ผมว่าก็จริงนะครับที่บริษัทปตท.ปีหนึ่งกำไรมหาศาล น่าจะเอาไปใช้เพื่อประโยชน์ของสังคม เช่น สร้างโรงเรียน สถานพยาบาล แต่ในเมื่อปตท.เป็นบริษัทมหาชนซึ่งเน้นหากำไร จึงค่อนข้างยากที่จะทำธุระกิจขาดทุน ในสิ่งที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล ที่จะมีผลต่อกำไรของผู้ถือหุ้นลดลง หากเป็นเหมือนเช่นเดิมคือเป็นรัฐวิสาหกิจ คงต้องหั่นกำไรเพื่อสังคมมากกว่านี้
ในส่วนของปั้ม cng หากพิจารณาจากปั้มน้ำมันที่เห็นอยู่ทั่วไป จะมีทั้งปั้มที่เป็นของบริษัทน้ำมันยี่ห้อนั้น ๆ กับปั๊มที่ถือหุ้นร่วมกับบุคคลภายนอก จึงทำให้ในแต่ละจังหวัดอาจมีปั้มยี่ห้อเดียวกันหลาย ๆ ปั๊มภายใต้เงื่อนไขของบริษัทน้ำมันนั้น ๆ อทิเช่นต้องห่างกัน 10 กม. เป็นต้น
ผมมีความเชื่อว่าลำพังให้ปตท ขึ้นราคา cng ก็ตาม ปั้ม cng ก็เพิ่มขึ้นไม่มาก เพราะแต่ละปั้มใช้เงินทุนค่อนข้างสูงกว่าปั้มน้ำมัน และต้องอยู่ใกล้แนวท่อส่งก๊าซ ถ้าจะให้เปิดปั๊ม cng มากต้องเปิดเสรีหรือให้เอกชนเข้าร่วมหุ้นในปั้ม cng ปริมาณจึงอาจจะเพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้นหาำกไม่ให้กำไรเพียงพอคงยากที่เอกชนจะร่วมลงทุนด้วย ปตทจึงจะเอาเงินไปลงทุนในส่วนท่อส่งก๊าซต่างไปในอนาคต
ถูกต้องครับ ปตท.มีกำไรมหาศาลครับ แต่ไม่ถูกทั้งหมดครับ เพราะส่วนที่มีกำไรมากลำดับต้นๆ น่าจะเป็น ปตท.สผ. ที่คอยสำรวจและผลิตทั้งในและนอกประเทศครับ หรือแม้แต่ส่วนของพวกผลพลอยได้อื่นๆ เช่น เม็ดพลาสติก ฯลฯ
ส่วนตัว ปตท.เองนั้นก็ได้เงินจากที่ขายน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันเครื่อง ก๊าซหุงต้ม และ ก๊าซเอ็นจีวีตามปั๊มและอุตสาหกรรมไปครับ และก็ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้นในกิจการในเครืออีกทอดหนึ่งครับ
เอาเป็นว่าในช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมานี้ ผมเห็น เจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนรับผิดชอบของแต่ละกิจการที่อยู่กับ ปตท. ต้องมาประชุมกันทุกๆ 3 วัน 7 วัน เพื่ออัพเดตสถานการณ์ในการให้ความช่วยเหลือประชาชน ซึ่งหลักๆ ปตท.ใหญ่จะเป็นเจ้าภาพ เรียกว่ายอกควักเงินเพื่อจัดสรรเป็นงบเพื่อช่วยเหลือสังคมถึงร้อยละ 40-50 และกิจการในเครือก็ออกรายละ ร้อยละ 15 โดยประมาณ แต่วันหนึ่ง ปตท.สผ. ลุกขึ้นบอกว่า กิจการของส่วนสำรวจและผลิตมีรายได้มากกว่า ปตท.ใหญ่ซะอีก อย่างนั้น สผ. ขอออกมากกว่าหรือเท่ากับ ปตท.ใหญ่ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการดูแคลน กิจการ ปตท.สผ.ไป ซึ่ง ปตท.สผ.นี้มีความเป็นเอกเทศ และมีความเป็นเอกชนมากกว่า ปตท.ใหญ่ มากๆ หลาย ๆ ครั้งที่ ปตท.สผ. เองก็ไม่ถูกคอกับ ปตท.ใหญ่เช่นกัน ใครจะสมัครเข้าทำงานแนะนำให้ไปที่ ปตท.สผ.ครับ เงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ ดีกว่า ปตท.ใหญ่มาก แต่ส่วนใหญ่ต้องสอบเข้าครับ หากมีเส้นใหญ่มากก็ต้องเรียนเก่ง เคยทำงานเก่งๆ ด้วย ถึงจะเข้าไปแบบไม่ต้องสอบได้
