Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Auto ที่ ตุลาคม 04, 2020, 22:00:07
-
การเข้ามาของรถไฟฟ้าถ้ายอดขายมันเพิ่มขึ้นจากนี้ โรงไฟฟ้าบ้านเรามันจะพอได้ยังไง บ้านเราโรงไฟฟ้าไม่เกิดขึ้นเลยในหลายปีมานี้ ประท้วงกันแหลกทุกที่ ห้ามสร้าง โดนไล่หมด ถ้าจะสร้างใหม่ค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ก็หลักพันล้านขึ้นไปทั้งนั้น
อีกเรื่องที่สงสัย สมมุติ ยอดขายรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 10% ของยอดขายรถสันดาป เท่ากับรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นปีละ 1xx,xxx คัน ภายใน 5 ปี ก็ปาเข้าไป 5xx,xxx กว่าคัน คือขั้นต่ำ ถ้ายอดขายก้าวกระโดดจะเอาไฟจากไหน แล้วจะเอาไฟฟ้าที่ไหนมาเพียงพอสำหรับการใช้งาน ผมคนนึงไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับรถไฟฟ้าที่พวกท่านอยากได้กันเพราะผมไม่ซื้อ ค่าไฟฟ้าค่า FT ที่มันจะเพิ่มขึ้น รบกวนเก็บใหม่การไฟฟ้าเรียกเก็บเงินต่างหาก เฉพาะบ้านที่ซื้อรถไฟฟ้าได้ไหมใครซื้อรถไฟฟ้าการไฟฟ้าก็เรียกเก็บเงินขั้นต่ำต่างหากไปเลยจากผู้ใช้ไฟ ผมไม่เกี่ยวและไม่อยากเกี่ยวกับค่าไฟพวกนี้
-
ระบบผลิตไฟฟ้ามันน่าจะโตตาม Demand ไปเรื่อยๆคับ อยู่ดีๆมันไม่พรุ่งพรวดใช้ไฟฟ้ากันหนักขึ้นมาทันทีทันใดเลย
อย่างบ้านไหนถ้าซื้อรถ EV มาใช้ ก็อาจจะติดตั้งระบบ Solar cell เพิ่ม ผลิตไฟเก็บใส่แบตฯที่บ้านไว้ พอขับรถกลับมาบ้านก็ชาร์ตของที่ผลิตเองก่อน
ถ้าไม่พอก็ค่อยดึงไฟจากส่วนกลางมาเพิ่ม
ไฟฟ้ามันผลิตได้จากหลายส่วน อย่างที่เริ่มจะมีมากขึ้นเรื่อยๆก็พวกพลังงานจากลม กับธุรกิจ Solar farm ที่โตขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนโรงไฟฟ้าที่ประท้วงกันไม่ให้สร้าง บางทีมันเกิดจากนโยบายรัฐที่ไม่เหมาะสม เช่น ไปสร้างใกล้ชุมชน ใกล้เขตป่าหรือทะเล เป็นต้น
ถ้าจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาด้วย ผมว่าคงพูดกันยาวคับ......
-
ผมก็สงสัยเหมือนกัน เหมือนเคยเห็นผ่านๆตาว่าจะให้เอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้าด้วย แล้วขายให้ กฟผ โดยตรง(อันนี้ผมไม่ชัวร์นะครับ)
แต่ก็นั่นแหละ ต่อให้ดึงเอกชนมาร่วม ก็ไม่รู้จะผลิตไฟฟ้าได้เท่าไรอีกและผมก็คิดว่าบ้านเรายังเหมาะสมกับรถ hybrid มากกว่าเพราะถ้ามีรถไฟฟ้าแล้วมันทำให้ความต้องการไฟฟ้ามันเพิ่มขึ้นจนค่าไฟฟ้ามันแพงขึ้นแล้วกระทบกับคนหมู่มากมันก็ไม่ควรนะครับ
แต่เรื่องการมีอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า นี่ก็ต้องมีอ่ะครับเราประกอบรถขาย ถ้าเราไม่ทำเราก็จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไป การจะให้เกิดได้ ก็คงต้องกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศก่อน ผมแค่หวังว่าในระยะยาว ถ้ารัฐยังจัดการให้การผลิตไฟฟ้าเพิ่มเพียงพอต่อความต้องการใช้ไม่ได้ รัฐควรลดการสนับสนุนให้ใช้รถไฟฟ้าแทนรถน้ำมัน เพราะยังไงรถไฟฟ้าที่เราผลิตก็ยังส่งออกได้อยู่
-
ดร.เดชรัตน์กล่าวว่า ความต้องการไฟฟ้าสูงสุด เมื่อวานนี้ (19 เมษายน 2563) อยู่ที่ 24,481 เมกะวัตต์ ส่วนความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในปีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2563 อยู่ที่ 28,636.7 เมกะวัตต์ ซึ่งยังต่ำกว่าที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 ซึ่งมีความต้องการไฟฟ้าสูงสุด 30,853.2 เมกะวัตต์ เรียกว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าในปีนี้ต่ำกว่าปีที่ผ่านมามาก น่าจะเป็นเพราะการลดการบริโภคไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ ตามมาตรการล็อคดาวน์ ปัญหากำลังการผลิตสำรอง ส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าที่เรามีตอนนี้อยู่ที่ 45,575 เมกะวัตต์ เพราะฉะนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในปีนี้ (28,636.7 เมกะวัตต์) เรามีกำลังการผลิตสำรองในระบบอยู่ที่ 60% ของความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในปีนี้ และหากเทียบกับเมื่อวานนี้ (24,481 เมกะวัตต์) เราก็มีกำลังการผลิตสำรองอยู่ที่ 86% ของความต้องการไฟฟ้าล่าสุด
ถ้าเราพูดในมุมกลับ เราอาจกล่าวได้ว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน โรงไฟฟ้าของเราประมาณ 46% ไม่ได้เดินเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า ค่าความพร้อมจ่าย การมีกำลังการผลิตสำรองเหลืออยู่ในระบบมากเกินไป (จากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า ที่ควรมีกำลังการผลิตสำรองประมาณ 15%) ทำให้เราจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้า ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และ กฟผ. โดยในกรณีของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนแบบที่มีความพร้อมจ่าย เราก็เรียกว่า ค่าความพร้อมจ่าย และก็จะถูกรวมเข้าไว้ในระบบค่าไฟฟ้า เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าของกฟผ. ปัญหาของค่าความพร้อมจ่าย หรือค่าตอบแทนในการลงทุนก็คือ แม้ว่า ปัจจุบันนี้ เราใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก เราก็ยังต้องจ่ายเงินความพร้อมจ่ายนี้ต่อไปอยู่ดี หรือเรียกว่า ไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (ตามคำว่า ค่าความพร้อมจ่าย เลย) และรายจ่ายนี้ก็จะถูกเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภค ดังนั้น หากเราพิจารณาจาก สถานการณ์ปัจจุบัน ที่เราใช้โรงไฟฟ้าเพียงประมาณร้อยละ 54 ของโรงไฟฟ้าที่เรามี และโรงไฟฟ้าที่เรามีร้อยละ 66 เป็นโรงไฟฟ้าของเอกชน (รวมการนำเข้าจากต่างประเทศ) แต่สัดส่วนค่าไฟฟ้าที่เราต้องจ่ายให้กับโรงไฟฟ้าเอกชนกลับสูงถึงร้อยละ 80 ของค่าใช้จ่ายในการผลิตและรับซื้อไฟฟ้าทั้งหมด นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ กล่าว https://transbordernews.in.th/home/?p=24926 (https://transbordernews.in.th/home/?p=24926)
-
ซื้อลาวครับตอนนี้
ที่จะปรับปรุงแบบโรงกระบี่ก็ลูกผีลูกคน ทั้งที่มีโรงไฟฟ้าอยู่แล้ว คนนอกพื้นที่ NGO มาเสือก
-
น้องที่ทำ solar cell ผมให้ทำโปรเตรียมไว้สำหรับรถไฟฟ้า
เห็นน้องเค้าเสนอมาก็จะตกประมาณ 3 แสนสำหรับชาร์จรถ ev 1 คันครับ
อายุระบบ 30 ปี ผมคิดว่าคนที่ต้องการรถ ev ควรมีไว้เลย เผื่อค่าไฟผันผวนในอนาคต
เพราะระบบชาร์จทำครั้งเดียว แต่เปลี่ยนรถได้เรื่อยๆ ::)
-
แล้วอย่างโรงไฟฟ้าเอกชนที่มีอยู่ตามนิคมอุตสาหกรรม นี่เค้าดำเนินการแบบไหนครับ
ถ้าสมมติว่าเค้าเปิดโรงไฟฟ้าในเขตนิคมอุสาหากรรม เพื่อผลิตไฟแล้วเปิดสถานีปั้มไฟฟ้าแบบนี้ได้มั้ยครับ
-
ปัจจุบันไฟฟ้าล้นระบบ 40/100 กำลังหาทางลดส่วนเกินอยู่โดยการปลดระวาง โรงที่ใก้าหมดอายุก่อนกำหนด เร็วขึ้น
ราชบุรีก็ปลดระวางแล้ว...
เรื่องไฟฟ้าไม่พอ ไม่ต้องห่วง
-
ความสามารถในการผลิต ที่มีรวมถึงปริมาณการซื้อไฟจากลาว ถ้านับกำลังการผลิตนะพอ สำหรับากรใช้รถ EV เป้นแสนๆคันสบายๆ
แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ กำลังผลิตนะครับ
