Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: nimnim_thailand ที่ ธันวาคม 17, 2021, 15:07:39
-
เห็นว่า ev ปีหน้า จะทำให้วิ่ง 400 กิโลเมตร ต่อการ์ชาร์จ 1 ครั้ง เป็นมาตรฐานขั้นต่ำแล้ว แบบนี้ครอบคลุมการใช้งานคนส่วนใหญ่ได้สบายๆ
แถมการบำรุงรักษาก็แสนง่ายและถูกสุดๆ แล้วคนที่จะซื้อรถใหม่ในปีหน้าที่เป็นรถน้ำมัน มีเหตุหลักๆคืออะไรบ้างครับ ใครที่จะออกใหม่ในปีหน้าคิดเห็นอย่างไรช่วยแชร์กันหน่อยครับ
-
จำเป็นต้องออกกระบะ4ประตูใหม่ครับ แต่มันไม่มีตัวเลือกนอกจากดีเซล
-
ที่แพลนไว้คือ hybird กับ phev นะครับ ที่ไม่ไปไฟฟ้า100% หลักๆเลย
1. วิ่งทางไกลเดือนละ1-2ครั้ง ไม่สะดวกวางแผนหาปั๊มทุกทริปและไม่สะดวกจอดชาร์จเป็นชั่วโมงๆ
2. ยังชอบเสียงเครื่องยนต์เวลาเร่งเวลาอัดอยู่ครับ
3. รอให้มันพิสูจน์ตัวเองสัก5ปี ว่าดีจริงและรอให้สถานีมีเยอะจนไม่ต้องวางแผนครับ
-
เห็นว่า ev ปีหน้า จะทำให้วิ่ง 400 กิโลเมตร ต่อการ์ชาร์จ 1 ครั้ง เป็นมาตรฐานขั้นต่ำแล้ว แบบนี้ครอบคลุมการใช้งานคนส่วนใหญ่ได้สบายๆ
แถมการบำรุงรักษาก็แสนง่ายและถูกสุดๆ แล้วคนที่จะซื้อรถใหม่ในปีหน้าที่เป็นรถน้ำมัน มีเหตุหลักๆคืออะไรบ้างครับ ใครที่จะออกใหม่ในปีหน้าคิดเห็นอย่างไรช่วยแชร์กันหน่อยครับ
สินค้าออกใหม่ ยี่ห้อใหม่ บริษัทตั้งใหม่ ต้องรอดูผลงานก่อนครับว่าเป็นยังไง รถยนต์ที่เคยมาขายประเทศไทยแล้วเจ๊ง ปิดกิจการในประเทศไปแล้วก็เยอะนะ ยี่ห้อใหม่ๆที่มาขายในประเทศไทยเราจะมั่นใจได้ยังไงว่าจะยืนระยะได้นานๆ
-
ปีหน้าจะออกรถ จะซื้อรถน้ำมันไม่ hybrid ครับ
อยากได้ ev แต่ไม่มั่นใจรถจีน ปัญหาปลอมชิพ ปัญหาน้ำเข้าแบต ปัญหามอเตอร์ร้อน ฯลฯ แท่นชาร์จไฟไม่ครอบคลุม ขับรถไปชาร์ตไฟกลางทางไปไม่ใช่คำตอบที่ดีสำหรับผมครับ
ผมคิดว่าถ้า 5 ปี โครงสร้างพื้นฐานโอเค ก็ค่อยขายรถ ซื้อ ev ครับ
-
เคยเห็นรถต่อคิวเติม NGV ล้นออกมานอกปั๊มแล้วยังฝังใจครับ ขอใช้รถ Hybrid ไปก่อน รถคันต่อไปค่อยตัดสินใจอีกทีครับว่าจะไป EV หรือไม่
-
เพราะตัวเลือกเยอะ ราคาสมเหตุผสมผลกว่าครับ ไว้คันหน้า ev มีตัวเลือกเยอะๆก็ค่อยใช้ครับ
ไม่ได้ตั้งธงไม่ชอบรถแบบไหนเป็นพิเศษครับ
-
สำหรับผมคำถามควรเป็นทำไมต้องคิดซื้อรถ EV ปีหน้าดีกว่าครับ เราได้อะไรบ้างในฐานะคนใช้งาน?
-
ตัวเลือกที่เป็น EV หรือ Hybrid ก็คงมีเฉพาะรถยนต์นั่งครับ สำหรับเหตุผลที่อาจต้องใช้รถน้ำมันต่อไป (กรณีรถยนต์นั่ง) นะครับ
1. ยี่ห้อที่เราจะซื้อมีเฉพาะรถน้ำมันเท่านั้น
2. กลัว..ราคาตก
3. กลัว..ค่าซ่อมแพง
4. กลัว..ตกรุ่น เพราะรถพวกนี้ยังพัฒนาไปข้างหน้าอีกเยอะ ซื้อวันนี้พรุ่งนี้อาจกลายเป็นของเชยๆ ไปเลย
-
ผมยังหาเหตุผลที่ต้องซื้อรถ EV ไม่ได้เลยครับ นอกจาก เปิดแอร์นอนในรถได้ กับ ภาพลักษณ์ ที่ดูทันสมัย และรักษ์โลก
ทั้งด้านราคา ตัวเลือกเยอะกว่า ขับขี่ดีกว่า ความสเถียร์ ความปลอดภัย อย่างไงรถ ICE ก็เด่นกว่าครับ
-
สำหรับผมคำถามควรเป็นทำไมต้องคิดซื้อรถ EV ปีหน้าดีกว่าครับ เราได้อะไรบ้างในฐานะคนใช้งาน?
