ผู้เขียน หัวข้อ: ทิศทางการพัฒนาเครื่องยนต์ของรถฝั่งยุโรป.....ไหงไปทางแนวญี่ปุ่นซะล่ะ  (อ่าน 8580 ครั้ง)

ออฟไลน์ turbo46

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 31
    • อีเมล์
จากเครื่องยนต์ฝั่งยุโรปที่เคยเป็นเครื่อง v6, v8, N/A ทำไมตอนนี้กลับจะมาพัฒนาเครื่อง 4 สูบ เทอร์โบซะล่ะเนี่ย ทั้ง BMW

,Porsche, Mercedes Benz ล่าสุด BMW กับเครื่องรหัส N20 ที่โปรโมทว่า 120 Hp/Litre จะมาแทนเครื่องยนต์ 6 สูบใน

ปัจจุบัน ???? BMW 4 สูบเนี่ยนะ คงจะแปลกๆ

ซึ่ง 4 สูบเบนซินเทอร์โบ ญี่ปุ่นก็ทำมานานแล้วนี่ แสดงว่าถ้าเป็นอย่างนี้ญี่ปุ่นก็น่าจะได้เปรียบในเรื่องของ Know how สินะ

 ตกลงเพิ่งคิดได้หรือว่าเพราะสถานการณ์พลังงานมันทำให้ต้องกำหนดทิศทางกันใหม่เหรอครับ  งั้นอีกหน่อย เสน่ห์ของเครื่อง

สูบ

เยอะ N/A ทั้งหลายคงจะไม่ได้สัมผัสกันละมั้ง คงจะได้เห็นมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามามี่ส่วนร่วมมากขึ้น ระบบ Idling stop จะกลายเป็น

มาตรฐานติดรถทุกคันหรือเปล่า หรือเครื่องยนต์ High CR เบนซิน ของMazda จะเป็นที่นิยมดีล่ะเนี่ย......อยากให้เพื่อนๆช่วยแชร์ความเห็นเกี่ยว

กับทิศทางการพัฒนาเครื่องยนต์เบนซิน หรือ เครื่องยนต์ไฮบริด ว่าสุดท้ายแล้ว Supercar ยังจะมีอยู่บนโลกนี้ต่อไปมั้ย ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ J!MMY

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15,629
    • www.headlightmag.com
    • อีเมล์
เทรนด์ที่มีมาสักพักแล้วคือ
- เครื่องยนต์สันดาป ความจุกระบอกสูบน้อยๆ ปล่อยมลพิษน้อยๆ แต่ได้กำลังเยอะๆ
- เครื่องยนต์ Hybrid ต้องแรงขึ้นอีกนิด แต่ประหยัดขึ้นอีกมาก
- รถไฟฟ้า เอาแค่ว่าให้ "แล่นได้ไกลอีกนิดนะ อยู่ด้วยกันอีกนิดนะ" แค่นี้หัววิศวกรก็แทบระเบิดแล้ว

Chariot

  • บุคคลทั่วไป
.
อย่าว่าแต่บีเอ็มหรือเบนซ์เลย ขนาดเฟอร์รารี่ยังทำรถไฮบริดขายแล้วครับ (และตอนนี้ขายหมดแล้วด้วย)

สถาณการณ์พลังงานโลกน่าเป็นห่วงเพราะเหลือน้อยลงทุกที แต่เรากลับมานั่งห่วงว่ารถยุโรปต้องใช้ 6 สูบเหรอ?

ใครจะอัดอากาศ ใครจะหายใจเอง แต่สุดท้ายเป้าหมายก็คือ ลดซีซี เพิ่มแรงม้า เป็นหัวใจหลักของการพัฒนาเครื่องสันดาปภายในตอนนี้ครับ
.

