เปิดแผนแม่บทอุตฯยานยนต์ฉบับที่ 3 หนุน "กรีนคาร์" เป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนตัวที่ 3 เต็มสูบ ดันไทยสู่ฮับผลิตรถยนต์รักษ์โลก เทเม็ดเงินเฟสแรก 3.2 พันล้าน ประเดิมตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์ย่านภาคตะวันออก พร้อมส่งเสริมผู้ผลิตใช้โลคอลคอนเทนต์เพิ่มเป็น 50% ค่ายรถขานรับ รอคลังคลอดภาษีรองรับ
ดร.วิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และ ดร.ปฏิมา จีระแพทย์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยถึงยุทธศาสตร์แผนแม่บทอุตสาหกรรมยานยนต์ฉบับที่ 3 ปี พ.ศ. 2555-2559 ที่มีวิสัยทัศน์การผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานผลิตรถยนต์ที่สำคัญของโลก พร้อมด้วยห่วงโซ่อุปทานที่มีมูลค่าสูงขึ้น และผลักดันรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
แผนแม่บทดังกล่าวครอบคลุมถึงแนวทางการพัฒนาโปรดักต์แชมเปี้ยนตัวที่ 3 ต่อจากโปรดักต์แชมเปี้ยนตัวแรกรถปิกอัพ และอีโคคาร์โปรดักต์แชมเปี้ยนตัวที่สองว่า จะสนับสนุนทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์แบบ "กรีนคาร์" ประกอบด้วย รถยนต์พลังงานทางเลือกหรือพลังงานหมุนเวียน อาทิ รถไฟฟ้า รถยนต์พลังงานไฮโดรเจน รถยนต์ที่ใช้ก๊าซซีเอ็นจี แอลพีจี รถที่มีน้ำหนักเบาแต่มีคุณภาพสูง รถในระบบจีพีเอส และรถยนต์ที่มีระบบความปลอดภัยสูง โดยจะผลักดันสำหรับการผลิตเพื่อใช้ในประเทศก่อน และจะมีการพัฒนาเพื่อการส่งออกต่อไปในตลาดโลก ที่คาดว่ารถประเภทกรีนคาร์จะมีการเติบโตที่เห็นได้ชัดเจนทั่วโลกในปี 2563
และอีกประเด็นที่มีความสำคัญคือ การที่ประเทศไทยได้ดำเนินการร่างกรอบยอมรับร่วม (Mutal Recognition Arrangement) ด้านมาตรฐานการรับรองยานยนต์ที่สำคัญในปัจจุบัน คือกรอบอาเซียน เอ็มอาร์เอ เพื่อสอดรับกับการเป็นตลาดเดียวของกลุ่มอาเซียน ซึ่งกำหนดให้มีการสร้างศูนย์ทดสอบและวิจัยยานยนต์ในประเทศไทย มูลค่าการลงทุนราว 8,100 ล้านบาท
โดยในเฟสแรกจะลงทุน 3,200 ล้านบาท ในการสร้างศูนย์วิจัยพร้อมสนามทดสอบ (เทสติ้งกราวนด์) บนพื้นที่ราว 200 ไร่ ซึ่งจะตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออก อยู่ใกล้กับผู้ผลิตรถยนต์และท่าเรือน้ำลึกในการรองรับการทดสอบจากผู้ผลิตในอาเซียน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2558 จากนั้นจะลงทุนอีกราว 4,700 ล้านบาท เพื่อสร้างศูนย์วิจัยและสนามสำหรับการวิจัย (พรูฟวิ่งกราวนด์) ต่อไป คาดว่าจะใช้พื้นที่มากกว่า 800 ไร่
สำหรับยุทธศาสตร์ของแผนแม่บท ประกอบด้วย 5 ประการคือ หนึ่ง การมุ่งเน้นด้านพัฒนาและวิจัยสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก พลังงานหมุนเวียน ทั้งในประเทศและการส่งออก พัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ที่มีน้ำหนักเบาแต่มีความแข็งแรง ใช้วัตถุดิบที่ลดพลังงาน สอง การผลิตและพัฒนาบุคลากร ด้วยการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษา เพื่อเพิ่มแรงงานในระบบ รวมถึงนำผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมอยู่แล้วมาทบทวนความรู้ สาม สร้างความเข้มแข็งแก่ผู้ประกอบการทั้งในเทียร์ 1 เทียร์ 2 และเทียร์ 3 ในห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการพัฒนาผลิตภาพการผลิต การสร้างเครือข่ายผู้ผลิตชิ้นส่วน สี่ การสร้างสภาพแวดล้อมในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ดี ด้วยการตั้งศูนย์วิจัยและทดสอบยานยนต์ เพื่อรองรับทั้งผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนในประเทศและอาเซียน และห้า การส่งเสริมการสร้างตราสินค้า และหาตลาดใหม่สำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งทั้งกระทรวงอุตสาหกรรมและสถาบันยานยนต์ก็มีความคาดหวังต่อแผนแม่บทดังกล่าว ทั้งในด้านการที่ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ของโลก ภายในปี 2560 มียอดผลิตที่ระดับ 3 ล้านคัน ซึ่งแม้ว่าในอนาคตอินโดนีเซียอาจจะมียอดการผลิตรถยนต์ต่อปีสูงกว่าประเทศไทย แต่ประเทศไทยก็จะมุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนการผลิตเพื่อการส่งออกมากขึ้น และเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
รวมถึงมีบุคลากรในระบบเพียงพอ มีศูนย์ทดสอบยานยนต์ที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียน เป็นผู้นำของอาเซียนในการกำหนดมาตรฐานยานยนต์ พร้อมทั้งยกระดับผลิตชิ้นส่วนให้มีมูลค่าเพิ่ม และเพิ่มจีดีพีจากอุตสาหกรรมยานยนต์จากปัจจุบันที่ 6-8% เพิ่มเป็น 10% ด้วยมูลค่าการส่งออกจากเดิม 7-8 แสนล้านบาท เพิ่มเป็นมากกว่า 1 ล้านล้านบาท
ก่อนหน้านี้ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายก็ได้แสดงความเห็นถึงแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย และโปรดักต์แชมเปี้ยนที่ตรงกับแผนแม่บท นั่นคือรถประเภทกรีนคาร์ ซึ่งหลายค่ายก็มีเทคโนโลยีรองรับอยู่แล้ว อาทิ ค่าย มิตซูบิชิ ที่มีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น ไอมีฟ ค่ายนิสสัน ที่มีรถไฟฟ้ารุ่น ลีฟ เชฟโรเลต กับรถไฟฟ้ารุ่นโวลต์ ที่ได้มีการนำมาให้สื่อมวลชนได้ทดสอบไปบ้างแล้ว
ส่วนรถยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือก ทั้งเอทานอล ก๊าซธรรมชาติและรถไฮบริดนั้นก็มีจำหน่ายในตลาดหลายรุ่นแล้ว อย่างโตโยต้าและฮอนด้าเครื่องยนต์ไฮบริดแต่สิ่งที่จะทำให้การสนับสนุนกรีนคาร์เกิดได้ ต้องมีการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทั้งสถานีชาร์จไฟฟ้า ปริมาณการจ่ายพลังงานไฟฟ้ารองรับ รวมถึงสิทธิประโยชน์ในด้านภาษี ที่กรมสรรพสามิตได้ศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แต่ได้เลื่อนกำหนดการปรับภาษีออกไปอย่างไม่มีกำหนด
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1355809359&grpid=03&catid=08&subcatid=08