มันอยู่ที่ ระบบ Grid บ้านเราอาจจะยังไม่พร้อมคือ ระบบไฟฟ้ามันต้อง Balance Load ในแต่ละ Grid ที่มีให้สมดุลด้วย เพราะ แต่ละGrid จะมีความสามารถรองรับการใช้ไฟในเวลาใดๆได้ขนาดไหน และ มันต้องมีความสมดุลของระบบไฟที่มีอยู่ในแต่ละ Grid ให้สมดุลไม่เกิด Overload งั้นจะเกิดไฟฟ้าดับได้
กรณี ของรถไฟฟ้า EV ถ้าชาร์ตแบบ Fast Charge หนึ่งคันในเวลานั้นจะมากกว่า การใช้งานปกติของบ้าน 1 หลังเดิมๆ นะและอาจมากกว่าถึง 2-3 เท่าด้วยซ้ำไปในขณะที่ทำการชาร์ต สมมติในซอยหนึ่งสมมติใช้ Grid เดียวกันหมดที่เคยมีบ้านสัก 50 หลังอยู่ดีๆมีรถไฟฟ้าสัก 20 คันนะมาชาร์ตไฟแบบ Fast Charge พร้อมกันนะครับ กำลังไฟที่ภายใน Grid นั้นจะจ่ายให้ได้ก็จะทำไม่ได้นะครับ และ คิดดูมีการเกิดปัญหากันหลายGrid พร้อมกัน สรุปมันจะทำระบบไฟฟ้าหล่ม เอาเลยก็ได้นะ
(อันหลังนี้ถ้าผมคลาดเคลื่อนไงก็ขอผู้รู้มาแก้ไขด้วยนะครับ)
-
อาจเกิดธุรกิจรายย่อยอาจเป็นการขายไฟ ก็ได้ ทุกวันนี้มีคนผลิตขายอยู่ โรงงานผลิตแผงโซล่าบ้านเราก็มีหลายที่นะครับ
โซล่าเซล เศษวัสดุเหลือทิ้ง ขยะ อนาคตอาจมีการนำมาประยุกต์ ใช้ก็ได้
-
ไม่พอหรอก
-
ปริมาณผลิตไฟฟ้าพอครับ ปัญหาใหญ่คือถ้าจะส่งไฟฟ้าปริมาณเพิ่มขึ้นไปที่ต่างๆ ต้องเปลี่ยนสายเมนไปตามตำบล หมู่บ้าน ใหม่หมด ซึ่งค่าใช้จ่ายคงมหาศาลละครับ
คนต่างจังหวัดก็อยากใช้ MG ZS EV แต่ติดปัญหาขอมิเตอร์ 30/100 ไม่ได้ ทุกวันนี้ฝนตก ฟ้าร้อง ไฟก็ดับละครับ
-
ระบบไฟฟ้าบ้านเราเหลือเฟือ ถ้ายังไม่พอ มี ESS battery ซึ่งเขาจะทำในโรงไฟฟ้าอีก ทำให้ไฟฟ้าส่วนเกิน ไปเก็บในระบบ ess และนำออกมาใช้ได้
ไม่ต้องห่วงเลยว่า รถ ev มาแล้วจะไม่พอ ไปห่วง รถเมล์ไฟฟ้าดีกว่า พวกนั้นใช้ไฟหนักกว่า รถเก๋ง 6 เท่า
-
ซื้อครับ แค่นี้ก็พอแหล่ไม่พอแหล่ ละครับ
-
ในมุมมองคนทำงานโรงไฟฟ้านะครับ
ตอนนี้ Reserve เหลือเยอะแยะเลยครับ ต้องชลอโรงไฟฟ้าใหม่ และรีบปลดโรงไฟฟ้าเก่าๆออกจากระบบ
EV มาไม่ใช่ประเด็นอะไรหรอกครับ Load หลักๆมันอยู่ภาคอุตสาหกรรม
ถ้าจำเป็นไม่พอก็สร้างเพิ่ม ไม่ได้ยากอะไร 2-3 ปีก็เสร็จ
"บ้านเราโรงไฟฟ้าไม่เกิดขึ้นเลยในหลายปีมานี้ ประท้วงกันแหลกทุกที่ ห้ามสร้าง โดนไล่หมด" << ลองดูการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเอกชนสิครับ ยังไม่เห็นมีใครประท้วงนะ
"รบกวนเก็บใหม่การไฟฟ้าเรียกเก็บเงินต่างหาก เฉพาะบ้านที่ซื้อรถไฟฟ้าได้ไหมใครซื้อรถไฟฟ้าการไฟฟ้าก็เรียกเก็บเงินขั้นต่ำต่างหากไปเลยจากผู้ใช้ไฟ" << ปกติก็เก็บอัตราก้าวหน้าอยู่แล้วนี่ครับ ใช้มากก็จ่ายมาก
-
ถ้าจำไม่ผิด พลังงานไฟฟ้าสำรองของไทยเหลือเยอะมากนะครับ
เรื่องนี้ผมจึงคิดว่าไม่น่าห่วงเท่าไหร่..
-
ได้ยินมาว่าการกลั่นน้ำมัน ต้องใช้ไฟฟ้ามากมาย เราเอาไฟฟ้าจากการกลั่นน้ำมันมาใช้กับรถไฟฟ้าแทนได้
-
ปริมาณผลิตไฟฟ้าพอครับ ปัญหาใหญ่คือถ้าจะส่งไฟฟ้าปริมาณเพิ่มขึ้นไปที่ต่างๆ ต้องเปลี่ยนสายเมนไปตามตำบล หมู่บ้าน ใหม่หมด ซึ่งค่าใช้จ่ายคงมหาศาลละครับ
คนต่างจังหวัดก็อยากใช้ MG ZS EV แต่ติดปัญหาขอมิเตอร์ 30/100 ไม่ได้ ทุกวันนี้ฝนตก ฟ้าร้อง ไฟก็ดับละครับ
ผมเห็นด้วยกับข้อความนี้เลยครับอันนี้คือปัญหาหลักเลยมากกว่า
-
น้องที่ทำ solar cell ผมให้ทำโปรเตรียมไว้สำหรับรถไฟฟ้า
เห็นน้องเค้าเสนอมาก็จะตกประมาณ 3 แสนสำหรับชาร์จรถ ev 1 คันครับ
อายุระบบ 30 ปี ผมคิดว่าคนที่ต้องการรถ ev ควรมีไว้เลย เผื่อค่าไฟผันผวนในอนาคต
เพราะระบบชาร์จทำครั้งเดียว แต่เปลี่ยนรถได้เรื่อยๆ ::)
30 ปี หารแล้วจ่ายเดือนละพันบาท รับประกัน 30ปีด้วยมั้ยคะ ถ้าได้ก็น่าสน
-
ไม่ต้องห่วงหรอกครับ พอแน่ๆครับ
-