เห็นด้วยครับ เอาง่ายๆแค่ราคากับใช้เดินทางไกลยังไม่ตอบโจทย์แล้ว ยิ่งราคาค่าซ่อมไม่รู้จะแพงถึงไหนอีก ความปลอดภัยอีกด้วย
-
จะรอ Stationwagon ที่พับเบาะได้เรียบๆ ครับ
จริงๆ แล้วสนใจ MG EP EV แต่พอเห็นระบบความปลอดภัยที่ไม่ค่อยมาเต็มที่เหมือน MG ZS EV กับเรื่องที่พับเบาะไม่ราบเรียบเนี่ย ทำให้เสียคะแนนไปเยอะ
ตอนนี้ก็ยังใช้รถ Hybrid (Prius) คันเดิมอยู่ คันต่อไปถ้าไม่เป็น BEV ก็คงเป็น PHEV ครับ
-
ดูเหมือนหลายท่านในนี้ จะยังมีความรู้สึก ไม่มั่นใจกับคุณภาพของ ev กันอยู่เลยนะครับ แต่ผมว่า ยังไงปีหน้า คนออก ev เยอะแน่นอน เพราะพวกป้้ม ดังๆ เตรียมลง หัวชาร์จกันหมดแล้ว คนที่ผมคุยด้วยส่วนใหญ่ เขาบอกว่า จะซื้อเพราะ ค่าน้ำมันต่อเดือน แทบจะผ่อน ev ได้เลย ประกอบกับการบำรุงรักษา ตลอดประกัน ที่แทบไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเติมนอกจากเปลี่ยนยางรถ
มีพี่คนนึงที่ผมคุยด้วย ใช้ฟอร์ด เอเวอร์เรส ใช้งานมาแล้ว 2 แสนโล ค่าน้ำมันตก 2.5 บาทต่อกิโล คำนวนมาแล้ว ใช้รถไป 4 ปี เฉพาะค่าน้ำมัน 5 แสนบาท ตอนนี้กำลังมองหารถใหม่ ที่เป็น ev
เท่าที่ผมติดตามข่าว ev ปีหน้า ราคาย่อมเยาว์ ไม่เกินล้าน น่าจะมีเข้ามาให้เลือกเพียบ 7 ที่นั่งราคาล้านต้นๆ ก็เริ่มเข้ามาแล้ว
-
เหตุผลของผม ที่ต้องใช้รถน้ำมัน หรือ HEV หรือ PHEV โดยที่ยังข้ามไปรถ BEV ไม่ได้ เพราะ
1. เพราะสังคม คอนโด อย่างผม ไม่มีที่ชา่ร์จ หรือ แท่นชาร์จ หรือ ช่องจอดชาร์จ ส่วนตัว เพราะเป็นพื้นที่ส่วนรวม จะไปหาชาร์จที่ไหนละครับ
2. คอนโด(ผม) จอดรถได้คันเดียว(ต่อ 1 ห้อง) ถ้ามีทั้งรถ ICE น้ำมัน และ BEV ซื้อได้นะ แต่ก็ไม่มีที่จอดอีก จะสลับคันใช้ก็ไม่ได้
3. การขับขี่ระยะทาง 500-600 km ออกต่างจังหวัด รถ EV ไม่ตอบโจทย์ เพราะ วิ่งไม่ถึงต่อ 1 การชาร์จ จะไปจอดชาร์จ 5-8 ชั่วโมง ต่อการเดินทาง 1 เที่ยว (ไป-กลับ เสียเวลาชาร์จ เกือบ 1 วัน มันไม่ใช่)
สุดท้าย ระยะวิ่งที่เขาเครมกัน คือ ระยะวิ่งสูงสุดครับ แต่การขับขี่ของแต่ละคน มันอาจจะทำให้ระยะสั่นลงกว่านั้นได้ ถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงยาวๆ นะ
-
- ราคา EV ยังเกินเอื้อมอยู่ และมีไม่กี่เจ้าให้เลือก
- ที่พักไม่สามารถติดที่ชาร์จได้ เพราะเป็นห้องแถว ไม่ใช่บ้านเดี่ยว
- จุดชาร์จไม่ครอบคลุม และยังใช้เวลาชาร์จนานอยู่ ความจุรถ EV ก็ยังไม่เยอะพอ
- เวลารถมีปัญหา ช่างในต่างจังหวัดยังซ่อมรถเครื่องสันดาบได้ แต่รถ EV ช่างไม่รู้จะช่อมยังไง ยังไม่รวมอะไหล่เฉพาะของค่ายอีก
- ค่าซ่อมระบบไฟฟ้าและอะไหล่แปลงไฟของรถไฟฟ้ายังแพงมากอยู่ + พอแบตเสื่อม ต้องยกเปลี่ยนอีก
- ยังไม่มั่นใจในคุณภาพรถ EV ที่ขายในไทย แม้แต่ตอนนี้ก็ยังมีรถที่เกิดปัญหาหลังออกจากโรงงานไม่นานด้วย
-
เห็นว่า ev ปีหน้า จะทำให้วิ่ง 400 กิโลเมตร ต่อการ์ชาร์จ 1 ครั้ง เป็นมาตรฐานขั้นต่ำแล้ว แบบนี้ครอบคลุมการใช้งานคนส่วนใหญ่ได้สบายๆ
แถมการบำรุงรักษาก็แสนง่ายและถูกสุดๆ แล้วคนที่จะซื้อรถใหม่ในปีหน้าที่เป็นรถน้ำมัน มีเหตุหลักๆคืออะไรบ้างครับ ใครที่จะออกใหม่ในปีหน้าคิดเห็นอย่างไรช่วยแชร์กันหน่อยครับ
เอาง่ายๆ วิ่ง 400 นี่ไปกลับที่ไหนได้บ้างครับ วิ่งไปแล้วกลับเลย? ระหว่างนั้นไม่ขับเที่ยวไหนอีกแล้วหรอครับ
-
400 km นี่นะครอบครุม ขับทางไกลชาร์จกี่ครั้ง เสียเวลาไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง แทนที่จะวิ่งไม่เกิน 10-12 ชั่วโมง ถ้าไฟฟ้านี่ล่อไปไม่ต่ำกว่า 13-14 ชั่วโมง บอกเลยว่าชิบหายกับคนขับ
คอนโดก็ไม่มีที่ชาร์จ จะชาร์จทีออกไปนั่งรอข้างนอก
-
ผมตอบง่ายๆเลย ....
ผมขอขับรถ Eco car รุ่นไหนก็ได้ ขอท้าแข่งรถไฟฟ้า รุ่นไหนก็ได้ในไทย แข่งจาก กรุงเทพ-เชียงใหม่ ใครถึงก่อนชนะ ....
แค่นี้ก็น่าจะทราบคำตอบแล้วนะครับว่า ทำไมรถน้ำมันยังเป็นคำตอบอยู่ ..
ผมว่า ผมขับ Eco car น่าจะถึงเชียงใหม่ก่อนรถไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 6 ช.ม. อะ ..
-
เคยขับรถออกตจวช่วงเทศกาลมั๊ยครับ นั่นแหละเหตุผลที่คนยังใช้รถน้ำมันอยู่ จะใช้รถไฟฟ้า ถามว่าตอนนี้ที่ชาร์จพร้อมยัง???
-
EV บำรุงรักษาง่ายและถูกสุดๆ
รอคนใช้จริงอย่างยาวนานมายืนยันครับ
แค่โฆษณาลอยๆ มักเชื่อไม่ค่อยได้นะ
ก่อนหน้านี้ ตอน e-power มา ก็ปั่นกันซะจน
เครื่องเดินเบาชิลด์ๆ ปั่นไปแป๊บๆ ล่ะ
พอตัวจริงมาก็ไม่ได้เป็นขนาดนั้น
BEV นี่ก็เหมือน แค่แมวลงถนนไม่กี่คันก็เริ่ม
ออกลายแล้ว
-
รถ EV เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าครับ
ที่แพงสุดเลยก็คือแบต กับมอเตอร์
ถ้ารถไฮบริดราคาตก รถ EV อาจไม่เหลือราคากันเลย
จากแบตที่เสื่อมสภาพ ตีราคาต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนถึงอาจไม่นับราคาในตัวรถ
ตัวชาร์จที่ตกรุ่น ในอนาคตตัวชาร์จใหม่เร็วขึ้นแรงขึ้น และอาจจะสำหรับแบตเฉพาะรุ่นด้วย
มอเตอร์ที่ประสิทธิภาพดีขึ้นในราคาที่ไม่สูงด้วย ทำให้มอเตอร์รุ่นเก่าๆราคาตกมากแน่นอน
ยังไม่นับนิสัยการใช้งานสำหรับคนวิ่งทางไกล ที่ระยะทางนึงต้องแวะชาร์จทีละชมเกือบชม?
