สิ่งที่หลายคนอยากจะรู้ที่สุด คงไม่ใช่สิ่งที่ผมเล่ามาข้างต้น แต่...เป็นเครื่องยนต์บล๊อคใหม่นี้ต่างหาก
อยากจะรู้นักว่าเป็นอย่างไร เอ้าาา ! ตามมาเลยครับ สตาร์ทเครื่องยนต์แล้วไปพร้อมๆกัน
ในรุ่น Z-Prestige กุญแจนั้นจะเป็นแบบ Smart Keyless Entry เพียงแค่พกกุญแจนี้ไว้กับตัว
กดปุ่มที่มือจับเปิดประตู ก็สามารถเปิดประตูเข้าตัวรถได้อย่างง่ายดาย การสตาร์ทรถนั้น ต้องเหยียบ
คลัตซ์ค้างไว้ แล้วกดปุ่มสตาร์ท เท่านี้ก็เตรียมตัวรัดเข็มขัดแล้วออกเดินทางไปด้วยกันเลยครับ
เครื่องยนต์ดีเซลบล๊อคใหม่ 1.9 ลิตร รหัส RZ4E-TC ขนาด 1,898 ซีซี.
4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว DOHC ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ ระบายความร้อนด้วยน้ำ
Commonrail Direct Injection พร้อมเทอร์โบแปรผันแบบครีบ VGS และ Intercooler
ความกว้างกระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก 80 x 94.4 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (ps) ที่ 3,600 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที
จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ พร้อมระบบ Genius Sport Shift แจ้งเตือนให้เปลี่ยนเกียร์
ในรอบและความเร็วที่เหมาะสม มีไฟบอกตำแหน่งเกียร์ที่หน้าจอ MID บนมาตรวัด
อัตราทดเกียร์ มีดังต่อไปนี้
เกียร์ 1 4.942
เกียร์ 2 2.430
เกียร์ 3 1.428
เกียร์ 4 1.000
เกียร์ 5 0.749
เกียร์ 6 0.634
เกียร์ถอยหลัง 4.597
อัตราทดเฟืองท้าย 3.909
พอจะเริ่มออกตัว เหยียบคลัตซ์ เข้าเกียร์ 1 อย่างแรกที่ผมรู้สึกคือ ตำแหน่งคลัตซ์จะตั้งไว้
ค่อนข้างสูงไปนิดนึง แต่ถ้าพอคุ้นชินแล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เกียร์ 1 นั้นจะทดมา
ค่อนข้างจัด หมดไว การออกตัวนั้น ช่วงแรก 0-30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเกียร์ 1 จะไม่ค่อย
น่าตื่นเต้นเท่าไหร่ ไปตามธรรมดาปกติ แต่พอเข้าเกียร์ 2 เท่านั้นแหละหลัง รอบเครื่องแตะ
1,800 รอบ/นาทีไปนั้น พุ่งทยานไปไวใช้ได้ แรงบิดมาอย่างต่อเนื่อง ติดบูสต์ไว ต่อเนื่อง
ไปเกียร์ 3 และ เกียร์ 4 เกียร์ 5 กำลังมาแบบเหลือๆ ความเร็วขึ้นไวพอสมควร เทียบกับ
Toyota Hilux Revo 2.4 และ Ford Ranger 2.2 ช่วงออกตัว 0-30 กิโลเมตร/ชั่วโมงแรก
จะรู้สึกว่า D-max 1.9 ไปได้ช้ากว่า แต่เมื่อไหร่ที่ผ่านช่วงเกียร์ 1 ไปแล้ว เจ้านี่จะพุ่งทยาน
และไต่ความเร็วได้ไวกว่าทั้งคู่ ทั้งช่วงกลางและช่วงปลาย
การจับเวลา อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้นเนื่องจากเป็นเกียร์ธรรมดา ต้องอาศัยจังหวะ
ถนนโล่ง และจังหวะการชิฟท์เกียร์ที่ต่อเนื่อง ช่วงที่เทสต์คันนี้เป็นช่วงกลางวัน และรถค่อนข้าง
มาต่อเนื่องเลยยังไม่มีโอกาสได้จับเวลามาให้ชมตัวเลขกันครับ
แต่ไม่ต้องผิดหวังกันครับ ถึงแม้อัตราเร่งช่วงออกตัว 0-100 จะไม่ได้จับเวลา แต่อัตราเร่งแซง
80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ทำมาให้ชมกันครับ จับเวลา 3 ครั้ง ตอน 11.00 น.