ผมว่าการเปลี่ยนโครงสร้างให้รองรับ Load ที่เพิ่มขึ้นให้รอบรับการใช้รถไฟฟ้าและความต้องการที่เพิ่มนั้น สำคัญ พอๆ กับการสร้างโรงไฟฟ้านะ และในเมื่อเราสามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงพออยู่แล้ว ทำไมจะต้องไปซื้อไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านอีก เราควรจะเป็นผู้ขายให้ด้วยซ้ำไป รวมกับที่นิคมอุตสาหกรรมในบ้านเราก็มีโรงไฟฟ้าของตัวเองอยู่แล้วด้วย
ส่วนกำลังการผลิตสำรอง เรามีมากเกินความจำเป็นอีก ก็ควรจะลดลงมาให้เหมาะสม โรงไฟฟ้าจะได้ผลิตไฟได้ตามศักยภาพที่ตัวเองมี หรือเปลี่ยนมาเป็นแหล่งสำรองไฟฟ้าสำหรับป้องกันปัญหาไฟฟ้าดับและไฟตกซะมากกว่า หรือผลักดันโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้เกิดในไทย ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้มาก เข้ากับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
ส่วนพื้นที่ห่างไกล ไม่คุ้มค่าที่จะตั้งเสา หรือไม่สามารถตั้งเสาไฟฟ้าให้ครอบคลุมได้จากปัญหาสภาพพื้นที่ ก็ควรจะผลักดัน สนับสนุนระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยต้วเอง ด้วยพลังงานหมุนเวียน ทั้งเขื่อนผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กที่ทำเองได้ในชุมชน (ไม่ใช่ฝายที่คนทำกันจะทำสมดุลของแม่น้ำในธรรมชาติพัง) แผงโซล่าเซลล์ โรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลที่สามารถหาได้จากพื้นที่การเกษตรและปศุสัตว์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมก็ทำได้ รวมถึงศูนย์เก็บพลังงานของชุมชน
-
ในนิคมหลายที่ใช้ไฟ 3 ส่วน
1.การไฟฟ้า
2.โรงไฟฟ้าในนิคม
3.โรงงานไฟฟ้าเอกชน
ใครถูกกว่า เค้าเลือกอันนั้น
บางที่ใช้ 3 เป็นหลัก พอ 3 ดับ ระบบจะสลับเป็น 1 โดยอัตโนมัติ
ส่วนตัวคิดว่าล้น
อันนี้ยังไม่รวมโซล่าฟาร์มนะ
-
8) 8) 8)....เมื่อไหร่ก็เหลือใช้ฮับ ย.ห. :-X
-
ผมว่าการเปลี่ยนโครงสร้างให้รองรับ Load ที่เพิ่มขึ้นให้รอบรับการใช้รถไฟฟ้าและความต้องการที่เพิ่มนั้น สำคัญ พอๆ กับการสร้างโรงไฟฟ้านะ และในเมื่อเราสามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงพออยู่แล้ว ทำไมจะต้องไปซื้อไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านอีก เราควรจะเป็นผู้ขายให้ด้วยซ้ำไป รวมกับที่นิคมอุตสาหกรรมในบ้านเราก็มีโรงไฟฟ้าของตัวเองอยู่แล้วด้วย
ส่วนกำลังการผลิตสำรอง เรามีมากเกินความจำเป็นอีก ก็ควรจะลดลงมาให้เหมาะสม โรงไฟฟ้าจะได้ผลิตไฟได้ตามศักยภาพที่ตัวเองมี หรือเปลี่ยนมาเป็นแหล่งสำรองไฟฟ้าสำหรับป้องกันปัญหาไฟฟ้าดับและไฟตกซะมากกว่า หรือผลักดันโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้เกิดในไทย ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้มาก เข้ากับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
ส่วนพื้นที่ห่างไกล ไม่คุ้มค่าที่จะตั้งเสา หรือไม่สามารถตั้งเสาไฟฟ้าให้ครอบคลุมได้จากปัญหาสภาพพื้นที่ ก็ควรจะผลักดัน สนับสนุนระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยต้วเอง ด้วยพลังงานหมุนเวียน ทั้งเขื่อนผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กที่ทำเองได้ในชุมชน (ไม่ใช่ฝายที่คนทำกันจะทำสมดุลของแม่น้ำในธรรมชาติพัง) แผงโซล่าเซลล์ โรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลที่สามารถหาได้จากพื้นที่การเกษตรและปศุสัตว์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมก็ทำได้ รวมถึงศูนย์เก็บพลังงานของชุมชน
คงเหมือนเมกาละมั้งครับ น้ำมันตัวเองก็เยอะ แต่ก็ยังไปใช้ของประเทศอื่น
-