ถ้าทำแค่ไม่กี่ครั้งหรือเห็นเค้าว่าแล้วยังคิดว่าโอเค.. เชื่อผมสิ ถ้าต้องทำเองบ่อยๆ คุณจะเบื่อชีวิตแบบนี้เลยหละ
แล้วถ้าแบตหมดที่ไกลปั๊มหรือไกลไฟฟ้าก็ยุ่งยากเข้าไปอีก
-
ผมไม่มีปัญหากับการเปลี่ยนจาก ICE เป็น EV นะ ในไม่ช้ายังไงก็ต้องเปลี่ยน
แต่ถ้าผมจะเปลี่ยนจาก ICE เป็น EV อย่างน้อยรถที่จะซื้อต้อง :-
1. ชาร์จต่อครั้งอย่างน้อย 500km
2. ใช้เวลาชาร์จไม่เกิน 30 นาที และต้องมีชุดชาร์จ 24x7 ที่เข้าถึงได้เยอะกว่านี้ทั่วประเทศ พอๆกับปั้มน้ำมัน ไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวชาร์จ ไม่ใช่จุดชาร์จเปิด แต่ทางเข้าออก ดันปิดแบบทุกวันนี้ นี่ยังต้องเจอรถ ICE ไปจอดทับจุดชาร์จอีกนะครับ
3. ไม่ใช่รถจีน
4. งบประมาณเข้าถึงได้ คันละสามสี่ล้านก็ไม่ไหว
ซึ่งตอนนี้ยังไม่เห็นตัวเลือกใดในตลาดที่ได้ตามนี้ในงบประมาณที่เข้าถึงได้ ดังนั้นถ้าปีหน้าจะซื้อรถก็คงต้องเป็น ICE หรือ PHEV นอกจากนี้ ผมยังไม่เห็นประโยชน์อื่นๆเพิ่มเติมใดๆ ในการใช้รถ EV เลย ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ทางการเงิน (ขาย ICE แล้วผ่อน EV), หรือการเอาไปใช้ลดภาษี, ฯลฯ
-
คำเดียวคือความสะดวกครับ
ต่อให้มันวิ่งได้ 1000 โล มันก็ใช่ว่าจะชาร์จได้ตลอดเวลานะครับ
ปั้มเยอะขึ้นแต่ต้องไปต่อสู้กับรถที่จอดแบบไม่สน 4 สน 8 เราก็ชาร์จไม่ได้
จะต้องวางแผนการเดินทางตลอด ว่าที่นั่นมีจุดชาร์จมั้ย วิ่งไปจะหมดกลางทางมั้ย
เอาง่ายสุดๆ อยู่คอนโดรุ่นเก่าที่นิติเป็นเอกฉันท์ว่าไม่ติดจุดชาร์จก็จบแล้วครับ
ถ้าไปนั่งชาร์จตามห้างฯ ตอนนี้รถไฟฟ้ายังไม่มาก ยังพอได้ชาร์จ (ขนาดไม่มากนะก็เต็มตลอด)
80% ผมว่ายังออกรถ ice / hv / phev อยู่ รถไฟฟ้าส่วนน้อยมากครับ
-
เอาคนเพิ่งซื้อได้มั้ยครับ
ecosystem ที่ผมอยู่ยังไม่พร้อม (ตจว) และ reliability สำหรับผมยังไม่พอครับ
-
กลัวรถมีปัญหา ต้องเอาเข้าศูนย์อย่างเดียวเลย เข้าอู่นอกคงไม่มีตัวเลือกมาก ช่วงนี้เลยอั้นๆดูไปก่อนยาวๆครับ
-
ผมโอเคที่จะซื้อนะ เพราะไปไกลสุดแค่ กทม - นครสวรรค์ เกินนั้นผมนั่งเครื่องหมด
.
เหตุผลที่ยังไม่ซื้อ ตอนนี้ที่มี 3 คันยังใช้ไม่คุ้มจะเปลี่ยนคันใหม่ครับ
-
500KM สื่อยังไม่มีใครกล้าวิ่ง 110-120 กทม-พัทยา ไปกลับ โดยไม่ชาร์จ เลยครับ
เห็นทดสอบวิ่งกันแค่ กทม อยุธยา ไม่รู้ทดสอบไปทำไม พอไปถามในคลับวิ้งกันจริงๆ ถ้าขับ 110-120 ได้ไม่ถึง 80% ของ Capacity ด้วยซ้ำ
ถ้าจะบอกว่างั้นขับ 80-90 ซิ ทางไกล 200 โลขึ้น ใครอยากขับช้าขนาดก็เอาเลยครับ หรือไปถึงหาที่ชาร์จดิ ใครอยากจะเสียเวลาเดินทางไปอีก 1-1.30 ชม (ถ้าไม่ต้องต่อคิวนะ) ก็เอาเลยครับ เวลาเป็นสิ่งมีค่าครับ ประหยัดแบบนี้ ใช้รถน้ำมันดีกว่าครับ
นี่ยังไม่นับรวมกับฟิลลิ่ง พวงมาลัยกับช่วงล่างที่กระโหลกกระลาอีก ไม่แข็งกระแทกไป ก็นุ่มย้วยไป อีกนะ
-
ตอบในฐานะคนที่ซื้อรถน้ำมันปีนี้ ต่อให้ซื้อปีหน้าก็คงเหตุผลเดียวกัน
1.รถครอบครัว 7 ที่นั่ง
2.ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท
3.เป็นรถคันหลักในบ้าน
4.อยู่ต่างจังหวัด ขึ้น-ลงเขา
-
เหตุผลหลัก การเดินทางไปต่างจังหวัด ขึ้นเขาลงเขา สามารถแวะปั้มน้ำมันได้ทางตลอด
-
ขอเหตุผลที่ต้องซื้อรถ ev ดีกว่าครับ ทุกวันนี้มี phev อยู่ ถ้าเอาไปไหนไกลๆ ก็ยังต้องพึ่งพาน้ำมันเป้นหลักอยู่เลยครับ
-
:)ขออภัยถ้าขัดใจนะครับ สำหรับผม มันยังเป็นแค่ของเล่นอยู่ ข้อจำกัดที่ไม่เหมาะกับวิถีชีวิต เสียเงินทั้งที่ต้องมีข้อจำกัด ผมเลยไม่เอา อีกอย่างผมหลงไหลในเสน่ห์ของเครื่องยนต์สันดาบทุกชนิด ขอบคุณครับ 8)
-
ปีนี้ สามร้อย ตื่นเต้น จัดไปคันนึง
ปีหน้า สี่ร้อย เริ่มนอย ไปไกลได้อีกหน่อย
ปีโน้น ห้าร้อย เริ่มน่าอิจฉา ไปกลับพัทยาได้
ปีนู้น หกรอย อยากได้ใหม่ คันมาก อยากได้ แต่ คันเก่าสี่ปีแล้ว
เอาไงดี วิ่งได้สามร้อย น้องเพิ่งออก ไปได้หกร้อย
ขายก้อไม่ออก ดอกก็ต้องจ่าย ล้านเหลือ 0
เอารถน้ำมันไปก่อน วิ่งหกร้อย เติมน้ำมันพักเดียว ไปได้อีกหกร้อย
ล้านยังเหลือสักห้าแสน
เด่วพอ ev อยู่ตัว ค่อยว่ากัน
ปล แบตเยอะ ไปไกล แต่ก็ชาร์จที่บ้านนานนนนนนนนขึ้นนะพี่น้อง
ปล ความคุ้มค่า ทางกาย ยังไม่ได้ แต่ทางใจให้ผ่าน ก็จัด ev ไปครับ
-
- ยืดหยุ่นในการใช้งานมากกว่า
- technology ที่พิสูจน์ตัวเองมานานแล้วว่า
ไว้ใจได้
- รถที่ผมซื้อ(ส่วนใหญ่)เป็นมากกว่ายานพาหนะ รถน้ำมัน(บางคัน)ยังมีคาแรคเตอร์ให้หลงไหลมากกว่าอยู่