ส่วน ปตท.ใหญ่นี้ หากระดับปริญญาตรี หรือเป็นแผนกที่ ปตท.คิดว่าควรไปรับเงินจากบริษัทลูกแทน ก็ต้องไปอยู่กับ BSA ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ปตท. ทำหน้าที่ในการจ้างพนักงานมาทำงานให้ ปตท.อีกทีหนึ่ง เพื่อลดภาระการจ่ายสวัสดิการให้กับพนักงานไปในตัวด้วย อย่างบางตำแหน่งที่มีราคาค่าตัวแพงๆ หรือเป็นชาวต่างชาติที่จำเป็นต้องใช้ ก็จะให้ไปอยู่กับ BSA แทนครับ
ส่วนการช่วยเหลือสังคมนั้น ปตท. เองก็ออกช่วยเหลือสังคมมาก มากจนคนไม่รู้ว่ามีการทำกิจกรรมตลอดทั้งปี ปีละหลายๆ หน และต่อเนื่องกันทุกปี และไม่ได้ทำแต่เฉพาะในกรุงเทพเท่านั้น แต่ยังเน้นไปที่จังหวัดที่ ปตท.มีกิจการตั้งอยู่ด้วย จำพวก คลังปิโตรเลียม คลังน้ำมัน หรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ อย่างสายปิโตรเคมี ปตท.ก็ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ เพื่อจัดกิจกรรมและทำการแข่งขันและคัดเลือกระดับหัวกะทิมาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในสาขาปิโตรเคมีฟรีๆ ปีละเป็น 10 ทุน แถมยังรับเข้าทำงานภายหลังจากเรียนจบอีกด้วย ไหนจะมีการสนับสนุนด้านการศึกษาโดยร่วมกับ สวทช ในการให้ทุนวิจัยกับนักวิจัยทุกแขนงผ่านทางโครงการ BRT ซึ่งปีหนึ่งสนับสนุนเงินทุนออกไปเป็นจำนวนมาก และนักวิจัยเหล่านี้ก็อาจจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของ ปตท. โดยตรงเลย หรืออย่างโครงการหญ้าแฝก 86 ตำบล ที่ ปตท.ส่งทีมไปชักชวนให้ชาวบ้านร่วมกันปลูกหญ้าแฝก โดย ปตท.สนับสนุนด้านวิชาการความรู้และพันธุ์หญ้าแฝก เพื่อลดการพังทะลายของดิน หรือแม้แต่โครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ที่ออกช่วยเหลือชาวบ้านที่ห่างไกลความเจริญ ซึ่งปีหนึ่งออกให้บริการถึง 27 ครั้ง ซึ่งที่กล่าวมานี้เป็นเพียงแค่บางส่วน ยังมีอีกมากมายกว่านี้มากครับ ซึ่งปตท.อาจจะไม่ได้ออกข่าวให้ทั่วถึง หลายๆ ท่าน ก็อาจจะไม่ทราบ
อย่างน้ำท่วมที่ผ่านมานั้น ทันทีที่เกิดเหตุอุทกภัยขึ้น ปตท.ประกาศจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันทีในจังหวัดต่างๆ จำนวน 5 ศูนย์ และเมื่อน้ำเข้ามาถึงกรุงเทพ ก็ยังเปิดอีก 3 ศูนย์ เพื่อช่วยเหลือด้วยการ ให้ถุงยังชีพ และทำข้าวถุง ข้าวกล่องแจก ซึ่งทุลักทุเลมาก พบเจอปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ก็มาก และยังมีทั้ง ข่มขู่ คุกคาม อีกมาก แต่ อาสาสมัครที่เข้ามร่วมและพนักงาน ปตท. ก็พยายามทำอย่างดีที่สุด ภายหลังจากน้ำลดก็ยังมีงบในการช่วยเหลือฟื้นฟูแยกออกมาอีก