ผมว่ากว่ารถไฟฟ้าบ้านเราจะฮิตกัน คงมีนวัตกรรมใหม่มาเพียบ อย่างหลังคากระเบื้องที่เป็นโซล่าเซลล์ บ้านยุคใหม่ก็คงจะหันมาใช้กันมากขึ้น ลงทุนครั้งเดียวแต่ประหยัดค่าไฟอีกนาน(บางประเทศมีถนนพลังงานแสงอาทิตย์ เอาโซล่าเซลล์มาทำถนนเลย)
ผมว่าเรื่องวาทกรรมต่างๆมันขึ้นกับว่าใครพูด
คนอยากสร้างโรงไฟฟ้าก็อ้างเรื่องอนาคตประเทศต้องใช้ไฟมากขึ้น
คนเกลียดรถไฟฟ้าก็อ้างว่ารถไฟฟ้าจะทำให้ค่าไฟแพงขึ้น
แต่อย่างรีบนบอก ถึงไม่มีรถไฟฟ้า ความต้องการไฟฟ้าก็มีมากขึ้นอยู่แล้ว ที่แน่ๆน้ำมันมีจำกัด แต่เราสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานอื่นที่มีไม่จำกัด ดังนั้นสักวันนึงเราก็ต้องใช้รถไฟฟ้ากันอยู่ดี
ลองคิดมุมกลับบ้าง ถ้ารถไฟฟ้ามากขึ้น ความร้อนจากรถยนต์ลดลง คนเปิดแอร์ลดลง อากาศดีขึ้นคนใช้เครื่องฟอกอากาศลดลง คนไข้ลดลง รพ.ก็สร้างลดลง หรือการที่ต้องอุ้มราคาดีเซลหกพันล้านต่อปีก็เอาไปทำอย่างอื่น.. แบบนี้จะสบายใจกว่า ลองนึกถึงตอนฝุ่น pm มากๆที่เราต้องใส่หน้ากากออกนอกบ้านกัน มีเงินมากเท่าไหร่ก็ช่วยอะไรไม่ได้
ปล. กะลังเอารถมาเช็คระยะ เปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกสามสี่เดือน ครั้งละสี่ห้าพัน ไม่ต้องพูดถึงค่าน้ำมันแต่ละเดือน อยากได้รถไฟฟ้าแล้วครับ
-
ขนาดว่าบ้านผมเป็นจังหวัดเล็กๆยังมี Solar Farm 2 ที่แล้วครับ
และตอนนี้มี Global House มาสร้างใกล้ๆบ้าน ก็เห็นติด Solar Cell เกือบเต็มพื้นที่หลังคา คิดว่าอีกหน่อยสาขาที่เปิดอยู่แล้วน่าจะทยอยติดตั้ง Solar Roof จนครบทุกสาขาแหละครับ
มหาวิทยาลัย และโรงแรมหลายแห่ง ก็เริ่มหันมาติด Solar Cell บนตัวอาคารกันแล้วครับ และความนิยมใน Solar Roof ก็น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับ เพื่อลดค่าไฟในบ้านที่เพิ่มขึ้นทุกเดือนจากการเปิดแอร์ เนื่องจากอากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ
-
น้องที่ทำ solar cell ผมให้ทำโปรเตรียมไว้สำหรับรถไฟฟ้า
เห็นน้องเค้าเสนอมาก็จะตกประมาณ 3 แสนสำหรับชาร์จรถ ev 1 คันครับ
อายุระบบ 30 ปี ผมคิดว่าคนที่ต้องการรถ ev ควรมีไว้เลย เผื่อค่าไฟผันผวนในอนาคต
เพราะระบบชาร์จทำครั้งเดียว แต่เปลี่ยนรถได้เรื่อยๆ ::)
30 ปี หารแล้วจ่ายเดือนละพันบาท รับประกัน 30ปีด้วยมั้ยคะ ถ้าได้ก็น่าสน
เมื่อครู่ลองถามคนที่ทำแบบละเอียดมาเลยในงบ 3 แสน
เค้าบอกเฉพาะแผง solar ขนาดระบบรวม 6kw/h
(450w/แผ่น) รับประกันไปเลย 35 ปีครับ
สายไฟ 15 ปี กับแบตลิเธียม 48kw และอินเวอร์เตอร์ 8 kw ที่ 5 ปี
แยกเป็นส่วนๆรับประกัน ผมใช้คำผิดเองว่าเป็นระบบ ต้องขออภัยครับ :-[
สรุปคือชาร์จได้ประมาณ 1 วันต่อ 1 คันที่แบตหมด
ยิ่งมีรถ ev หลายคันก็ดูจะยิ่งคุ้มนะครับ (พยายามหาความคุ้มเต็มที่) ::)
-
คิดจะติด solar ไว้ชาร์จไฟรถตัวเอง อย่าลืมคิดเผื่อว่าไฟเก็บไม่ได้นะครับ ถ้ากลางวันใช้รถ กลางคืนชาร์จ ต้องลงทุนแบตเพิ่มอีกนะครับ แล้วแบตผมว่าเสื่อมไวอยู่นา
-
คิดจะติด solar ไว้ชาร์จไฟรถตัวเอง อย่าลืมคิดเผื่อว่าไฟเก็บไม่ได้นะครับ ถ้ากลางวันใช้รถ กลางคืนชาร์จ ต้องลงทุนแบตเพิ่มอีกนะครับ แล้วแบตผมว่าเสื่อมไวอยู่นา
ใช่เลย มันแพงที่แบตนี่หละครับ
กับการใช้งานจริงว่าจะอายุสั้นแค่ไหน
คิดไว้ว่าเมื่อติดแบตแล้วก็ต้องพ่วงใช้กับบ้านด้วย
ถ้ามีคันเดียวชาร์จไม่บ่อยยังไงไฟก็เหลือ
แต่ก็ยิ่งทำให้ cycle หมดเร็วขึ้น ก็คิดไปเรื่อยๆ
ถ้าพ้นวิกฤตรอบนี้ก็อยากลองเองให้รู้กันไปเลยครับ :-\
-
ผมกลับมองว่า โรงไฟฟ้ามันเยอะนะ
บริษัทผม มีอยู่ตั้งหลายโรง ปีก่อนก็เพิ่งสร้างขึ้นมาอีกโรง
ที่ชาวบ้านต่อต้านก็เยอะ แต่ที่ไม่ต่อต้าน หรือ เคลียร์จบ ไม่เป็นข่าว ก็เยอะเช่นกันครับ
-
ที่บอกเหลือๆ ลองเอามาคำนวนดูก็ได้ ว่าเหลือเท่าไหร่