ออฟไลน์ koruru

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 765
    • อีเมล์
ลดซีซี เพิ่มแรงม้า ประหยัดน้ำมัน ลดมลพิษ

4 คำนี้เป็นประเด็นหลัก

ออฟไลน์ Pan Paitoonpong

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,457
  • Long live M/T
ที่จริงถ้าบอกว่าหันไปทางรถญี่ปุ่นก็คงไม่ใช่เพราะ 4 สูบเทอร์โบนั้นทั้งญี่ปุ่นและยุโรปต่างทำมาทั้งคู่ตั้งแต่อดีตมาแล้ว ที่เรารู้สึกว่าเราไม่เห็นยุโรปทำ turbo4 มาก่อนเพราะค่ายใหญ่ๆไม่ทำ แต่ค่ายเล็กๆทำมานานแล้ว Volvo, Saab, Renault, Lancia Delta เป็นต้น

สาเหตุที่ว่าทำไมตอนนี้จึงต้องกลับมาเล่น Turbo4 ก็เพราะเรื่องอัตราการสิ้นเปลืองและมลภาวะเป็นหลัก
ประกอบกับเทคโนโลยีแคมชาฟ์แปรผัน และอื่นๆที่ทำให้เครื่องยนต์ของทุกวันนี้สามารถขับได้ดีขึ้นใน
ช่วงไม่มีบูสท์

เครื่อง 4 สูบ มีน้ำหนักที่เบา ขนาดกระทัดรัด วางง่าย ไม่ซับซ้อน มีแรงเสียดทานภายในต่ำ
เมื่อจอดเดินเบาย่อมเปลืองน้ำมันน้อยกว่า V6 หรือ V8

Knowhow เครื่อง Turbo4 ของญี่ปุ่นไม่ได้ล้ำเหนือยุโรป ที่จริงน่าจะสูสีกันมากกว่า แคมชาฟท์แปรผัน ก็มี
หัวฉีดตรง กล่อง 32bit อะไรที่ญี่ปุ่นมี ยุโรปมีหมด ที่จริง ยุโรปใช้กล่อง 32Bit กับ Saab 9000 Trionic มาตั้งแต่ปี 1993 แล้ว ตอนนั้นญี่ปุ่นยังไม่มีเทอร์โบ 4 สูบที่มีกล่องแบบนี้


ส่วน Supercar นั้น Tesla กับ Jaguar รถต้นแบบสปอร์ตไฟฟ้า (จำชื่อไม่ได้) ก็พิสูจน์แล้วว่า แรงเหลือเฟือ
และเร็วสั่งได้โดยไม่ต้องพึ่ง V12 สูบ

อนาคตถ้าผู้ผลิตซูเปอร์คาร์จะรอด ก็ต้องหากำลังเสริมในการขับเคลื่อน เพราะ V12 ทุกวันนี้วิ่งไปกิโลนึง ปล่อย
CO2 มากกว่า Volvo S60 2.0T สองคันรวมกัน ก็ต้องเปลี่ยนกิโลเมตรที่ขับเคลื่อนเหล่านั้นให้วิ่งบนพลังงานไฟฟ้า และใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในก็ต่อเมื่ออยู่ในสนามหรือกดเต็มๆเท้า
- Nissan Tiida บ้านๆ/NX Coupe/AE111/190E1.8

ออฟไลน์ Ruksadindan

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,047
เห็นโอกาสจะก้าวหน้าก็ต้องมองตามและเดินไปสิครับ

ออฟไลน์ Artty_Ray

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 304
  • -!@#$%
อยากให้ เน้นพัฒนาเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือกอย่าง CNG
My impression is Impreza

ออฟไลน์ turbo46

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 31
    • อีเมล์
ขอบคุณทุกๆคนมากนะครับที่ช่วยมาแชร์กัน โดยเฉพาะพี่จิมมี่และคุณแพน ที่สละเวลามาให้ความเห็น.......แต่ก็อยากรู้อ่ะนะว่า ที่สุดแล้ว Gasoline engine จะมีอะไรให้เล่นอีกนอกจาก เพิ่มอัตราส่วนกำลังอัด  ฉีดเชื้อเพลิงตรง วาล์วแปรผัน ท่อไอดีแปรผัน หัวเทียนคู่ เทอร์โบ ซุปเปอร์ชาร์จ ข้อเหวี่ยงแบบ cross plane ......ถ้าไม่นับมอเตอร์ไฟฟ้าอ่ะนะครับ