อุณหภูมิช่วงเวลาที่เทสต์ ประมาณ 33-35 องศาเซลเซียส
อัตราเร่ง 80-120 km/h ที่เกียร์ 4
ครั้งที่ 1 8.84 วินาที
ครั้งที่ 2 8.77 วินาที
ครั้งที่ 3 8.80 วินาที
อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง อย่างไม่เป็นทางการทำได้เฉลี่ย 8.80 วินาทีลองเทียบกับตัวเลขผลทดสอบของ Headlightmag.com ที่พี่ J!MMY เป็นคนเทสต์
ช่วงเวลากลางคืน อุณหภูมิประมาณ 25-27 องศาเซลเซียส
จะเห็นว่าตัวเลขอัตราเร่งแซงช่วง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ของตัว Double Cab 4 ประตู
1.9 ลิตรเกียร์ธรรมดา เมื่อเทียบกันแล้วค่อนข้างใกล้เคียงกับ 3.0ลิตร เกียร์อัตโนมัติ เลยทีเดียว
ตัวเลขนั้นเป็นรองอยู่นิดหน่อย จากการขับจริงเทียบกัน 2 คันนี้ เครื่อง 1.9 ลิตรแรงบิดที่มา
ในช่วงต้นจะไวและพุ่งกว่า 3.0 ลิตรอยู่นิดหน่อย แต่ช่วงกลางและช่วงปลาย 3.0 นั้นมีพละกำลัง
มากกว่า และไปไวกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นตัว 1.9 ลิตรจะได้เปรียบ 3.0 อยู่นิดหน่อย เพราะเป็นเกียร์ธรรมดา
แต่ผลงานที่ออกมาก็ถือว่าใช้ได้ ลืมไปได้เลยว่า นี่เครื่องแค่ 1.9 ลิตรนะ ออกไปฟัดกับเครื่องใหญ่กว่า
อย่าง 2.2-2.5 ลิตร ได้สบายๆ
แล้วถ้าเทียบกับ เครื่องเดิม 4JK1-TCX 2.5VGS เดิมล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง ตัวเครื่องใหม่ 1.9 ลิตรนั้น
ไปได้ไวกว่าแทบจะทุกช่วงความเร็ว เพราะเครื่อง 1.9 ลิตรใหม่ตัวนี้ มาทำตลาดแทน 2.5 DDi
116 แรงม้า และ 2.5 VGS 136 แรงม้า ทั้งหมด ตั้งแต่ตัวตอนเดียว Spark ไปจนถึง Double Cab
ใครที่เป็นห่วงว่าเครื่อง 1.9 ลิตร จะไหวมั้ย ตามที่ผมบอกข้างบนเลยครับ สบายมาก หายห่วง
แถมยังแรงกว่า 2.5 VGS เดิมเสียอีก
แต่อย่าพึ่งข้ามไป 2.4 High Power 181 แรงม้า ของ Triton หรือ 2.5 High Power 190 แรงม้า
ของ Navara นะ ถือว่าพละกำลังยังไม่ได้แรงขนาดนั้น รวมถึง 2.8-3.2 ลิตร ตัว High Power
ของแต่ละค่ายด้วย อย่าพึ่งเหิมเกริมไป ฮ่าๆๆ
ต้องเทียบกับ Revo 2.4 - Ranger/BT50pro 2.2 - Navara 2.5 (low) - Colorado 2.5
ถึงจะสมน้ำสมเนื้อกันมากกว่า สำหรับ D-max 1.9 ลิตร 150 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตรตัวนี้
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเป็นอย่างไรบ้าง? อย่าได้ถามครับ เพราะเวลาที่มีจำกัดเพียงแค่นี้
