม่ได้แย่เลย การทำ product dev แบบนี้ถ้ามองให้ชัดเราเห็นกันบ่อยๆในมือถือ โดยเฉพาะ brand honor ครับ ที่จับมือกับ porsche ทำ edition ต่างๆมา เรียกความน่าเชื่อถือ หรือแม้แต่ geely เองที่ยอมซื้อ volvo/polestar/lotus เข้า port เพื่อชูว่า geely/zeekr ก็ใช้เทคโนโลยีแบบรถพรีเมียมนะ และเพิ่มราคาให้ดูพรีเมียมขึ้น ซึ่งยังไม่ติดตลาดโลกเท่าไหร่อ่ะ

ก็ดูมีแต่ volvo ที่จริงจังกับ bev อย่าง vw/bmw มีสัดส่วน bev เยอะขึ้นก็จริงแต่เทียบใน port แล้วก็ยังถือว่าน้อยครับ

ตอนนี้ hybrid เลยตอบโจทย์สุดครับ จะเป็น hev erev phev epower ก็แล้วแต่ใครจะเรียกเทคโนโลยีอะไร แต่ภาพรวมคือ เติมน้ำมันได้ ประหยัด และปล่อย co2 น้อย แค่นั้นเลยครับ

ราคาน้ำมันส่งผลน้อย ส่วนใหญ่ส่งผลต่อโลกที่ 3 มากกว่าด้วยที่ค่าครองชีพเป็นเรื่องหลักที่ต้องคิด และโลกที่ 3 แบบประเทศไทยไม่ได้เป็นเค้กก้อนใหญ่ทีค่ายรถเค้าจะมาขยับตามครับ ซึ่งแน่นอนว่า trend โลกร้อนยังไงก็ทำให้ bev หรือเชื้อเพลิงที่ไม่ปล่อยมลพิษในอนาคตจะมาแทนที่น้ำมันอยู่แล้ว แค่อาจจะช้ากว่าที่เดากันไว้ปีก่อน
  ชอบการตอบของท่านนี้ครับ ได้ความรู้ เปิดกว้าง และนำเสนอความเป็นจริง



WASADM

ผมเป็นคนนึงที่พึ่งเปลี่ยนจาก Hybrid มาเป็น BEV เหมือนกัน ขอตอบในมุมผมนะครับ

1. ยุโรปขายไม่ดี อาจจะน้ำมันถูก เมื่อเทียบกับค่าแรง และราคาของรถยนต์สมเหตุสมผล รถดีมีให้เลือกเยอะ ตัดภาพมาไทย...

2. อเมริกา อันนี้นอกจากน้ำมันถูก รถถูกแล้ว ประเทศเค้าใหญ่มากครับ เติมน้ำมันสะดวกกว่าอยู่แล้ว

ผมเองก็อยากใช้รถ Hybrid ต่อนะครับ แต่ในราคาที่ผมจ่าย ไม่มีรถคันไหนให้สิ่งที่คุ้มค่าเงินที่จ่ายได้เลย แต่ละคันให้มาขาดๆ เกินๆ ทั้งนั้น

ปล. ผมไม่ได้ใช้รถจีนนะ



namea

จะน้อยจะมากเป็นเรื่องผลประโยชน์ล้วนๆ ส่วนผู้บริโภคอย่างเรา อะไรตอบโจทย์ตอนนี้ก็จัดครับ