ออฟไลน์ 2k

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,752
อย่ายึดติดกับรูปแบบของแหล่งกำเนิดพลังงานครับ ตอนนี้ใช้เครื่องยนต์ที่ทำงานด้วยน้ำมันในอนาคตอาจเปลี่ยนไปเป็นไฟฟ้าทั้งหมดหรือใส่เตาปฏิกรขนาดเล็กแทนก็ได้ แค่มันเกาะถนนอย่างดีและแล่นได้เร็วเกิน 400 ยังไงมันก็เป็นรถพิเศษอยู่ดี เฟอรารี่ลัมโบกินี่ในยุคของเราอาจเป็นที่กังขาแก่คนในอนาคตก็ได้ว่าใช้กันไปได้ยังไงกับรถที่ใช้พลังงานน้ำมันสิ้นเปลืองและก่อมลพิษมากเช่นนี้ สมัยเค้าคงจะไม่มีคราบเขม่าคาร์บอนไดออกไซจากยานยนต์กันแล้ว ใช้รถกันทีแล่นเป็นเดือนกว่าจะต้องชาร์จไฟหรือเติมอณูในเตาปฏิกรกันใหม่  :)


ถ้าที่ผ่านมา BMW ทำเครื่อง 6 สูบที่มีชื่อเสียงขึ้นมาได้เค้าก็ต้องทำเครื่อง 4 สูบเทอร์โบที่ยอดเยี่ยมออกมาได้เช่นกัน จะถือฐิทิว่าจะลดขนาดเครื่องยนต์ให้เล็กเหมือนญี่ปุ่นแล้วเสียศักศรีไม่ได้แล้วครับ ในอดีตที่ผ่านมารถอเมริกันคันโตๆเครื่องใหญ่มากๆก็ตายเพราะวิกฤติน้ำมันในอดีต รถญี่ปุ่นแจ้งเกิดได้ก็เพราะเรื่องนี้นี่แหละ ถ้ารถยุโรปทั้งหลายยังดื้อไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเป็นได้โดนโตโยต้าตีแตกกันหมดแน่ ให้เค้าพัฒนาไปเรื่อยๆแหละดีแล้วจะได้ลดการใช้พลังงานไปเรื่อยๆ ในยุคของเราอาจได้เห็นรถที่ใช้น้ำมันระดับมิลลิตรต่อหลักสิบกิโลเมตรก็ได้  ;D
หมาเฝ้าบ้านแจกฟรีจ้า www.dogfindhome.com


ออฟไลน์ J!MMY

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15,629
    • www.headlightmag.com
    • อีเมล์
อยากให้ เน้นพัฒนาเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือกอย่าง CNG

CNG เหมาะจะใช้แค่ภาคการขนส่งมากกว่าครับ และนั่นคือการดึงเอามาใช้มากที่สุดเท่าที่มันควรเป็นแล้ว
ใน Australia หรือ Italy เขาไปทาง LPG กัน แต่บ้านเรา นโยบาย มันมาจากการที่ ปตท ขุดและเจอ CNG
ให้เอามาใช้ได้เยอะอยู่พักนึง เลยพยายามส่งเสริมกันอย่างมึนๆ นั่นละครับ

ออฟไลน์ turbo46

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 31
    • อีเมล์
อยากให้ เน้นพัฒนาเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือกอย่าง CNG

CNG เหมาะจะใช้แค่ภาคการขนส่งมากกว่าครับ และนั่นคือการดึงเอามาใช้มากที่สุดเท่าที่มันควรเป็นแล้ว
ใน Australia หรือ Italy เขาไปทาง LPG กัน แต่บ้านเรา นโยบาย มันมาจากการที่ ปตท ขุดและเจอ CNG
ให้เอามาใช้ได้เยอะอยู่พักนึง เลยพยายามส่งเสริมกันอย่างมึนๆ นั่นละครับ


เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับพี่จิมมี่ครับ ในต่างประเทศรถที่ใช้ CNG จะต้องเป็นรถที่วิ่งประจำทางเช่น รถบรรทุก หรือขนส่งมวลชน ในเส้นทางหลักนอกเมืองซะส่วนใหญ่ เพราะปั๊มแก๊สเค้าจะตั้งอยู่บนแนวท่อก๊าซที่อยู่ใต้ดิน ไม่ได้ขนส่งก๊าซแบบรถบรรทุกแบบบ้านเราครับ จึงทำให้ไม่เกิดปัญหา CNG ไม่พอจ่าย และด้วยคุณสมบัติของ CNG ที่ถ้าอยู่ในอุณหภูมิปกติธรรมดาจะมีสถานะเป็นไอแล้ว จะมีข้อจำกัดด้านปริมาณทำให้ขนส่งได้ทีละน้อยเท่านั้น(ในกรณีขนส่งทางรถบรรทุก) นอกเสียจากจะทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลงเหลือ -160องศา ซึ่งจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวหรือ LNG ซึ่งวิธีนี้ส่วนมากจะใช้ไนโตรเจนเหลวในการทำความเย็นโดยนิยมใช้ขนส่งทางเรือเป็นส่วนมากครับ.......ว่าก็ว่า ผมเห็นรถเก๋ง +กระบะ บ้านเราติด CNG แล้วมันดูแปลกๆ ขำๆ ยังไงไม่รู้นะ ที่เชียงใหม่จะเติมทีต้องเข้าแถวกันตูดรถยื่นออกมานอกปั๊มและต้องแย่งกับสิบล้อกันวุ่นวายเลยครับ

*แก้ไขอุณหภูมิในการทำให้ cng กลายเป็น lng จาก -700 เป็น -160 ครับ จะให้ปริมาตรที่สามารถบรรจุได้เพิ่มขึ้น 600 เท่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 11, 2011, 00:55:51 โดย turbo46 »

ออฟไลน์ nutmos

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 271
    • อีเมล์
ยังไงก็ตาม ผมคิดว่า ตอนนี้ ต้องเน้น ซีซีน้อย ม้าเยอะ กำลังสูง ไอเสียต่ำ
เพราะพลังงานเริ่มเหลือน้อยลงเต็มที เศรษฐีบางคนจะซื้อรถหรูยังดูการกินเลย

ส่วนรถ Sport ผมบอกได้คำเดียวว่า "ไม่มีวันที่จะหายไปจากโลกใบนี้"
เพราะตราบใดที่มีเศรษฐีรักความเร็วอยู่ ก็ไม่มีวันที่รถ Sport จะหายไปหรอกครับ
มีแต่จะเปลี่ยนรูปแบบการใช้เครื่องยนต์ หรือพลังงานที่ใช้ครับ

ออฟไลน์ Satanic za'

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,072
ตอนแรกผมก็แอบสงสัยว่ายุโรปไม่มีการพัฒนาเครื่องยนต์ 4 สูบจริงหรือ โดยที่ในจริงผมก็คิดว่าไม่จริง

พอได้อ่านบทความของพี่แพนแล้วก็หายสงสัยเลยครับ ขอบคุณมาก

ผมว่าเรื่องพวกนี้ก็แปรผันไปตามกาลเวลาสมัยก่อนเราอาจจะไม่ได้จริงจังกันกับเรื่องของมลพิษ หรืออัตรากินน้ำมัน เพราะว่าน้ำมันราคาค่อนข้างต่ำ เค้าก็เลยทำเครื่องใหญ่ๆออกมาขายกันซะมาก

แต่พอมาถึงปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว รถคันไหนที่ทำให้ประหยัดน้ำมันพร้อมทั้งได้ความแรง + ปล่อยมลพิษน้อย นั่นแหละ คือรถของยุคนี้มากกว่านะครับ