และแน่นอนครับ ปตท. ต้องแจกน้ำมันฟรีให้กับหน่วยงานของรัฐบาลและเอกชนที่เข้ามาขอเพื่อนำไปใช้สำหรับช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก รวมๆ แล้วก็หลายแสนลิตรครับ
ที่ผมเขียนมานี้ ผมไม่ได้เป็นพนักงาน ปตท. แต่ทำงานกับ ปตท.โดยการเข้าประมูลงานอีเวนต์ต่างๆ ของ ปตท. ซึ่งส่วนตัวเลือกทำแค่ปีละ 1 งาน กับอีเวนต์ที่ชอบและอยากทำที่สุด ส่วนงานอื่นๆ นั้นให้คนอื่นที่อยากทำประมูลกันไป บางปีก็พลาดไม่ได้งานก็มีอยู่บ้าง ผมสัมผัสกับคน ปตท.เยอะมาก พวกเหลือขอก็เยอะแต่ก็ถือเป็นส่วนน้อยของจำนวนพนักงานทั้งหมด พวกคนดี ที่ดีจากหลังล้นออกมาทางหน้าอกก็มากครับ
แต่บางหน่วยงานก็มีคนไม่เพียงพอครับ อย่างภัยพิบัติครั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่ของ ปตท.สละเวลา และหยุดความรับผิดชอบงานของตนเองและลงมาดูแลการให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอดระยะเวลาที่เกิดน้ำท่วมนี้ ประมาณ 2 เดือน ทำกันทุกวันครับไม่มีวันหยุด และโอที บางวันก็เลยไปถึงเที่ยงคืน ซึ่งจริงๆ แล้วมีพนักงานแค่ไม่ถึง 30 คน ครับที่รับผิดชอบโดยตรง และต้องจ้างแรงงานภายนอกเข้ามาทำกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประสบภัยอีกกว่า 100 ชีวิต เพื่อออกให้การช่วยเหลือ ซึ่งงบค่าจ้างก็ไม่ได้มากมายเท่ากับการทำอีเวนต์อื่นๆ ในเวลาปรกติเลย เรียกว่ามาช่วยด้วยใจ และได้เงินตอบแทนน้ำใจเพียงเล็กน้อย (น้อยมาก มากจนหลายคนอาจจะไม่อยากทำเลยก็ได้ ถ้าไม่มีจิตอาสาจริงๆ) ส่วนกิจกรรมใหญ่ๆ ที่จัดขึ้นเป็นครั้งคราวเพื่ออกช่วยเหลือก็จะได้จิตอาสาจากพนักงานของ ปตท.เอง ที่มาจากแผนกอื่นๆ หรือมาจากหน่วยอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในต่างจังหวัด
เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ แหละครับ ที่ผมมาคำนวณแล้ว อัตราส่วนกำไรต่อเงินที่ตั้งไว้เป็นงบ CSR มันอาจจะเทียบไม่ได้กับบริษัทที่มีกำไรปีละ 10 ล้าน 100 ล้าน แต่มีงบ CSR ปีละกว่า 20-30 เปอร์เซนต์ของกำไร ในขณะที่ ปตท.มีกำไรปีละหลายพันล้าน (เฉพาะ ปตท.นะ ไม่รวมกิจการในเครือ) แต่สนับสนุนปีละ 5-10 เปอร์เซนต์ แต่หากคิดเป็นจำนวนเงินแล้วก็มากพอสมควร ที่ลงทุน CSR แบบไม่ได้อะไรกลับคืนมาให้ ปตท.นัก
ชาวบ้าน ชาวนา เติมน้ำมันเชื้อเพลิงปีละเท่าไร ใช้น้ำมันเครื่อง ปตท.หรือไม่ ใช้ก๊าซหุงต้มปีละเท่าไร ซึ่งผมว่าชาวบ้านที่ ปตท. ลงไปทำ CSR ด้วยนี้ไม่ใช่ลูกค้า ปตท.เลยครับ เพราะคนที่มาใช้บริการ ปตท. ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีรถยนต์ เป็นคนทำงานบริษัท เป็นพ่อค้า ซะมากกว่าชาวนาชาวไร่ แม้เขาจะมียานพาหนะแต่จะเติมสักกี่เปอร์เซนต์ของ คนชั้นกลางที่ทำงานแบบมนุษย์เงินเดือนที่มีรถขับขี่ท่องเที่ยว