ปล. ไม่เคยซื้อรถใหม่เลย ปีหน้าอาจจะเป็นครั้งแรก ... และคิดว่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตด้วยที่ซื้อรถใหม่ที่เป็นรถน้ำมัน คันถัดไป (ไม่รู้เมื่อไหร่) อาจจะไม่มีขายแล้ว
-
ev คือ toy car
แค่ขับ 120-140 วิ่งได้กี่โลครับ
ที่คุณบอกราคา 1-2 ล้านนี่จากไหนครับ จีนหรือญี่ปุ่น
ถ้าญี่ปุ่น คงใช้เป็นคันที่ 2 หรือ 3 ของบ้าน
ถามกลับดีกว่า ถ้าคุณซื้อรถ ev พฤติกรรมการขับขี่ของคุณคือแบบไหนครับ
-
ไม่มีตังครับ
ผมมีปัญญาซื้อแค่รถราคา 4-7 แสน ซึ่งมันมีแต่รถน้ำมันล้วนๆ (Eco car + B-MPV 1.5)
รถไฟฟ้าแบบ Ora R1 ต่อให้มาขายคงมี 7++ แสน วิ่งก็ไม่ได้ครอบคลุมครับ ราคาขายต่อก็สู้รถน้ำมันไม่ได้แน่ๆ
-
นอกเรื่อง ส่วนตัวรถคันหน้าผมซ์้อไฟฟ้าแน่นอน แต่ยังงงกับตัวเองว่า จะเอาอะไรดี คาดว่าจะซ์้อในอีก 1-2 ปี หวังว่าตอนนั้น จะมีตัวเลือกน่าสนใจ ในงบแถวๆ 2 ล้าน+-
การใช้งานผม ส่วนมาก วิ่งแค่ใน กทม. และวิ่งน้อยมาก (ปีละ 10,000-12,000 โล วันละ 30 โล +-)
ดูแล้วการชาร์จไม่น่ามีปัญหาสำหรับผมเลย
ปล.อยากได้ Tesla มาก แต่ไม่รู้มีหวังจะมี Authorized dealer ในไทยบ้างไหม T^T
-
ความสะดวกครับ ผมมีครอบครัว สมาชิกตัวเล็ก ยังไม่สามารถรับความเสี่ยงกรณีแบตหมดกลางทางได้ เคยน้ำมันหมดที ยุ่งมากๆๆๆ ใช้รถ BEV ยังต้องวางแผนการเดินทางดีๆ charge ที่ไหน ว่างมั้ย เครื่องเสียรึเปล่า ฯลฯ ยังอยากใช้รถอย่างมีความสุขอยู่ครับ
-
ถ้าแบต solid state ยังไม่มา ก็ไม่คุ้มที่จะซื้อครับ
รถ ev ที่ใช้แบตแบบเดิม น่าจะตายเรียบ เทคโนโลยีที่ล้าสมัยมันก็จะหมดมูลค่า
รถน้ำมันยังมีข้อดีของมันอยู่ ถ้าคุณเห็นว่าเทคโนโลยีแบตตอนนี้มันไปสุดที่ตรงไหน ระหว่างทางมันไม่น่าเล่นครับ เป็นขยะง่ายๆ เลย
-
- ดูรถราคา 1 ล้าน +- ซึ่งถ้าเป็น EV ยังมีตัวเลือกไม่เยอะ แต่ถ้าเป็น ICE มีรถขับดีๆให้เลือกมากมาย
- ความเร็วในการชาร์จ ควรได้ 150kW ขึ้นไป ทั้งสถานี และตัวรถ (ตอนนี้ ล้านนึง ชาร์จได้ไม่ถึง 100 kW) รวมถึงระบบระบายความร้อนต้องดีพอที่จะชาร์จแล้วความเร็วไม่ตก แบตไม่เสื่อม
- สถานีชาร์จ เริ่มมีเยอะจริง แต่มีแค่สถานีละ 1-2 หัว ถ้าช่วงเทศกาล คงรอยาว เพราะรถที่มีในไทยก็ชาร์จไม่เร็ว
- แบรนด์ EV ที่น่าสนใจ ยังไม่เอารุ่นใหม่เข้ามา ถึงเข้ามาก็ราคาสูง (ส่วนนึงจากภาษีนำเข้า) เช่น Kia EV6 / Hyundai Ioniq 5 / Audi Q4 e-tron รวมถึง Tesla ยังไม่เข้าไทยแบบ official หลายแบรนด์ก็ไม่มาไทย เช่น VW ID3,4 แล้วแบรนด์หลักในไทยยังไม่ทำ EV ขาย
-
-ความน่าเชื่อถือ รถevยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมากแถมแบรนดืน้องใหม่ไม่รู้เลยอนาคตจะเป็นยังไง ต้องใช้งานได้ทุกสภาวะไม่ใช่ไปภูชี้ฟ้าแล้วมอเตอร์โอเวอร์ฮีต แต่รถiceแบรนด์เจ้าตลาดบ้านๆพิสูจน์ตัวเองมาหลายรุ่นหลายเจนแล้ว อะไหล่ไม่ต้องห่วงแท้เทียมเทียบเชียงกงเยอะแยะ
-ราคาอยากได้รถที่ราคาจับต้องได้แต่ต้องไม่ใช่แบบแบรนด์จีนที่ยังน้องใหม่
-อยากได้eqs taycan etronเลย ซึ่งมันเกินเอื้อมไปไกล
-lifestyleไม่ใช่คนที่เดินทางจุดaไปb รอแบบชาร์จครั่งนึงได้พันโลแล้วต้องอัดไฟกลับได้ใช้เวลาไม่นาน
-
ไม่สะดวกชาร์จครับ ถ้าสถานียังไม่พร้อมแล้วคนใช้เยอะๆ เวลาไปทางไกลน่าจะรอกันนาน แถมระยะทางที่รถไฟฟ้าทำได้ ก็ยังวิ่งไปได้ไม่ไกลพอ ถ้าผมขับทางไกลผมขับยาวๆเลย จอดพักแค่ซื้อกาแฟ แล้วขับต่อเลย ไม่น่ามีเวลามารอชาร์จ คงซื้อแค่ PHEV น่าจะเหมาะสมกว่า
-
จริงๆคุณจิมมี่ก็บอกไปหลายรอบแล้วเรื่อง EV
โ๕รงสร้างพื้นฐานบ้านเรายังไม่รองรับ และผมให้อีก 10 ปีก็ยังไม่รองรับกันมากแบบถ้วนทั่วหรอกครับ
ก่อนจะออก EV ลองตอบคำถมผมก่อนครับ
1.บ้านท่านใช้ไฟกี่เฟส
2.บ้านท่านใช้ไฟกี่แอมป์ 10/30 15/45 30/100 เฟสเดียว หรือสามเฟส
3.จากข้อ 2 ท่านเข้าใจคำถามที่ผมถามไปในข้อ 2 ไหม
4.ทุกวันนี้ท่านใช้ไฟจริงๆในบ้านกี่แอมป์ แอร์กี่ตัว เครื่องทำน้ำอุ่นกี่ตัว แต่ละตัวใช้ไฟกี่แอมป์ โหลดที่บ้านท่านพอหรือไม่
เอาแค่ 4 ข้อนี้ก่อน ที่จะไปใช้รถ EV เพราะมันคือพื้นฐานมากๆที่บ้านท่าน และเพื่อนบ้านท่าน และคนไทยต้องรู้ก่อนจะซื้อรถไฟฟ้ามาเสียบปลั๊ก
รถ EV ไม่ใช่พัดลม ไม่ใช่มือถือนะครับ ซื้อมา เสียบปลั๊ก วิ่งได้จบ แบตหมดก็ไปขอเพื่อนมาเสียบชาร์จ
-
รอการพิสูจน์และโครงสร้างพื้นฐานรองรับมากพอครับ
สำหรับผมอีก5ปีอย่างน้อย
-
ปัญหาเดียวที่ใช้รถไฟฟ้า