คงไม่ได้ทดสอบกัน แต่มีรอบเครื่องในย่านความเร็วต่างๆ มาให้ชมกันครับ
ความเร็วบนมาตรวัด @ รอบเครื่องยนต์ (ที่เกียร์ 6)
80 km/h @ 1,350 rpm
90 km/h @ 1,500 rpm
100 km/h @ 1,700 rpm
110 km/h @ 1,800 rpm
120 km/h @ 2,000 rpm
ระยะชิฟท์เกียร์ล่ะ? เป็นอย่างไรบ้าง? Isuzu ก็ยังคงเป็น Isuzu เหมือนเดิม ระยะชิฟท์ก็ยังคง
เป็นฟีลลิ่งสไตล์กระบะทั่วๆไป กำลังพอดีๆ ไม่สั้น ไม่ยาวเกินไป ถ้าเทียบกับระยะของ Ranger
และ BT-50pro ก็ยังเป็นรอง 2 รายนั้นอยู่ สั้นกระชับประดุจรถเก๋ง สับไวทันใจ แต่สำหรับของ
D-max ก็ไม่ได้แย่อะไร ระยะชิฟท์พอๆกันกับกระบะค่ายอื่นที่เหลือทั้งหมดนั่นแหละครับ
แต่คราวนี้รุ่นเกียร์ธรรมดา Isuzu เค้าจัดระบบ Genius Sport Shift มาให้ มีไฟบอกตำแหน่งเกียร์
โชว์อยู่บนจอ MID ช่วยแจ้งเตือนให้เปลี่ยนเกียร์ในรอบและความเร็วที่เหมาะสม จะขึ้นไฟลูกศร
สีเขียวพร้อมบอกตำแหน่งเกียร์ถัดไป
พวงมาลัยยังคงแม่นยำ ระยะฟรีไม่มาก และน้ำหนักกำลังดีสำหรับรถกระบะ เหมือนรุ่นเดิม
ไม่เบาไปแบบ Triton, Navara และเบาหวิวสุดๆในช่วงความเร็วต่ำอย่าง Ranger
อันนั้นก็เบาเกินไป แต่ถ้าเทียบกับ Hilux Revo แล้ว รายนั้นจะเหมาะกับคนทั่วไป
ที่ไม่ได้ขับกระบะหรือผู้หญิงมากกว่า เพราะช่วงความเร็วต่ำ น้ำหนักจะเบากว่านิดหน่อย
ระบบเบรกพอดีว่ารถที่เทสต์เนี่ย ก่อนลองยังวิ่งมาแค่ 4 กิโลเมตร สดใหม่มากๆ ผ้าเบรกนั้น
คิดว่ายังคงไม่ได้รันอิน เลยขอแปะป้ายไว้ก่อน ไว้ถ้ามีโอกาสได้มาลองอีก และรถวิ่งไปได้
สักระยะหนึ่งแล้ว น่าจะเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้ แต่เท่าที่ลองดูคร่าวๆ ก็ไว้ใจได้อยู่
ช่วงล่างนั้นยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ยังคงมาสไตล์นุ่ม ช่วงความเร็วเกิน
140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต้องใช้สมาธิมากขึ้น เพราะความนุ่มของช่วงล่างด้านหน้าที่ยวบเกินไป
แต่ถ้าเป็นคนขับรถไม่เร็ว ก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือความเนียนเวลาวิ่ง
ด้วยความเร็วปกติดีขึ้น รวมถึงการจิกโค้ง เข้าโค้งต่างๆ ทำได้ดีขึ้น ส่วนตัวคิดว่า เป็นเพราะ
ล้อที่เพิ่มขนาดเป็น 18 นิ้ว รวมถึงที่สำคัญมีการเปลี่ยนรุ่นของยางที่ให้ จากเดิม Dueler