ส่วนตัวผมก็คิดว่า Know how เท่าๆกันนั่นแหละ ไม่มีใครเด่นกว่าใครหรอกครับ

ส่วน super car ผมเชื่อว่ายังไงก็ยังคงมีอยู่ต่อไปที่ตราบใดโลกของเรายังมีคนมีเงินอยู่ เค้าไม่สนเรื่องค่าน้ำมันเท่าไหร่หรอกครับ เค้าเติมน้ำมันทีนึง ก็เหมือนเราซื้อน้ำเก๊กฮวยกินแหละครับ ไม่ระคายขนหน้าแข้งเค้าหรอก อิอิ

jaesz

  • บุคคลทั่วไป
สมัยก่อน เมื่อ BMW ยังมี E30  BENZ ยังมี W123 VOLVO มี 144

เครื่องยนต์ 4 สูบ ธรรมดา ไม่อัดอากาศน่ะ มีอยู่แล้ว แต่ขายไม่ดีครับ  เพราะทางยุโรป ถนนมันยาว น้ำมันไม่แพง มลภาวะยังไม่เยอะ เลยขายกันแต่เครื่องแรง ๆ 6 สูบแถวเรียงบ้าง V8 v12 บ้าง 2500CC ขึ้นไปนี่ขายดีเลย

รถเครื่องเล็ก ๆ ก็เลยไม่ค่อยถูกพัฒนา

มาหลัง ๆ เขาคำนึงกันเรื่องความประหยัด มลภาวะ และ ความแรง

เลยต้องหันมามองอดีต กลับไปทำเหมือนเดิม ครับ

ออฟไลน์ BrownCony

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 681
เด๊่ยวนะครับ Audi VW ก็ทำ 4 สูบเทอร์โบมานานแล้วไม่ใช่เหรอครับ
หรือผมเข้าใจผิด?

ออฟไลน์ Fly to dream

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,635
รู้สึกว่า 4 สูบเทอร์โบ ในยุโรปมีมานานแล้วนี่ แล้วไอ้วาวล์แปรผันนั้นด้วยมันอยู่ใน BMW

ยุโรปคงเน้นไปทางดีเซลมากกว่านะครับไม่ใช่เบนซิล เบนซิลก็จะเน้นเครื่องโตหรือไม่ก็เล็กไปเลย
ขยะของโลกออนไลน์​ในปัจจุบั​นคือเชื่อคนโง่ที่มีคำพูดสวยหรู​ หาข้อมูล​ไม่จริงมาโกหกคำโตๆ​ อีกอย่างคือพูดความจริงไม่หมด กับพวก​ Avatar ที่ทำเป็น​เก่ง​แต่เก่งน้อยในโลกความจริง​ซึ่งจะหาได้ง่าย

ออฟไลน์ 6162002

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,088

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับพี่จิมมี่ครับ ในต่างประเทศรถที่ใช้ CNG จะต้องเป็นรถที่วิ่งประจำทางเช่น รถบรรทุก หรือขนส่งมวลชน ในเส้นทางหลักนอกเมืองซะส่วนใหญ่ เพราะปั๊มแก๊สเค้าจะตั้งอยู่บนแนวท่อก๊าซที่อยู่ใต้ดิน ไม่ได้ขนส่งก๊าซแบบรถบรรทุกแบบบ้านเราครับ จึงทำให้ไม่เกิดปัญหา CNG ไม่พอจ่าย และด้วยคุณสมบัติของ CNG ที่ถ้าอยู่ในอุณหภูมิปกติธรรมดาจะมีสถานะเป็นไอแล้ว จะมีข้อจำกัดด้านปริมาณทำให้ขนส่งได้ทีละน้อยเท่านั้น(ในกรณีขนส่งทางรถบรรทุก) นอกเสียจากจะทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลงเหลือ -700 องศา ซึ่งจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวหรือ LNG ซึ่งวิธีนี้ส่วนมากจะใช้ไนโตรเจนเหลวในการทำความเย็นโดยนิยมใช้ขนส่งทางเรือเป็นส่วนมากครับ.......ว่าก็ว่า ผมเห็นรถเก๋ง +กระบะ บ้านเราติด CNG แล้วมันดูแปลกๆ ขำๆ ยังไงไม่รู้นะ ที่เชียงใหม่จะเติมทีต้องเข้าแถวกันตูดรถยื่นออกมานอกปั๊มและต้องแย่งกับสิบล้อกันวุ่นวายเลยครับ
CNGเหมาะกับรถบรรทุก หรือพวกรถขนส่งก็จริงครับ แต่เอาไปเทียบกับระบบท่อก๊าซต่างประเทศไม่ได้ ที่ในไทย บรรดาโรงกลั่นเขาไม่อยากให้ใช้ LPG เพราะมันเป็นการใช้ที่ต่างประเทศเขาสมเพชครับ เอาไปทำพวกโพรพิลีน ได้มูลค่าเพิ่มตั้งเยอะ ประเทศไทย เอามาลดราคา ขายใช้ในรถซะงั้น เปลืองเงินรัฐไปมากมายเปล่าๆครับ
แล้วก็จะCNG หรือ LPG ในสถานะปกติ มันก็เป็นไอทั้งนั้นแหละครับ และในหลายๆประเทศ CNG มีค่ามากๆ จนเขาเอา LPGมาเติมรถแทนไงครับ เช่น V-Power ที่ไทยเรายกย่องนักหนา มันก็มาจากแก๊สธรรมชาติเช่นกันครับ