แล้วรถไฟฟ้า 1 คันใช้ไฟเท่าไหร่
ปัจจุบันมีรถกี่คัน และถ้ามีรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นกี่ % จะเพียงพอหรือไม่
ผมเดาว่าถ้ารถทั้งหมดในบ้านเราเป็น ev 100% โรงไฟฟ้าไม่พอครับ
ปล
ตอนแรกก็สนใจแผง solar cell กบบไม่มีห้องแบต เพราะไม่อยากซ่อมบำรุงและคอยเปลี่ยน ทำให้ผลิตไฟได้ตอนกลางวัน
แต่กลางวันก็ไม่อยู่บ้านเลยทำให้ไม่ได้ติดครับ
-
เมื่อก่อนแก๊สหุงต้มราคาถูกเพราะใช้ทำอาหาร ต่อมาโรงงานเริ่มใช้แทนน้ำมัน
พอรถติดตั้งแอลพีจีแทนน้ำมัน ตัวแก๊สเลยราคาขึ้นพรวดพราด สุดท้ายคนใช้แก๊สหุงต้มรับเคราะห์ไป
ก็หวังว่าคนใช้ไฟบ้านทั่วไปจะไม่ต้องมารับภาระแบบนั้นด้วย
-
Solar cell และ พลังงานลม ไม่ต้องเอามาคิดรวมครับ มันไม่ได้ผลิตได้ตลอดและหน่วยราคามันสูงมาก
-
รถ EV ใช้ไฟน้อยมาก เมื่อเทียบกับปริมาณการผลิต
โรงงานอุตสาหกรรม ใช้เยอะกว่ามากครับ รองลงมาก็โรงแรม ออฟฟิศ
ต่อให้เปิดไฟทั้งวันทั้งคืน ตัวโรงงาน โรงแรงเองก็ติดโซล่าห์ของตัวเองได้
ไฟที่จะใช้ก็ลดลงอีกเพราะผลิตเองใช้เอง
ต่อให้มี EV อีกเป็นหมื่นๆคัน ก็ไม่สะเทือนครับ
ปัญหาของระบบไฟบ้านเรา คือมันไม่ไปตามตำบลเล็กๆ สายไฟอันจิ๋ว จ่ายไฟไม่พอ
แต่ตัวไฟเอง มีมากมายเหลือล้น
บางตำบลผลิตโซล่าห์ฟาร์มเองแท้ๆ แต่ตัวหมู่บ้านไฟติดๆดับๆบ่อยๆ
-
(https://scontent.fbkk5-3.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/120392496_10160972843149848_321315776208284565_o.jpg?_nc_cat=111&_nc_sid=730e14&_nc_eui2=AeGsn8jpPVkt3WCmyJ-_ue3Nw14wSkGIuCTDXjBKQYi4JF7rQqJ_M6mrTtk6CIOplW2tEnqzP0arqTYINqlTXci4&_nc_ohc=eNJuyj7RzzkAX_iuJSV&_nc_ht=scontent.fbkk5-3.fna&oh=1b14240886fd6a8c4cfb84eae19c75a0&oe=5FA0CDCC)
(https://scontent.fbkk5-5.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/120523832_10160972843414848_4391444701848932562_o.jpg?_nc_cat=104&_nc_sid=730e14&_nc_eui2=AeHMP_Pmj01NHoxpLJBY5_Bqql3bRJXUwSqqXdtEldTBKpef2nXUh23VWWbVX4orW1wmkKRe7dHo-LN86dAG2ePN&_nc_ohc=N03PEnunbGMAX987t95&_nc_ht=scontent.fbkk5-5.fna&oh=ac8395bff85dc687d3255a9d78e37d7b&oe=5FA2D0AB)
(https://scontent.fbkk5-3.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/120507368_10160972843699848_2944453105768548087_o.jpg?_nc_cat=111&_nc_sid=730e14&_nc_eui2=AeGENiSV0zjziPNXu5-8JYRoN2cqKLX0RL83ZyootfREv8cde7MAmJMm2B72iZkoHlZhcbsBQ75AFb8_y0gL0v1k&_nc_ohc=eivGRXwRuu0AX876tHl&_nc_ht=scontent.fbkk5-3.fna&oh=efadfebc1eee878f007091464925b47a&oe=5FA0C475)
ที่มา : https://www.facebook.com/VoiceOnlineTH/photos/pcb.10160972844254848/10160972843144848
-
เมื่อก่อนแก๊สหุงต้มราคาถูกเพราะใช้ทำอาหาร ต่อมาโรงงานเริ่มใช้แทนน้ำมัน
พอรถติดตั้งแอลพีจีแทนน้ำมัน ตัวแก๊สเลยราคาขึ้นพรวดพราด สุดท้ายคนใช้แก๊สหุงต้มรับเคราะห์ไป
ก็หวังว่าคนใช้ไฟบ้านทั่วไปจะไม่ต้องมารับภาระแบบนั้นด้วย
นั่นสินะ พอแก๊สขึ้นราคาไม่โวยวาย แต่รถไฟฟ้ายังไม่ทันมากลับโวยวายซะละ 8)
-
ตอนนี้เราก็ใช้ไฟฟ้าจากเอกชนเกินครึ่งของรัฐวิสาหกิจนะ เกินกว่าครึ่งไปเยอะด้วย
ถ้าความต้องการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น เอกชนก็ลงทุนเพิ่ม
-
รถยนต์ไฟฟ้าเสียบปลั๊กชาร์จช้าที่บ้าน ตั้งเวลาให้เริ่มชาร์จตอน off-peak น่าจะมีสำรองอยู่อีกเยอะนะ รัฐสนับสนุนเปลี่ยนมิเตอร์ TOU ช่วยสักหน่อย น่ากลัวกว่ากำลังการผลิตสำรองคือ ยุทธการปล้นตังค์ไทยภาคสองนะ...