รุ่น 840 เปลี่ยนเป็นรุ่น 684II แบบเดียวกันกับที่อยู่ใน Ranger Wildtrak และ Toyota
Fortuner ทำให้ช่วยในเรื่องของการเข้าโค้งและการตอบสนองของช่วงล่างดีขึ้นเล็กน้อย
อีกอย่างที่เกือบจะลืมพูดถึงไปก็คือ เสียงเครื่องยนต์ เงียบขึ้นกว่าเดิมมากกก (เน้นว่ามาก)
ถ้าเทียบกับตระกูล 4J เดิม เรียกว่าคนละเรื่องเลยทีเดียว ทั้งเสียงเวลายืนอยู่นอกตัวรถ
และเสียงเครื่องยนต์ เวลานั่งอยู่ในตัวรถ เงียบกว่าเดิมชัดเจนมากๆ รวมถึงการเร่งไปใน
ช่วงความเร็วต่างๆก็ไม่รบกวนโสตประสาทแบบเครื่องเดิม ถือว่ามีการพัฒนาเรื่องความดัง
แบบก้าวกระโดดเลยก็ว่าได้ แต่.....มันก็เงียบในแบบที่รถกระบะเครื่องยนต์ดีเซลควรจะเป็น
นะครับ อย่าพึ่งไปเทียบกับ 1.5 Skyactiv-D ที่อยู่ใน Mazda2 เพราะเครื่องมันถูกออกแบบ
มาในวัตถุประสงค์การใช้งานที่ต่างกัน ถ้าจะให้เทียบก็ต้องเทียบกับรถกระบะด้วยกัน ถือว่า
ทำออกมาได้ทัดเทียมกับชาวบ้านชาวช่องเค้าแล้ว และถือว่าเงียบกว่าบางยี่ห้อแล้วด้วย
หลังจากเป็นแชมป์เรื่องความดังของเสียงเครื่องยนต์มานานตั้งแต่สมัยมังกรทอง
เสียงเครื่องยนต์เงียบขึ้นแล้ว เสียงลมจากขอบประตู-หน้าต่างล่ะ ที่หลายคนบ่นว่าดัง
ในรุ่นเดิม ก็ต้องขอบอกว่า....เหมือนเดิมครับ ยังดังอยู่เหมือนเดิม แต่บรรยากาศการนั่งโดยสาร
มันสุนทรีย์ขึ้น จากเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบขึ้นมาช่วยส่วนหนึ่ง ก็ยังต้องปรับปรุงอยู่นะครับ
ในเรื่องของเสียงลมจากขอบประตูหน้าต่าง
มาว่ากันด้วยเรื่องน้ำหนักตัวรถกันบ้าง หลายคนสงสัยไหนบอกว่า เครื่อง 1.9 ลิตรเบาลงกว่าเดิม
ถึง 60 กิโลกรัม แต่ทำไมน้ำหนักตัวรถถึงเพิ่มถึง 155 กิโลกรัมล่ะ เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม
ก่อน minorchange ? คือแบบนี้ครับ ด้วยด้วยพรบ. ผมไม่แน่ใจว่าฉบับไหน แต่หลายคน
คงทราบดีว่า แต่ก่อนพรบ.ฉบับอันโบราณเนี่ย มีการจำกัดน้ำหนัก รถกระบะแค็บไว้ว่าต้อง
ไม่เกิน 1,600 กิโลกรัม ทำให้การเขียนน้ำหนักลงใน Specsheet เป็นปัญหาอยู่ บางค่าย
เลือกที่จะไม่ระบุลงไป บางค่ายอย่าง Isuzu เลือกที่จะเขียนลงไป ทำให้การชั่งน้ำหนักตัวรถ
เป็นการชั่งแบบตัวรถเปล่าๆ ไม่มีของเหลวใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะน้ำมัน น้ำมันเครื่อง น้ำหล่อเย็น
ในหม้อน้ำ และน้ำมันในระบบต่างๆ ไม่มีเลย ต่างจากน้ำหนักที่ระบุในรถทั่วๆไป