อย่างผมเองแม้จะทำงานกับ ปตท.เป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่ได้เลือกเติมน้ำมัน ปตท.เป็นหลักเลย ผมก็เติมไปเรื่อย ไม่ว่าจะเชลส์ เอสโซ่ คาลเทกซ์ บางจาก ซัสโก้ พีที ปิโตรนัส น้ำมันเครื่องผมก็ไม่เคยใช้ของ ปตท. อย่างนี้เป็นต้น เพียงแต่ผมเลือกมองความดี ที่มีหลายๆ คน ในปตท.พยายามทำดีให้กับสังคม แม้ว่าจะเป็นจุดเล็กๆ เพราะผมคิดว่า หลายๆ บริษัทที่ขายน้ำมันยังทำ CSR ได้ไม่เท่าที่ ปตท. ทำเลยครับ จะด้วยว่าเพราะเป็นกิจการของคนไทยค้ำคออยู่ หรือจะอะไรก็ตาม แต่ถ้ามาเจาะลุกดูสัดส่วนแล้ว ปตท.นั้นทำมากก่าคนอื่นครับ
ฉะนั้นธุรกิจย่อมต้องทำผลกำไรแต่ก็ต้องไม่เอารัดเอาเปรียบประชาชนจนเกินไป เพราะสุดท้ายประชาชนทั้งประเทศก็จะเลือกเองว่า หากมันแพงมาก สุดท้ายลูกค้าก็หนี มันไม่ดีลูกค้าก็เลิกซื้อ และมันก็ไม่ได้มีอยู่ยี่ห้อเดียว ยังมีอีกหลายยี่ห้อ หลายทางเลือกให้เราได้เลือกใช้
อย่างหลายคนออกมาบอกว่า น้ำมันเชื้อเพลิง และน้ำมันเครื่องของ ปตท.ห่วย มันก็ถูกครับ แต่สินค้ามันก็เหมาะกับคนส่วนมาก ผมเองก็ไม่เห็นว่ารถที่เข้าไปเติมในปั๊ม ปตท. มันจะพังกัน แต่ในเมื่อเราเลือกได้เราก็อยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดที่เราซื้อได้ เราก็ไปเลือกยี่ห้อที่ถูกใจ ส่วนคนที่เขาพอใจกับยี่ห้อ ปตท.ก็ให้เขาใช้ไป เพราะสินค้ามันก็มีกลุ่มลูกค้าชัดเจนอยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องไปต่อต้านโจมตีอะไรกันมากมาย
หากท่านใดเห็นว่าไม่ได้ ต้องต่อต้น ปตท.จะต้องเป็นไปตามที่ท่านคิด จะต้องพัฒนาไปในด้านนั้น ด้านนี้ ยังไม่สายครับ ท่านสามารถขยันหมั่นเรียนหาความรู้ใส่ตนพอกพูนประสบการณ์มากๆ ให้ทุนการศึกษาลูกหลานให้เรียนเก่งๆ สอนจริยธรรมและศิลธรรมอันดีงามแก่ลูกหลานท่านและส่งให้พวกเขาเข้าไปทำงานใน ปตท.ครับ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ เลือดใหม่ไปขับไล่เลือดเก่า ผู้บริหารเก่า ความคิดเก่าๆ ที่ท่านไม่ชอบครับ
ตัวผมเองเห็นน้องๆ ที่จบมาใหม่ทั้ง ม.ในประเทศและต่างประเทศ เข้าไปทำงานใน ปตท.และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างภายใน ปตท.กันพอสมควร ฉะนั้นผมเชื่อว่าอีกไม่นานมันจะดีขึ้นและถูกใจคนไทยมากขึ้น รวมถึงมีจริยธรรมกับคนไทยที่ใช้ผลิตภัณฑ์ ปตท.มากขึ้นด้วย
อย่าลืมนะครับ หากท่านมีเพื่อน พี่ น้อง ลูก หลาน คนรู้จัก ที่ทำงานกับปตท. ก็ถามไถ่ และสอนเรื่องจริยธรรมให้แก่เขา หากคนที่ท่านรู็จักและทำงานใน ปตท.ไม่รู้จักคำว่า จริยธรรมและศ๊ลธรรมครับ