ออฟไลน์ turbo46

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 31
    • อีเมล์

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับพี่จิมมี่ครับ ในต่างประเทศรถที่ใช้ CNG จะต้องเป็นรถที่วิ่งประจำทางเช่น รถบรรทุก หรือขนส่งมวลชน ในเส้นทางหลักนอกเมืองซะส่วนใหญ่ เพราะปั๊มแก๊สเค้าจะตั้งอยู่บนแนวท่อก๊าซที่อยู่ใต้ดิน ไม่ได้ขนส่งก๊าซแบบรถบรรทุกแบบบ้านเราครับ จึงทำให้ไม่เกิดปัญหา CNG ไม่พอจ่าย และด้วยคุณสมบัติของ CNG ที่ถ้าอยู่ในอุณหภูมิปกติธรรมดาจะมีสถานะเป็นไอแล้ว จะมีข้อจำกัดด้านปริมาณทำให้ขนส่งได้ทีละน้อยเท่านั้น(ในกรณีขนส่งทางรถบรรทุก) นอกเสียจากจะทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลงเหลือ -700 องศา ซึ่งจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวหรือ LNG ซึ่งวิธีนี้ส่วนมากจะใช้ไนโตรเจนเหลวในการทำความเย็นโดยนิยมใช้ขนส่งทางเรือเป็นส่วนมากครับ.......ว่าก็ว่า ผมเห็นรถเก๋ง +กระบะ บ้านเราติด CNG แล้วมันดูแปลกๆ ขำๆ ยังไงไม่รู้นะ ที่เชียงใหม่จะเติมทีต้องเข้าแถวกันตูดรถยื่นออกมานอกปั๊มและต้องแย่งกับสิบล้อกันวุ่นวายเลยครับ
CNGเหมาะกับรถบรรทุก หรือพวกรถขนส่งก็จริงครับ แต่เอาไปเทียบกับระบบท่อก๊าซต่างประเทศไม่ได้ ที่ในไทย บรรดาโรงกลั่นเขาไม่อยากให้ใช้ LPG เพราะมันเป็นการใช้ที่ต่างประเทศเขาสมเพชครับ เอาไปทำพวกโพรพิลีน ได้มูลค่าเพิ่มตั้งเยอะ ประเทศไทย เอามาลดราคา ขายใช้ในรถซะงั้น เปลืองเงินรัฐไปมากมายเปล่าๆครับ
แล้วก็จะCNG หรือ LPG ในสถานะปกติ มันก็เป็นไอทั้งนั้นแหละครับ และในหลายๆประเทศ CNG มีค่ามากๆ จนเขาเอา LPGมาเติมรถแทนไงครับ เช่น V-Power ที่ไทยเรายกย่องนักหนา มันก็มาจากแก๊สธรรมชาติเช่นกันครับ