ทีนี้เมื่อ ปี 2014-2015 ที่ผ่านมา พรบ.ฉบับนี้ได้มีการแก้ไข เปลี่ยนใหม่ให้ทันตามโลกแล้ว
จึงมีการระบุน้ำหนักลงไปใหม่ รวมถึงรถค่ายอื่นๆด้วยให้เป็นปัจจุบัน เลยทำให้น้ำหนักของ
D-max นั้นเพิ่มขึ้นเป็นเกณฑ์เดียวกัน ซึ่งน้ำหนักตัวของรุ่น Double Cab 1.9 M/T
อยู่ที่ 1,865 กิโลกรัม (จากเดิม 1,710 กิโลกรัม) และรุ่นท๊อปสุดอย่าง V-Cross A/T
ก็ไปจบอยู่ที่ 1,985 กิโลกรัม ก็ใกล้กันกับคู่แข่งรายอื่น
แต่ทั้งหมดทั้งมวลกระบะในตลาดที่น้ำหนักตัวมากที่สุดก็เห็นจะเป็น Ranger 3.2 Wildtrak
ที่น้ำหนักตัวอยู่ที่ 2,150 กิโลกรัม กระโดดพรวดหนักกว่าชาวบ้านอยู่ประมาณ 100-150 กิโลกรัม
อันเนื่องมาจากน้ำหนักของเครื่องยนต์ 5 สูบ และตัวถังที่ใหญ่กว่า (แต่รุ่นอื่นๆของ Ranger
เช่นรุ่น 2.2 ก็มีน้ำหนักตัวก็มากกว่าคู่แข่งเล็กน้อยประมาณ 40-60 กิโลกรัม)
ราคาค่าตัวกับอุปกรณ์ที่ให้มาล่ะ? คุ้มค่ามั้ย เทียบกับคู่แข่งเป็นอย่างไรบ้าง ?
สำหรับรุ่นนี้ Double Cab Hi-lander 1.9 M/T Z-Prestige ค่าตัวอยู่ที่ 921,000 บาท
ระบบช่วยเหลือการขับขี่นั้นก็มีมาให้อย่างครบครัน ทั้ง ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESC,
ระบบป้องกันการลื่นไถล TCS, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA ที่เพิ่มมาใหม่
ถุงลมนิรภัยคู่หน้า รวมถึงระบบเครื่องเสียงความบันเทิงที่จัดเต็ม กล้องมองภาพขณะถอยจอด
เบาะปรับไฟฟ้า ก็ถือว่าครบอยู่เหมือนกัน
เมื่อเทียบกับคู่แข่งสำคัญอย่าง Hilux Revo ก็คงจะต้องเป็นรุ่น Double Cab Prerunner
2.4G M/T 925,000 บาท ที่ในภาพรวมก็ถือว่าอุปกรณ์ครบๆใกล้เคียงกัน สิ่งที่ Revo จะได้
มากกว่าคร่าวๆ คือถุงลมหัวเข่า 1 ใบ ช่องแอร์ตอนหลัง และ Cool box ส่วน D-max
จะเหนือกว่าตรงที่มีระบบช่วยเหลือการขับขี่มาให้ครบ ESC, TCS, HSA แต่ Revo ไม่มี
รวมถึง rare item ที่ชาว Revo อยากได้กันมากคือ ไฟโปรเจคเตอร์ และ ไฟ DRL
D-max ก็ให้มาตั้งแต่รุ่นกลางๆ แต่...ตรีเพชร อีซูซุ อย่าพึ่งชะล่าใจไป Toyota เค้าอัดส่วนลด
ตอนนี้อยู่ราวๆ 60,000 - 75,000 บาท สำหรับรุ่นย่อยนี้ ก็คงเป็นที่หนักใจของลูกค้า
ว่าจะเอายังไงดี ? เอาเป็นว่าก็ไปทดลองขับและลองนั่งกันครับ ว่าชอบคันไหน แล้วก็ค่อยๆ