การเดินทางไกล เรื่องแบตหมดต้อองงหาที่ชาร์จ
และนานด้วย
-
ใครใคร่ซื้ออะไรซื้อ ใครใคร่ใช้อะไรใช้ครับ
เอาที่สะดวก ไม่ๆด้ไปหนักหัวใครครับ
ชอบเจอคนบอกกลุ่มเดือดร้อนกับการมช้รถของคนอื่นครับ ที่หนักกว่าคือ บอก กลุ่มhybridต้องเสียค่าดูแลรักษา2ระบบ เอ่อ เงินใครเงินมันครับ
ถ้าทุกอย่างมันพร้อมคนเค้าก๋ย้ายไปใช้กันเองครับ ทุกวันนี้คนให้ไม่เท่าไร ยังนั่งโพสต์ประจานการชาร์จไฟที่ไม่เผื่อแผ่คนอื่นกันบนเพจเลยครับ ถ้าคนใช้เยอะไม่เรือหายหรือครับ
ส่วนตัว รอc40เอามาให้แฟนใช้ขับเล่นแถวบ้าน จ่ายตลาดครับ ส่วนEVแบรนด์จีนภาพทุกวันนี้คือคำตอบครับ ขอบายก่อนครับจากเดิมที่วางแผนmarvel Rไว้ เหอะๆ เาียเฃินเพื่ออีกหน่อย เอาความสบายใจดีกว่าครับ
-
เสียง
-
ผมยังไม่ซื้อรถในปีหน้านะ แต่ถ้าให้ซื้อผมก็เอาเครื่องยนต์น้ำมันล้วนครับ เพราะรอให้ทุกอย่างนิ่งก่อน รวมถึงรอให้อะไหล่รถยนต์ EV ถูกก่อน ผมจึงค่อยซื้อครับ
อ้ออีกอย่างนึง ผมไว้ใจในรถยนต์ EV เฉพาะค่าย Toyota, Lexus เท่านั้นครับ
-
เห็ตผลเดียวคือมันเสียเวลาชาร์จ ต่อให้มันวิ่งได้ไกลแค่ไหนถ้ามันหมดก็เสียวเวลา 40นาที++ และผมเป็นประเภทตีด่วนขับทีเดียวถึง 400โลตามว่าผมยังขับไปกลับจากบ้านผม-กทม.ไม่ได้เลย และผมวิ่งอย่างน้อยเดือนละครั้ง
รถไฟฟ้าไม่มีทางมาแทนรถน้ำมันได้หรอกถ้ามันยังชาร์จนานขนาดนี้ อาศัยชาร์จที่บ้านไม่ทางทุกวันนี้โครงการตึกแถวคอนโดที่จอดรถยังไม่ค่อยจะพอเลย เอื่ออาทรยิ่งแล้วใหญ่จอดกันยังกะลานประมูล ไม่ต้องพูดถึงลงทุนติดหัวชาร์จทุกช่องจอดไม่มีทาง ยังไม่รวมคนอยู่บ้านเช่านะใครจะมานั่งลงทุนติดwall chargeถาวร ย้ายออกทีก็ต้องถอนออก
-
500KM สื่อยังไม่มีใครกล้าวิ่ง 110-120 กทม-พัทยา ไปกลับ โดยไม่ชาร์จ เลยครับ
เห็นทดสอบวิ่งกันแค่ กทม อยุธยา ไม่รู้ทดสอบไปทำไม พอไปถามในคลับวิ้งกันจริงๆ ถ้าขับ 110-120 ได้ไม่ถึง 80% ของ Capacity ด้วยซ้ำ
ถ้าจะบอกว่างั้นขับ 80-90 ซิ ทางไกล 200 โลขึ้น ใครอยากขับช้าขนาดก็เอาเลยครับ หรือไปถึงหาที่ชาร์จดิ ใครอยากจะเสียเวลาเดินทางไปอีก 1-1.30 ชม (ถ้าไม่ต้องต่อคิวนะ) ก็เอาเลยครับ เวลาเป็นสิ่งมีค่าครับ ประหยัดแบบนี้ ใช้รถน้ำมันดีกว่าครับ
นี่ยังไม่นับรวมกับฟิลลิ่ง พวงมาลัยกับช่วงล่างที่กระโหลกกระลาอีก ไม่แข็งกระแทกไป ก็นุ่มย้วยไป อีกนะ
อันนนี้จริงคับ555 ทุกคลิปอะภาพในคลิกส่วนใหญ่คือโดนรถแซง บางช่องนี่ช้ารถพ่วงแซงขวา
-
เพิ่งซื้อรถน้ำมันล้วนเดือนนี้
ไม่เอา ev และ phev เปลี่ยนที่นอนบ่อยไม่สะดวกชาร์จครับ
จะซื้อ ev เมื่อแบตเตอรี่ไม่ต้องชาร์จเป็นประจำโดยไม่เสื่อมเร็ว และวิ่งได้ 500 โลขึ้นไปโดยใช้ความเร็วที่เหมาะสมกว่านี้ได้
-
คันต่อไปตั้งใจว่าจะต้องเป็นอย่างน้อยก็ HV/PHEV ครับ เพราะก็ใช้ HV มาเป็นสิบปีแล้วและยังใช้อยู่ เวลาไปขับรถน้ำมันล้วนๆแล้วเหมือนมันไม่ได้ฟีลแรงดึงหลอนๆนิดๆแบบไฟฟ้าๆที่ผมชอบ คงต้องรอให้จุดชาร์จแพร่หลายมากขึ้นก่อน ไม่ต้องต่อคิว ชาร์จเร็วขึ้นกว่านี้ น่าจะแมสขึ้นเองครับ
-
เดาว่าก็คงเรื่องราคาซ่อมบำรุงแบต และราคาขายต่อครับ
-
อยู่กรุงเทพ มีแต่บ้าน ที่ทำงาน ห้าง สวนสาธารณะก็ไม่น่าเดิน ทั้งบ้อนมอนออกไซด์ฝุ่นพีเอ็ม จะขับไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนชมทะเลหมอกดอยกิ่วลม พาลูกเมียไปเล่นน้ำทะเลใสๆที่ภูเก็ต รถยนต์ไฟฟ้ายังไปไม่ได้ ขับอัดมาก แบตลดไว มีรถออร่าร้อนจนดับกลางถนนไปแล้วหลายคันเลยนะ ขนาดรถคันล้านกว่าบาท ถูกกว่านั้นจะเชื่อใจได้แค่ไหน รถยนต์ไฟฟ้ามันเป็นกระแสจากสื่อ เหมือนเรื่องAIจะแย่งงานคนน่ะ ทุกวันนี้นัักเศรษฐศาสตร์ยังออกมาพูดเลยว่า AI ทำงานแทนมนุษย์ได้แค่ 10% ของอาชีพในปัจจุบันเองครับ ;)
-
อยู่คอนโดไม่มีที่ชาร์จครับ
ไม่นับว่าคอนโดจอดรถได้คันเดียว, ต้องขับรถไปกลับ400โลทุกอาทิตย์อีก
ตอนนี้โครงสร้างพื้นฐานมันยังไม่เอื้อ อีกซัก10ปีค่อยว่ากัน
-
คน ตจว.เขาไม่มองหรอกครับรถไฟฟ้า
ที่ชาจ น้อย ไปไหนมาไหนไม่สะดวก
แม้ขับได้400กม. เหลือ 150 กม.ก็เสียวแล้ว
น้ำมันดีสุด เติมง่าย ซ่อมง่าย
เพราะคน ตจว.ไม่ได้ใช้รถแค่ในเมืองครับ มันต้องข้ามเมืองด้วย
-
รถไฟฟ้า มันยัง "ไว้ใจไม่ได้"
ที่มีในตอนนี้ส่วนใหญ่ เหมือนเป็นแค่ "Tester"
เพื่อนำไปต่อยอดในการพัฒนาในอนาคต
ส่วน "รถน้ำมัน" มันพัฒนามาถึง "เกือบขีดสุด" ของมันแล้ว
ถามกลับ..
รถไฟฟ้า กับรถน้ำมัน ที่คิดว่า "ดีที่สุดในโลก" ให้ขับคันเดียวรอบโลก คุณจะเลือกคันไหน?
