อย่าเพิ่งเบื่อกระทู้ภาษีนะครับ..
กระทู้นี้ไม่ได้หมายถึงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตอัตราใหม่ที่จะเริ่มวันที่ 1 มกราคา 2559 นะครับ แต่หมายถึงการเปลี่ยนวิธีจัดเก็บภาษีสรรพสามิตใหม่ จากเดิมที่จัดเก็บโดยใช้ราคาหน้าโรงงานเป็นฐานคำนวน มาเป็นใช้ราคาขายปลีกเป็นฐานคำนวนแทน..
อยากจะขอความรู้ และทำความเข้าใจกับวิธี และผลกระทบไว้ก่อนที่จะถูกนำมาใช้จริง (ถ้าเค้าจะเอาจริงนะ)
. .
คือโดยปกติ ภาษีส่วนนี้จะเป็นภาระของผู้ผลิต(นำเข้า) แต่ผู้ผลิตก็สามารถผลักภาระภาษีสรรพสามิตมาตกเป็นภาระของผู้บริโภคแทนได้(ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ) โดยบวกมันเข้าไปในราคาขายปลีก ทำให้สมการราคาขายปลีกรถยนต์ที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเป็นประมาณว่า
[(ราคาหน้าโรงงาน+ภาษีสรรพสามิต+กำไร+ค่าการตลาด+ภาษีมูลค่าเพิ่ม) = ราคาที่ผู้บริโภคต้องจ่าย]
(อย่างที่เห็น พอมีข่าวว่าปีหน้าภาษีสรรพสามิตอัตราใหม่ที่อิงตามค่าปล่อยมลพิษจะทำให้ผู้ผลิต(นำเข้า)ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น ..ผู้ผลิตก็เริ่มตั้งท่าจะขึ้นราคาขายปลีกตาม)
แต่..
ถ้าเกิดเปลี่ยนวิธีจัดเก็บมาเป็น "ใช้ราคาขายปลีก" เป็นฐานคำนวน(ตามที่เคยมีข่าวว่า ครม. เห็นชอบแล้ว) ..อย่างงี้ภาษีสรรพสามิตก็จะถูกดึงออกจากสมการราคาขายปลีก แต่จะใช้ราคาขายปลีกบนโชว์รูมมาเป็นฐานคำนวนภาษีสรรพสามิตแทน ดังนั้นแล้วภาษีสรรพสามิตจะไม่เกี่ยวกับคนซื้อรถแล้ว(รึเปล่า??) แต่จะดีดกลับไปเป็นภาระของผู้ผลิต(นำเข้า)แทน
..ผมเข้าใจถูกต้องรึเปล่าครับ ??
. .
อย่างนั้นทางฝ่ายผู้บริโภคได้ประโยชน์จากราคาขายปลีกที่ลดลงแน่ๆอย่างนึงละ ..แต่มันจะมีอย่างอื่นตามมารึเปล่าครับ ผมว่าผู้ผลิตคงไม่ยอมแบกรับภาระภาษีส่วนนี้เฉยๆแน่ๆ
(ไม่ใช่ว่าซื้อรถในราคาบนโชว์รูมที่บอกว่ารวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ต้องเจอโยนภาษีสรรพสามิตใส่ดิบๆทีหลังซะหล่ะ
)