ตัดสินใจกันไป ความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ชอบคันไหน คิดว่าคันไหนเหมาะกับ
การใช้งานของเราก็จัดไปครับ
ส่วน Ford Ranger 2.2 Wildtrak M/T 925,000 บาทหรอครับ ถ้าจะให้เทียบ เค้าน่ะ
อุปกรณ์ชนะเลิศ กินขาดไปเต็มๆ แต่อาจจะต้องมาเสี่ยงกับความทนทานและศูนย์บริการกันหน่อย
แค่นั้นเอง เอง??? นอกนั้นถือว่า Ford ทำรถมาได้ค่อนข้างจะเหนือกว่าในหลายๆด้านอยู่พอสมควร
สุดท้ายแล้วขอสรุปสั้นๆสำหรับ Isuzu D-max 1.9 ลิตร
ในเรื่องของเครื่องยนต์นั้น สบาย หายห่วง กำลังมาต่อเนื่อง แรงดี ถือว่าเปลี่ยนแปลงจากเดิม
แบบค่อนข้างก้าวกระโดดสำหรับเครื่องยนต์ตัวรองของ Isuzu ใครที่กังวลว่า โหยย เครื่องเดิม
2.5 VGS ค่อนข้างอืด แล้วมาเป็น 1.9 ลิตรเล็กลงไปอีก ไม่แย่หรอ ? ขอให้สลัดความคิดนั้น
ทิ้งลงถังขยะไปซะ ถ้าเป็นผมเครื่อง 1.9 ตอนนี้มันแอบน่าซื้อกว่า 3.0 อีกเสียด้วยซ้ำ
ในภาพรวมถือว่ามีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นมาก แต่หลายๆอย่างก็ยังคงต้องการปรับปรุงอยู่
อย่างที่ได้บอกไปข้างต้น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ถือว่าเป็นความกล้าที่จะเปลี่ยนของ Isuzu
ท้าทายกับความคิด ความเชื่อเดิมๆของลูกค้า ว่าเครื่องเล็กจะต้องอืด วิ่งไม่ไหว ขอเครื่องใหญ่ๆ
ไว้ก่อน ก็จะได้เปลี่ยนความคิดกันเสียที เครื่องเล็กลง แต่แรงขึ้น ปล่อยมลพิษน้อยลง
สำหรับคันนี้ รุ่นย่อยนี้ ปล่อย CO2 อยู่ที่ 176 กรัม/กิโลเมตร ถือว่าต่ำพอสมควร
ตัวรถของค่ายกล้าที่จะเปลี่ยนแล้ว แต่ ตรีเพชร อีซูซุ พร้อมที่จะเปลี่ยนหรือยัง ? กับการที่จะ
เปิดกว้างให้สื่อโดยปกติทั่วไป สามารถเอารถไปทดสอบได้ โดยที่ตรีเพชรไม่ได้เป็นผู้เลือก
อย่าห่วงไปเลยครับ ตัวรถน่ะ ดีทัดเทียมคู่แข่ง ถึงจะมีบางด้านด้อยกว่า แต่บางด้านก็เหนือกว่า
ลูกค้ามีหลายกลุ่ม หลายประเภท ความชอบไม่เหมือนกัน ตัวรถจะดี จะด้อยอย่างไร
สุดท้ายแล้วเค้าก็ต้องเลือกตามความชอบของตัวเองอยู่ดี ไม่ได้เลือกเพราะสื่อบอก หรือชี้นำ
หลายคนอาจจะสงสัย ไหนบอกไม่ให้สื่อเทสต์ แล้ววันนี้ผมเอามาขับและเล่าฉอดๆๆๆได้อย่างไร
ก็ต้องขอขอบคุณ Isuzu Metro สาขาราชพฤกษ์ที่ให้ผมได้ทดลองขับใน "ฐานะลูกค้า" ครับ
เปิดกว้างให้ผมได้ลองกันอย่างเต็มที่ ขอบคุณคุณตั้ว คุณนาง คุณเน คุณเค ที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีด้วยครับ