-
เป็นกระทู้ที่ผมต้องเข้ามาตอบในคอมเลย เป็นคำถามที่ตอนแรกผมก็คิดเหมือน จขกท แต่พอได้ศึกษาเรื่องราวมากขึ้น ก็ทำให้ความคิดผมเปลี่ยนไป ต้องบอกว่าต่อจากนี้ไป รูปแบบของอุตสาหกรรมไฟฟ้าจะเปลี่ยนไปอย่างมาก แนวโน้มกำลังการผลิตไฟฟ้าจะล้นแบบนี้ไปอีกนานครับ ต่อให้มีรถ EV เพิ่มขึ้นเป็นล้านคัน ซึ่งผมเคยลองคำนวณไว้คร่าวๆ ว่า กำลังผลิตจะต้องเพิ่มอีกสัก 10,000 MW กำลังการผลิตสำรองก็ยังเพียงพออยู่ครับ ต้องขอเล่าเป็นข้อ ๆ ดังนี้ครับ
1. ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้ายังใช้รูปแบบ Single Buyer คือ กฟผ. เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชน และขายต่อให้ กฟน กฟภ มายังผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ แต่แนวโน้มในอนาคต ผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อย ๆ จะเพิ่มมากขึ้น เช่น โรงไฟฟ้าชุมชน, อาคารหรือที่อยู่อาศัยที่ติด Solar ซึ่งก็จะกลายเป็น Prosumer คือ ทั้งซี้อไฟและผลิตไฟรวมถึงขายไฟ ตามการใช้งานของตนเองด้วย จะทำให้การผลิตไฟฟ้าจะกลายเป็นตลาดเสรีมากขึ้น จะมีการทำสัญญาซื้อขายไฟ โดยไม่ผ่านการไฟฟ้ามากขึ้น แถมยังมีแนวคิดที่จะให้ รถ EV สามารถขายไฟกลับเข้าในระบบ ในลักษณะเป็น Energy Storage ได้อีกด้วยครับ
2. ระบบสายส่ง จะมีการพัฒนาโครงข่าย Smart Grid รวมถึงจะมีการกำหนดให้มีการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศได้ ซึ่งเป็นการเสริมความมั่นคงได้กรณีกำลังผลิตไฟฟ้าในประเทศไม่เพียงพอครับ และยังรองรับการซื้อขายไฟกันเองระหว่างกลุ่ม เช่น บ้านแต่ละหลังซื้อขายไฟกันเอง โดยต้องเสียค่าส่งไฟฟ้าผ่านสายส่ง ของการไฟฟ้า แต่ลักษณะนี้ น่าจะต้องทดลองเป็นบางพื้นที่ก่อนครับ
3. อัตราค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก โดยอัตราค่าไฟฟ้า ตามหลักการแล้วราคาที่เหมาะสมที่สุด คือ ราคาที่เท่ากับ Marginal Cost ของการผลิตไฟฟ้าพอดี แต่ในทางปฏิบัติแล้วจะทำได้ยาก เพราะต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจะขึ้นอยู่กับประเภทของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าด้วย ซึ่งก็จะมาจากแผน PDP นั่นเอง ในช่วงนี้ที่การใช้ไฟฟ้าลดลงมากทำให้ต้นทุนคงที่ ที่คิดเฉลี่ยต่อหน่วยไฟฟ้าไว้แล้วมีความผิดพลาด คือ หน่วยไฟฟ้าที่มาหารลดลงทำให้มีโอกาสที่ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องแบกรับภาระค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และตอนนี้มีผู้ใช้ไฟฟ้าบางส่วนที่ไปซื้อไฟนอกรูปแบบ Single Buyer เช่น โรงงานที่ซื้อไฟจากผู้ผลิตไฟฟ้าที่มาลงทุนติดตั้ง Solar บนหลังคาโรงงาน เพราะได้ราคาถูกกว่าซื้อจากการไฟฟ้า ซึ่งก็ถูกกว่าจริง ๆ ครับ แต่ต้องบอกว่าอาจจะเข้าข่ายเลี่ยงกฎหมาย พ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงานนะ โดยปกติแล้วโรงไฟฟ้าจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มส่วนหนึ่งตามมาตรา 97 เพื่อลดผลกระทบให้กับชุมชนที่อยู่รอบโรงไฟฟ้า ตรงนี้พอ กฟผ. รับซื้อไฟมาก็ต้องบวกต้นทุนส่วนนี้ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในระบบทั้งหมดด้วย รวมถึง ต้นทุนเพิ่มจากนโยบายรัฐ เช่น ไฟฟ้าฟรี 50 หน่วย, ไฟฟ้าถนนทางหลวง, ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่รัฐบาลรับซื้อ ฯลฯ ก็จะถูกรวมอยู่ในค่าไฟฟ้าด้วย ฉะนั้นต่อไป อัตราค่าไฟฟ้าคงต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมมากขึ้นครับ
-
เป็นกระทู้ที่ผมต้องเข้ามาตอบในคอมเลย เป็นคำถามที่ตอนแรกผมก็คิดเหมือน จขกท แต่พอได้ศึกษาเรื่องราวมากขึ้น ก็ทำให้ความคิดผมเปลี่ยนไป ต้องบอกว่าต่อจากนี้ไป รูปแบบของอุตสาหกรรมไฟฟ้าจะเปลี่ยนไปอย่างมาก แนวโน้มกำลังการผลิตไฟฟ้าจะล้นแบบนี้ไปอีกนานครับ ต่อให้มีรถ EV เพิ่มขึ้นเป็นล้านคัน ซึ่งผมเคยลองคำนวณไว้คร่าวๆ ว่า กำลังผลิตจะต้องเพิ่มอีกสัก 10,000 MW กำลังการผลิตสำรองก็ยังเพียงพออยู่ครับ ต้องขอเล่าเป็นข้อ ๆ ดังนี้ครับ
1. ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้ายังใช้รูปแบบ Single Buyer คือ กฟผ. เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชน และขายต่อให้ กฟน กฟภ มายังผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ แต่แนวโน้มในอนาคต ผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อย ๆ จะเพิ่มมากขึ้น เช่น โรงไฟฟ้าชุมชน, อาคารหรือที่อยู่อาศัยที่ติด Solar ซึ่งก็จะกลายเป็น Prosumer คือ ทั้งซี้อไฟและผลิตไฟรวมถึงขายไฟ ตามการใช้งานของตนเองด้วย จะทำให้การผลิตไฟฟ้าจะกลายเป็นตลาดเสรีมากขึ้น จะมีการทำสัญญาซื้อขายไฟ โดยไม่ผ่านการไฟฟ้ามากขึ้น แถมยังมีแนวคิดที่จะให้ รถ EV สามารถขายไฟกลับเข้าในระบบ ในลักษณะเป็น Energy Storage ได้อีกด้วยครับ
2. ระบบสายส่ง จะมีการพัฒนาโครงข่าย Smart Grid รวมถึงจะมีการกำหนดให้มีการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศได้ ซึ่งเป็นการเสริมความมั่นคงได้กรณีกำลังผลิตไฟฟ้าในประเทศไม่เพียงพอครับ และยังรองรับการซื้อขายไฟกันเองระหว่างกลุ่ม เช่น บ้านแต่ละหลังซื้อขายไฟกันเอง โดยต้องเสียค่าส่งไฟฟ้าผ่านสายส่ง ของการไฟฟ้า แต่ลักษณะนี้ น่าจะต้องทดลองเป็นบางพื้นที่ก่อนครับ
3. อัตราค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก โดยอัตราค่าไฟฟ้า ตามหลักการแล้วราคาที่เหมาะสมที่สุด คือ ราคาที่เท่ากับ Marginal Cost ของการผลิตไฟฟ้าพอดี แต่ในทางปฏิบัติแล้วจะทำได้ยาก เพราะต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจะขึ้นอยู่กับประเภทของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าด้วย ซึ่งก็จะมาจากแผน PDP นั่นเอง ในช่วงนี้ที่การใช้ไฟฟ้าลดลงมากทำให้ต้นทุนคงที่ ที่คิดเฉลี่ยต่อหน่วยไฟฟ้าไว้แล้วมีความผิดพลาด คือ หน่วยไฟฟ้าที่มาหารลดลงทำให้มีโอกาสที่ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องแบกรับภาระค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และตอนนี้มีผู้ใช้ไฟฟ้าบางส่วนที่ไปซื้อไฟนอกรูปแบบ Single Buyer เช่น โรงงานที่ซื้อไฟจากผู้ผลิตไฟฟ้าที่มาลงทุนติดตั้ง Solar บนหลังคาโรงงาน เพราะได้ราคาถูกกว่าซื้อจากการไฟฟ้า ซึ่งก็ถูกกว่าจริง ๆ ครับ แต่ต้องบอกว่าอาจจะเข้าข่ายเลี่ยงกฎหมาย พ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงานนะ โดยปกติแล้วโรงไฟฟ้าจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มส่วนหนึ่งตามมาตรา 97 เพื่อลดผลกระทบให้กับชุมชนที่อยู่รอบโรงไฟฟ้า ตรงนี้พอ กฟผ. รับซื้อไฟมาก็ต้องบวกต้นทุนส่วนนี้ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในระบบทั้งหมดด้วย รวมถึง ต้นทุนเพิ่มจากนโยบายรัฐ เช่น ไฟฟ้าฟรี 50 หน่วย, ไฟฟ้าถนนทางหลวง, ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่รัฐบาลรับซื้อ ฯลฯ ก็จะถูกรวมอยู่ในค่าไฟฟ้าด้วย ฉะนั้นต่อไป อัตราค่าไฟฟ้าคงต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมมากขึ้นครับ
เป็นความรู้ที่ดีมากเลยครับ ขอบคุณครับ
-
ขอบคุณทุกคำตอบครับ ช่วยให้กระจ่างขึ้นอีกเยอะ
-
ไม่ต้องกังวลครับ การทีรถไฟฟ้าจะเกิดได้ ปัจจัยหลักตอนนี้คือแบตเตอรี่ ราคา คุณภาพ ยังไม่อยู่ในจุดสมดุลย์
แต่หากเมื่อถึงจุดนั้นแบตเตอรี่จะไม่ได้ใช้แค่ในรถไฟฟ้าอย่างเดียว มันจะถูกใช้ในการบาลานซ์ระบบผลิตและการใช้พลังงานไฟฟ้า ด้วย
เสมือนการเกลี่ยพื้นที่การผลิตไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลาให้อยู่ในระนาบเดียวกัน
ปล. เช่น การชาร์จเข้าแบตของระบบไฟฟ้าในช่วงการใช้ไฟฟ้าต่ำ (ดึกๆ - รุ่งเช้า) และ ดิจชาร์จจากแบตเข้าระบบไฟฟ้า
ในช่วงเวลาที่เหลือที่มีความต้องการๆ ใช้พลังงาน