มันผิดกับนิสัยคนจีนเลย
ยิ่งกับเจ้าสัวคนนึงที่ถือคติ
กำไรน้อย ขายมาก=กำไรมาก
กำไรมาก ขายน้อย=กำไรน้อย
ไม่แปลกใจ ทำไมค่ายญี่ปุ่นถึงเสียศูนย์ได้ขนาดนี้
นอกจากจะไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงานแบตแล้ว
ยังโดนบีบเรืองชิพอีก
ช่วงนึงค่ายญี่ปุ่นแม้กระทั่งยุโรปไม่มีรถส่งตลาดเพราะชิพขาดแคลน แต่ค่ายจีนก็ส่งรถเอาๆ
ลามไปภึงมือภอเกาหลีก็โดนหางเลขไปด้วย จนต้องเลือกว่าจะทำตลาดโทรศัพท์ขนาดไหนเป็นหลัง แทนที่จะทำได้หลายๆราคาเหมือนที่เคยทำ
- แน่ใจหรือเปล่าครับว่าคนจีนก็จะไม่ทำแบบเดียวกับที่ Honda ทำ เพราะยิ่งขาย WR-V, BR-V ถูกๆเท่าไหร่ ยอดขาย HR-V, City HB ก็ยิ่งตกลง แล้ว WR-V, BR-V ทาง Honda ไทยได้แค่กำไรจากการดำเนินการนิดๆหน่อยๆ ในขณะที่ HR-V, City HB ได้กำไรเต็มๆ ยิ่งไปขาย Wr-V, BR-V เยอะๆ กำไรของ Honda ไทยก็ยิ่งหดหาย ถึงเป็นคนจีนก็คงทำไม่ต่างกัน เพราะคุณก็บอกเองว่าสำหรับคนจีนกำไรน้อย ขายมาก=กำไรมาก กำไรมาก ขายน้อย=กำไรน้อย แต่ถ้ารวมกันแล้วผลลัพธ์คือกำไรหดคิดว่ายังไงก็ไม่ทำแน่ๆ อีกอย่างที่คุณอาจจะลืมไปก็คือผู้บริหารที่บริหารแล้วโรงงานตัวเองมียอดผลิตลดลงๆทุกปีทางบริษัทแม่คงไม่ปล่อยให้เจริญเติบโตในหน้าที่การงานหรอกครับ
- มันเทียบกันไม่ได้ครับ รถจีนยี่ห้อเดียวกันมีโรงงานในไทยกับอินโดเหมือนกัน แล้วส่งรถที่ผลิตในอินโดมาตีตลาดระดับเดียวกันกับรถที่ผลิตในไทยอยู่แล้วหรือเปล่า
ไม่ มันแทบไม่มีตั้งแต่โรงงานใน 2 ประเทศแล้ว เพราะฉะนั้นรถจีนไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้
- ชิ้นส่วนรถญี่ปุ่นใช้ชิพจากผู้ผลิตเดียวกับที่ผลิตให้ชิ้นส่วนของรถอเมริกันและรถยุโรป เช่นชิพของ R..., N..., I..., T..., S... เป็นต้น ในขณะที่ชิ้นส่วนรถจีนใช้ชิพของใคร? เพราะฉะนั้น Demand ในตลาดมันต่างกัน ของมันก็หายากกว่ากันอยู่แล้ว แล้วทำไมผู้ผลิตชิ้นส่วนของรถอเมริกัน รถยุโรป รถญี่ปุ่น แม้กระทั่งรถเกาหลี ไม่ไปใช้ชิพเหมือนผู้ผลิตชิ้นส่วนรถจีน ก็คิดกันเอาเองนะครับ
- ปริมาณของรถญี่ปุ่นกับรถจีนที่ขายในตลาดโลก (นอกจีนนอกญี่ปุ่น) มันต่างกันมหาศาล ถ้าปริมาณของรถญี่ปุ่นที่ขายในตลาดโลกนอกญี่ปุ่นมันมีเท่าๆกับรถจีนที่ขายในตลาดโลกนอกจีน ด้วยจำนวนชิพที่ได้รับปันส่วนมาในช่วงที่ขาดแคลนรถญี่ปุ่นก็ผลิตส่งขายตลาดโลกได้สบายครับ