สมมุติว่า มีจุดเติมและจุดชาร์ทตลอดเส้นทาง!!
-
400 km ต่อการชาร์จ 1 ครั้งถือว่าเป็นมาตรฐานของคนไทยแล้ว?
รถผม 700-900 km ต่อการเติมน้ำมัน 1 ครั้ง
และใช้เวลาเติม 10 นาที
ทำไมผมถึงยังต้องไปเอารถที่ยังเติมพลังงานได้น้อยกว่าแต่ยังใช้เวลาเติมนานกว่าด้วยล่ะครับ?
ถ้าจะบอกเพื่อการประหยัดค่าใช้จ่าย
ราคารถตอนออกครั้งแรกมันก็ยังไม่ได้ถูกไปกว่ารถน้ำมันเลยนะครับ
จ่ายเท่ากัน ประสิทธิภาพรถน้ำมันในราคานี้ยังดีกว่าด้วยครับ
-
ของผม เคยมาตั้งกระทู้ไว้
คือที่ผมจะซื้อคือรถดีเซล รถน้ำมันล้วน และจะซื้อเป็นดีเซลรุ่นเก่าด้วย
เหตุผลคือต้องการรถบ้าน ๆ ราคาไม่แพง และเป็นรถดีเซลเท่านั้น ในการเอาไปใช้งาน ตจว ก่อนและหลังเกษียณ ไม่มีความต้องการซื้อรถเบนซิน ไฮบริดหรือรถไฟฟ้าแต่อย่างใด รถใหม่ป้ายแดงยังไม่อยากซื้อเลย ไม่ใช่ไม่มีเงินนะครับ แต่คุยเดี๋ยวจะหาเป็นกระทู้พันทิปโชว์เงินเก็บ
จะเกษียณละเก็บเงินไว้ใช้ชีวิตดีกว่า ตอนนี้ขายรถสปอร์ตเปิดประทุนไปละ คันอื่น ๆ ก็ทยอยขายละเหลือแต่รถดีเซลบ้าน ๆ ใช้งาน
ผมเคยบอกละใครอยากใช้รถไฟฟ้าก็ใช้ไป กระแสในเนตแรงยังไงก็ช่างมัน แต่ความจริง คน ตจว เงินรายได้ไม่มากนัก หาเงินได้แต่ละวันยังยากเลย การค้าซบเซามาก ฝันอนาคต 10-20 ปีข้างหน้า คงไม่มีใครเอาด้วยหรอก ของแบบนี้มันค่อย ๆเติบโต ไม่ก้าวกระโดดแบบที่กระแสในเนตหวังหรอก ที่จะโตทันทีก็ ในเขตเมืองใหญ่แบบ กทม พัทยา ภูเก็ตเท่านั้นละ
-
วิ่งได้ 400 แต่ใช้ในชีวิตประจำวันจริงไม่มีทางถึง จอดชาร์ทระหว่างวัน (ถ้ามีที่ให้ชาร์ท) รอกี่ชั่วโมง ไม่ต้องทำอะไรพอดี มันยังไม่ตอบโจทย์อ่ะครับ อะไรหลายๆอย่าง
-
เพราะไม่มีเหตุผลอะไร ให้ผมซื้อรถ EV เลยครับ เพราะไม่ใช่สาวก ลัทธิ EV
ไม่ต้อวรถยนต์หรอกครับ
ผมมีรถมอไซต์ไฟฟ้ายังไม่กล้าขับไปไกลบ้านเลย
-
ev 400 km/charge วิ่งจริง 300 km
น้ำมัน วิ่ง 500-800 km/ถัง
ev ชาร์จจนเหนื่อย น้ำมันเติมแปปเดียว
ev ถึงจะประหยัดแต่ราคารถแพง
ถ้ามันยังไม่ดีจริง การเปลี่ยนไปใช้ก็คิดหนักครับ
-
1. สถานีชาร์จ มี่กี่ที่เชียวครับ รถ EV ออกมาเรื่อยๆ ประเดี๋ยวคนก็จะรอคิวชาร์จกัน
2. ขับทางไกล เสียเวลาชาร์จแต่ละจุดเป็นชั่วโมง ผมไม่เอาด้วยหรอกครับเสียเวลาทำมาหากินอื่น
3. เครื่องชาร์จสำหรับติดที่บ้าน ราคาแพงอยู่ 5-6 หมื่น รอราคาสักหมื่น/เครื่องค่อยมาพินากัน (นี่ยังไม่รวมค่าเปลี่ยนมิตเตอร์ ขออนุญาตนั้นนี่จากการไฟฟ้านะ)
4. ณ วินาทีนี้ ถ้าผมจะซื้อรถที่มีไฟฟ้าพ่วงมาด้วย ต้องเป็นรถไฮบริทเท่านั้นครับ จนกว่าเทคโนโลยีเครื่องชาร์จจะถูกลงหรือสถานีชาร์จมากขึ้นกว่าตอนนี้ครับ
-
ถ้า ev เข้าเติมไฟโดยใช้เวลาไม่เกิน 5 นาทีได้ 80% ซะก่อนค่อยมาแทนรถน้ำมันสำหรับการใช้งานของผมครับ
รถ ev เอามาวิ่งทำงาน วิ่งงานไม่ได้จริงๆครับ
ส่วนควบอื่นๆบ้านเรายังไม่รองรับขนาดนั้น
ถ้าจะบอกมฝว่าให้เอามาแทนรถขับในเมืองสิ
ผมสาทารถจ่ายเงิน 6 แสนได้รถ eco car และมีส่วนต่าง 2-3 แสนบาท ไว้เติมน้ำมันและซ่อมรถในอีก 10 ปีได้สบาย โดยที่ไม่ต้องห่วงจุดชาร์ทได้เลยครับสำหรับรถมาเมือง
-
ซื้อรถน้ำมันมาแล้วเริ่มใช้ได้เลย ใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ต้องกังวลเรื่องชาร์จไฟ
-
spec บอก 400 km ใช้งานจริงได้ 280 km
-
EV ที่ผมจะซื้อ ต้องเข้าเงื่อนไขแบบนี้ครับ
1. ขับรถด้วยความเร็ว 120 km/hr ได้ 400 km+ ขึ้นไปต่อ/1ชาร์จ
2. ต้องเป็นรถ 7 ที่นั่ง
3. ขอราคาไม่เกิน 2 ล้าน
4. รองรับชาร์จเร็วสัก 150 kw/hr ก็พอ
ถ้าผ่าน 4 ข้อนี้ ซื้อแน่นอน
-
ไม่ได้ต่อต้านอะไรใหม่ๆนะ ส่วนตัวให้5-10ปีเป็นอย่างน้อย เทคโนโลยีรถไฟฟ้าเหมือนมันพึ่งมาได้ไม่ไกลมันน่าจะไปได้อีกเยอะ
-ซื้อมาต้องมาเปลี่ยนมิเตอร์ ระบบไฟ ติดตั้งที่ชาร์จในบ้านอีก
-จำนวนรุ่นรถมีให้เลือกน้อย ราคารถก็ไม่ตอบโจทย์มนุษย์กินเงินเดือนธรรมดาๆอย่างเรา ประหยัดค่าน้ำมันแต่เปลืองค่าตัวรถตั้งแต่ตอนซื้ออยู่ดี เลยยังมองว่าเป็นของเล่นคนรวยอยู่
-ขับไปกลับที่ทำงานมันก็ได้อยู่ แต่อยู่ดีๆเคยมีเหตุการณ์ญาติเสียต้องลงใต้ด่วนเอาละ ถ้าต้องมานั่งคิดคำนวณระยะทางเวลาชาร์จต่างๆไม่สะดวกอ่ะ