ที่ไม่อยากให้ใช้ LPG นี่แน่ใจเหรอครับว่าเพราะเหตุผลนี้อย่างเดียว ในการขุดก๊าซธรรมชาติขึ้นมาเราจะได้โพรเพน บิวเทน และ

มีเทน ซึ่งต้องอาศัยกระบวนการการแยก แล้วแต่จุดประสงค์ว่าในขณะนั้นต้องการอะไรมากกว่า แล้ว LPG เราก็ขุดได้เองบาง

ส่วน ได้ By product จากการกลั่นน้ำมันด้วย(อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็น by product หรือเปล่า) เราขุดได้เอง + นำเข้าบ้าง มันก็เป็น

พลังงานทางเลือกที่น่าจะเหมาะสมกว่าไม่ใช่เหรอครับ CNG แรงดันในถัง 200 บาร์ ,lpg 1-7 บาร์ การจัดการ

อันไหนมันง่ายกว่า cng ออกเทน 120 lpg ออกเทน 100-105 อันไหนมันเหมาะสมกับเครื่องยนต์มากกว่าครับ .........แล้วเรื่อง

สถานะของ cng ผมต้องการสื่อว่าในถังที่มีแรงดัน cng อยู่ในสถานะใด ในขณะที่ lpg มากกว่า 2 บาร์ก็เป็นของเหลวแล้วล่ะ

ครับ มีทางที่ง่ายที่สุดในการทำ cng ให้เป็นของเหลวคือลดอุณหภูมิลงมาที่ -160 องศา (ในวิชาเชื้อเพลิงและสารหล่อลื่นแบบ

เบสิคๆ นะครับ) การขนส่งก๊าซทั้ง 2 ชนิด ในขนาดถังเท่ากัน ก๊าซใดจะได้ปริมาตรมากกว่ากัน มีไม่กี่ประเทศในโลกนี้หรอก

ครับ เอา cng ใส่สิบล้อส่งไปตามปั๊มอ่ะครับ มันไม่คุ้ม ยังไงก็ไม่คุ้ม.........ผมเห็นด้วยที่ lpg สามารถนำไปเป็นสารตั้งต้นผลิต

เม็ดพลาสติกได้ ซึ่ง ปตท มี plant นี้อยู่ไง เลยไม่อยากขาย lpg ให้ใครจะเก็บเอาไว้ใช้เองไม่ใช่เหรอครับ.....ในเมื่อ ปตท เป็น

รัฐวิสาหกิจ แน่นอนครับต้องมีผลกำไรประกอบการในส่วนของผู้ถือหุ้น.........และรัฐบาลไม่สามารถจัดการปัญหาพลังงานได้

เอาไบโอดีเซลมาใช้สุดท้ายก้ต้องยกเลิกเพราะมันไม่คุ้ม(ไบโอออยล์ ราคาแพง)  ใช้แก๊สโซฮอลล์ Ethanol ก็แพง เพราะ

เกษตรกรเอาพืชที่ใช้ทำไปขายโรงงาน

ผลิตอาหารสัตว์หมด(ได้ราคาดีกว่า) ยกเลิก เบนซิน 95 เฉยเลยทั้งๆที่ยังมีรถ High CR อยู่เต็มบ้านเต็มเมือง แล้วบอกเป็น

พลังงานทางเลือกได้ยังไง(มันเลือกไม่ได้) .........ด้วยเหตุผลนี้เราก็ต้องยอมรับแล้วล่ะครับว่าในเมื่อระบบการจัดการล้มเหลว

อย่างงี้ ก็ต้องรับสภาพการใช้พลังงานแบบผิดๆอย่างงี้ต่อไป ซึ่งแน่นอนครับ สำหรับคนที่รายได้

ไม่ได้มากมายอะไร "ทางเลือก" ที่มันลดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตถ้ามีก็จะทำ เพราะฉะนั้นคนไทยเลยต้องใช้ lpg แบบสมเพช

ไงล่ะครับ .......... ถูกผิดยังไง ต้องขออภัยด้วยครับ เพราะผมเข้าใจว่าอย่างนี้นะ ด้วยความเคารพ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 11, 2011, 00:51:08 โดย turbo46 »