-ถ้าใช้แล้วรู้สึกมันทำให้ชีวิตยากกว่าเดิมก็ยังไม่เปลี่ยน
-อันนี้ส่วนตัว รำคาญioรถไฟฟ้าตามคอมเม้นช่องรถต่างๆในYoutubeอ่ะ มาพิมพ์ซ้ำๆกันคล้ายๆกันหลายๆช่องเรารู้นะ
-
เหตุผลของผมคือ
ณ เวลานี้ผมโลกไม่สวยพอที่จะหันมาใช้ EV
เนื่องจากไม่สะดวกในการต้องวางแผนเดินทางอย่างรัดกุม
เพราะผมเป็นคนชอบขับออกนอกเส้นทาง
เจอป้ายสถานที่ท่องเที่ยว ถ้าน่าสนใจเลี้ยวเลย
-
เหตุผลของผม ที่ต้องใช้รถน้ำมัน หรือ HEV หรือ PHEV โดยที่ยังข้ามไปรถ BEV ไม่ได้ เพราะ
1. เพราะสังคม คอนโด อย่างผม ไม่มีที่ชา่ร์จ หรือ แท่นชาร์จ หรือ ช่องจอดชาร์จ ส่วนตัว เพราะเป็นพื้นที่ส่วนรวม จะไปหาชาร์จที่ไหนละครับ
2. คอนโด(ผม) จอดรถได้คันเดียว(ต่อ 1 ห้อง) ถ้ามีทั้งรถ ICE น้ำมัน และ BEV ซื้อได้นะ แต่ก็ไม่มีที่จอดอีก จะสลับคันใช้ก็ไม่ได้
3. การขับขี่ระยะทาง 500-600 km ออกต่างจังหวัด รถ EV ไม่ตอบโจทย์ เพราะ วิ่งไม่ถึงต่อ 1 การชาร์จ จะไปจอดชาร์จ 5-8 ชั่วโมง ต่อการเดินทาง 1 เที่ยว (ไป-กลับ เสียเวลาชาร์จ เกือบ 1 วัน มันไม่ใช่)
สุดท้าย ระยะวิ่งที่เขาเครมกัน คือ ระยะวิ่งสูงสุดครับ แต่การขับขี่ของแต่ละคน มันอาจจะทำให้ระยะสั่นลงกว่านั้นได้ ถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงยาวๆ นะ
ถ้าจะซื้อรถคันใหม่อยากได้ BEV นะครับ แต่คงไม่ได้ใช้เพราะเหตุผลประมาณนี้ครับ
-
บอกว่ารถไฟฟ้าประหยัดกว่า
แต่อย่างนึงที่จะเกิดขึ้นคือ ความวุ่นวายในชีวิตครับ
ต้องเสียเวลามาชาร์ต เสียเวลาระหว่างเดินทางไกลๆ
ในฐานะที่ ชีวิตแทบไม่มีเวลาว่างเลย มีแต่งานตลอด เวลาคือสิ่งมีค่ามากๆ
ผมจะซื้อ รถไฟฟ้ามาทำไมตอนนี้ ทั้งที่ยังมี ไฮบริท และรถน้ำมัน ที่ตอบโจทย์ได้มาากว่าอยู่
-
รถน้ำมันมี 4X4 และเกียร์ 4L ครับ 8)
-
แค่จอดรอคันหน้าเติมน้ำมันเสร็จในปั๊มแค่ 5 นาทียังหัวอุ่นๆเลย รอชาร์จซักครึ่ง ชม. ไม่อยากจะคิด
-
ดูเหมือนหลายท่านในนี้ จะยังมีความรู้สึก ไม่มั่นใจกับคุณภาพของ ev กันอยู่เลยนะครับ แต่ผมว่า ยังไงปีหน้า คนออก ev เยอะแน่นอน เพราะพวกป้้ม ดังๆ เตรียมลง หัวชาร์จกันหมดแล้ว คนที่ผมคุยด้วยส่วนใหญ่ เขาบอกว่า จะซื้อเพราะ ค่าน้ำมันต่อเดือน แทบจะผ่อน ev ได้เลย ประกอบกับการบำรุงรักษา ตลอดประกัน ที่แทบไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเติมนอกจากเปลี่ยนยางรถ
มีพี่คนนึงที่ผมคุยด้วย ใช้ฟอร์ด เอเวอร์เรส ใช้งานมาแล้ว 2 แสนโล ค่าน้ำมันตก 2.5 บาทต่อกิโล คำนวนมาแล้ว ใช้รถไป 4 ปี เฉพาะค่าน้ำมัน 5 แสนบาท ตอนนี้กำลังมองหารถใหม่ ที่เป็น ev
เท่าที่ผมติดตามข่าว ev ปีหน้า ราคาย่อมเยาว์ ไม่เกินล้าน น่าจะมีเข้ามาให้เลือกเพียบ 7 ที่นั่งราคาล้านต้นๆ ก็เริ่มเข้ามาแล้ว
รถevก็เสียค่าไฟเหมือนกันนะครับ ยังไงก็มีค่าใช้จ่ายบ้าง แล้วเวลาวิ่งไปชาร์จต่างจังหวัดถ้าจุดชาร์จมันเต็มก็รอกันยาวเลยนะครับ แล้วถ้าไปต่างจังหวัดไม่ใช่ว่าไปเสียบชาร์จบ้านญาติหรือเพื่อนได้ ถ้าไม่มีwallchargeรองรับดีๆนี่อันตราย กับถ้าไฟบ้านทั่วไป15ampนี่เสียบชาร์จแล้วกระชากมาก คนที่เหลือในบ้านแทบไม่ต้องเปิดแอร์เลยทีเดียว
-
สำหรับผมถ้าจะซื้อ EV ตอนนี้ต้องเป็นรถที่มีความแรงในตัว ใช้ในกรุงเทพขับไปกลับที่ทำงานเช้าเย็น ชาจที่บ้านตอนกลางคืน เท่านั้้นเลยครับ
ถ้าจะเป็นรถซิ่ง ความแรงได้แต่งอารมณ์ในการขับขี่อาจไม่ได้
ใช้ออกต่างจังหวัดรถน้ำมันยังงไงก็กินขาด
แล้วถ้าเป็นรถคันเดียว EVนี่ต้องขอผ่านเลย
-
1. สถานีชาร์จ มี่กี่ที่เชียวครับ รถ EV ออกมาเรื่อยๆ ประเดี๋ยวคนก็จะรอคิวชาร์จกัน
2. ขับทางไกล เสียเวลาชาร์จแต่ละจุดเป็นชั่วโมง ผมไม่เอาด้วยหรอกครับเสียเวลาทำมาหากินอื่น
3. เครื่องชาร์จสำหรับติดที่บ้าน ราคาแพงอยู่ 5-6 หมื่น รอราคาสักหมื่น/เครื่องค่อยมาพินากัน (นี่ยังไม่รวมค่าเปลี่ยนมิตเตอร์ ขออนุญาตนั้นนี่จากการไฟฟ้านะ)
4. ณ วินาทีนี้ ถ้าผมจะซื้อรถที่มีไฟฟ้าพ่วงมาด้วย ต้องเป็นรถไฮบริทเท่านั้นครับ จนกว่าเทคโนโลยีเครื่องชาร์จจะถูกลงหรือสถานีชาร์จมากขึ้นกว่าตอนนี้ครับ
1. เอาปัจจุบัน คนที่ทำงานในเรื่องสถานีชาร์จที่เค้ามอนิเตอร์ดูทุกวัน ว่าการชาร์จรถในแต่ละวันเป็นยังไงบ้าง เค้าบอกว่ายังรองรับได้อีกหลายหมื่นคัน เมื่อเทียบกับปริมาณสถานีชาร์จในปัจจุบัน
2.ขับทางไกล กทม.เชียงใหม่ ใช้เวลาไม่ต่างจากรถน้ำมันแล้ว9-10ชม. ลองหาดูได้ในกลุ่มเฟสรถไฟฟ้าทั้งหลาย
3.ปัจจุบันซท้อรถไฟ้าเค้าแถมเครื่องชาร์จให้อยู่แล้ว
ค่าเปลี่ยนมิเตอร์การไฟฟ้า จ่ายแค่ 700 (เปลี่ยนเป็น30/100 หรือได้ 15/45อีกหม้อเพิ่ม)
ค่าสายไฟ เสียแค่เดินสายเพิ่มจากมิเตอร์(ที่เปลี่ยน) มายังจุดตั้งที่ชาร์จ ในกลุ่มคนใช้รถไฟฟ้าจ่ายกันหมื่นนิดๆ ไม่ได้แพงแล้ว
-
1. สถานีชาร์จ มี่กี่ที่เชียวครับ รถ EV ออกมาเรื่อยๆ ประเดี๋ยวคนก็จะรอคิวชาร์จกัน
2. ขับทางไกล เสียเวลาชาร์จแต่ละจุดเป็นชั่วโมง ผมไม่เอาด้วยหรอกครับเสียเวลาทำมาหากินอื่น
3. เครื่องชาร์จสำหรับติดที่บ้าน ราคาแพงอยู่ 5-6 หมื่น รอราคาสักหมื่น/เครื่องค่อยมาพินากัน (นี่ยังไม่รวมค่าเปลี่ยนมิตเตอร์ ขออนุญาตนั้นนี่จากการไฟฟ้านะ)
4. ณ วินาทีนี้ ถ้าผมจะซื้อรถที่มีไฟฟ้าพ่วงมาด้วย ต้องเป็นรถไฮบริทเท่านั้นครับ จนกว่าเทคโนโลยีเครื่องชาร์จจะถูกลงหรือสถานีชาร์จมากขึ้นกว่าตอนนี้ครับ
1. เอาปัจจุบัน คนที่ทำงานในเรื่องสถานีชาร์จที่เค้ามอนิเตอร์ดูทุกวัน ว่าการชาร์จรถในแต่ละวันเป็นยังไงบ้าง เค้าบอกว่ายังรองรับได้อีกหลายหมื่นคัน เมื่อเทียบกับปริมาณสถานีชาร์จในปัจจุบัน
2.ขับทางไกล กทม.เชียงใหม่ ใช้เวลาไม่ต่างจากรถน้ำมันแล้ว9-10ชม. ลองหาดูได้ในกลุ่มเฟสรถไฟฟ้าทั้งหลาย
3.ปัจจุบันซท้อรถไฟ้าเค้าแถมเครื่องชาร์จให้อยู่แล้ว
ค่าเปลี่ยนมิเตอร์การไฟฟ้า จ่ายแค่ 700 (เปลี่ยนเป็น30/100 หรือได้ 15/45อีกหม้อเพิ่ม)
ค่าสายไฟ เสียแค่เดินสายเพิ่มจากมิเตอร์(ที่เปลี่ยน) มายังจุดตั้งที่ชาร์จ ในกลุ่มคนใช้รถไฟฟ้าจ่ายกันหมื่นนิดๆ ไม่ได้แพงแล้ว
ไอ้รถที่วิ่งได้ 9-10 ชม ไม่ชาร์ท ที่ระยะทาง 600 โล นี่มีคันไหนบ้างครับ แนะนำทีครับ
-
ยังมั่นใจรถน้ำมันมากกว่าครับ ระบบเดียว ไม่ซับซ้อนเหมือน ไฮบริด และอยู่คอนโดด้วย ไม่มีที่เสียบปลั๊กครับ
-
1. สถานีชาร์จ มี่กี่ที่เชียวครับ รถ EV ออกมาเรื่อยๆ ประเดี๋ยวคนก็จะรอคิวชาร์จกัน
2. ขับทางไกล เสียเวลาชาร์จแต่ละจุดเป็นชั่วโมง ผมไม่เอาด้วยหรอกครับเสียเวลาทำมาหากินอื่น
3. เครื่องชาร์จสำหรับติดที่บ้าน ราคาแพงอยู่ 5-6 หมื่น รอราคาสักหมื่น/เครื่องค่อยมาพินากัน (นี่ยังไม่รวมค่าเปลี่ยนมิตเตอร์ ขออนุญาตนั้นนี่จากการไฟฟ้านะ)
4. ณ วินาทีนี้ ถ้าผมจะซื้อรถที่มีไฟฟ้าพ่วงมาด้วย ต้องเป็นรถไฮบริทเท่านั้นครับ จนกว่าเทคโนโลยีเครื่องชาร์จจะถูกลงหรือสถานีชาร์จมากขึ้นกว่าตอนนี้ครับ
1. เอาปัจจุบัน คนที่ทำงานในเรื่องสถานีชาร์จที่เค้ามอนิเตอร์ดูทุกวัน ว่าการชาร์จรถในแต่ละวันเป็นยังไงบ้าง เค้าบอกว่ายังรองรับได้อีกหลายหมื่นคัน เมื่อเทียบกับปริมาณสถานีชาร์จในปัจจุบัน
2.ขับทางไกล กทม.เชียงใหม่ ใช้เวลาไม่ต่างจากรถน้ำมันแล้ว9-10ชม. ลองหาดูได้ในกลุ่มเฟสรถไฟฟ้าทั้งหลาย
3.ปัจจุบันซท้อรถไฟ้าเค้าแถมเครื่องชาร์จให้อยู่แล้ว
ค่าเปลี่ยนมิเตอร์การไฟฟ้า จ่ายแค่ 700 (เปลี่ยนเป็น30/100 หรือได้ 15/45อีกหม้อเพิ่ม)
ค่าสายไฟ เสียแค่เดินสายเพิ่มจากมิเตอร์(ที่เปลี่ยน) มายังจุดตั้งที่ชาร์จ ในกลุ่มคนใช้รถไฟฟ้าจ่ายกันหมื่นนิดๆ ไม่ได้แพงแล้ว
ไอ้รถที่วิ่งได้ 9-10 ชม ไม่ชาร์ท ที่ระยะทาง 600 โล นี่มีคันไหนบ้างครับ แนะนำทีครับ
ในไทย น่าจะยังไม่มีมั้งคนับ ใกล้เคียงสุดน่าจะ เทสล่า หรือ ix3 หรือไทคาน วิ่ง120 ยาวๆได้ราว 300กิโล ถ้าวิ่งต่ำกว่า120 น่าจะได้มากกว่านั้นอีก
แต่ ตปท. มี gac aion lx plus แบต 144kw เคลมnecd 1008กม. วิ่งจริง(สื่อเทสขับรถกลับบ้านช่วงเทศกาล) ความเร็วเดินทางวิ่งได้ 700 กม.(ความเร็วเฉลี่ย 90กว่า)
-
ถ้าจะซื้อ รถไฟฟ้า มันก็จะเป็นรถคันที่ 2-3 เท่านั้นครับ
ในสถานะทางการเงินเท่านี้นะ
ถ้ารวยมากๆ ความคิด ก็อาจจะเปลี่ยน
จะซื้อ Taycan ซัก 3 คัน และ เทสล่า อีก 3 คัน
จะไปซื้อบ้านที่ นคสวรรค์ เชียงใหม่ ขอนแก่น
ประจวก นคร ภูเก็ด
และ สร้าง ที่ชาท์ ไว้ที่บ้าน !!!!!!!!!
คงพอรู้คำตอบนะครับ ว่า ซื้อป่าว !!!!!!!!!!!!