คุณอ้าง prado มาเทียบ fortuner แล้วมัน segment เดียวกันตรงไหนไม่ทราบ prado เกรดเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด สร้างจากคนละพื้นฐาน ข้อมูล fortuner 3.0 D4D เทียบกับ 4.0V6 ผมอ้างอิงมาจากการทดสอบของฝั่งแอฟริกาใต้ ที่มีทั้งสองรุ่นทำตลาดอยู่ หัดลองไปหาดูเอาเองให้ละเอียดก่อนมากล่าวหาลอยๆว่าผมหามาผิด
ผมบอกที่ไหนว่าให้ยกเลิกภาษีนำเข้าไปเลย ดูหัวเรื่องกระทู้ ผมก็ชี้แจงแล้วว่าภาษีสรรพสามิตใหม่มันซ้ำซ้อน และไม่มีเหตุผล มีช่องว่าง ทั้งนี้มีพวกเรายกตัวอย่างไปแล้วกรณีเครื่องห่วยสุดๆแต่ความจุไม่เกิน 2.8 เสียภาษีน้อยกว่า เครื่อง 3 พันอัพ สะอาดโคตร หัดไปดูในเม้นก่อนๆดูเอาครับ การแก้ไขคือต้องออกกฏหมายเเป็นขั้นบันไดตามไอเสียที่ปล่อย แต่ที่แน่ๆถ้าเล่นกันแฟร์ๆ ดีเซลพวกกะบะคอมมอนเรลเสร็จแน่ๆ เรื่ีอง ปล่อยมลพิษ
อีกเรื่องผมสงสัย ไม่เข้าใจพวก อวย protectionism อย่างละห่ำ อุตสาหกรรมนี้เป็น export oriented sector เช่นเดียวกับ HDD และ เครื่องแอร์ แล้วการเปิดเป็นเสรีมากขึ้นใน domestic market จะซวย export performance จนเจ๊งปิดโรงงานกันยังไงไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ เพราะพวกคุณต้องการ ปกป้องกันสุดโต่งเกินไป ตลอดกาลและตลอดไป โดยไม่ได้ส่งเสริมให้พวกในประเทศโดยเฉพาะพวกทำชิ้นส่วนนอนรอแต่ labour cost advantage ไม่ยอมขยับ upstream ใน value chain ทำให้ อุตสาหกรรมตอนนี้ เสียcompetitiveness ลองไปศึกษา infant industry argument คร่าวๆเอาเองครับ
ที่ผมบอกว่าsegmentเดียวกันคือเอา prado 3.0d4d มาเทียบกับ 4.0 ผลคือดีเซลประหยัดกว่า เพราะฉะนั้นถ้าเครื่อง2ตัวนั้นวางอยู่ในfortuner ทั้งคู่ผลก็น่าจะออกมาเหมือนๆกันแต่ข้อมูลที่คูณบอกมาดันกลับกันอย่างสิ้นเชิงคุณบอกข้อมูลมาว่า
Fortuner 3.0 D4D vs Fortuner 4.0V6
Fortuner 3.0 ดีเซล 25.9-26.8 mpg Co2 emission 228g/km
Fortuner 4.0 เบนซิน ทำได้ 30.6-35.4 mpg Co2 emission 309g/km
ซึ่งคุณบอกว่าผมเอาความเชื่อมาพูดว่าดีเซลเครื่องใหญ่กินน้ำมันกว่าเบนซินผมก็ยกเครื่องใหญ่มาทั้งยุโรปเลยมาให้คุณดูว่าผมไม่ได้มโนหรือเอาความเชื่อผิดๆมาบอก
แต่ข้อมูลที่คุณหามาแหล่งที่มาก็ไม่มี เวปอะไรก็ไม่รู้ หาข้อมูลมาผิดรึเปล่าก็ไม่แน่ ผมคงไม่หัดไปหาข้อมูลใหม่หรอกนะครับ ของผมแสดงรูปและแหล่งที่มาชัดเจนเพื่อsupport evidenceของรูป แต่คุณกลับไม่ใส่มาและดันบอกให้ผมกลับไปหาเองอีก
ส่วนเรื่องยกเลิกภาษี ผมก็ยังไม่ได้บอกเลยนะครับว่าคุณจะให้ยกเลิกภาษี
ส่วนเรื่องภาษีแบบขั้นบันไดผมก็พิมพ์บอกไปแล้วว่าผมสนัับสนุนในเรื่องนี้ เรื่องเครื่องเล็กปล่อยมลพิษเยอะกว่าเครื่องใหญ่มันก็มีครับแต่เป็นส่วนน้อย แต่ถ้ามีการคิดภาษีแบบขั้นบันไดจะช่วยแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้
อีกอย่างผมไม่ใช่พวกprotectionism อย่างละห่ำ ผมมองในแง่ของเศรษฐกิจและความจำเป็นต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ได้มองถึงแง่เครื่องใหญ่บล็อกโตมาขับเล่นชิวๆเน้นสนุกไปวันๆ ปัจจุบันผมมองว่าสมเหตุสมผลแล้ว ผมเริ่มมองเห็นรถยนตร์บ้านเรามีการพัฒนามากขึ้น ยกตัวอย่าง Honda Jazz,City, Ford Fiesta, Focus, MG3, Mazda2 ที่กล้าอัดออพชั่นเต็มๆแบบเมืองนอกมาขายให้ผู้บริโภคในเมืองไทย แต่ก็ยังมีหลายยี่ห้อที่ยังกั๊กออพชั่นอยู่ สิ่งอำนวยความสะดวก+ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่าเครื่องใหญ่ สมรรถณะที่คุณIvyกล่าวมาตลอดคือแรงม้าเยอะ ซึ่งไม่ได้ช่วยขับเคลื่อนประเทศหรือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนในประเทศเลย ถามว่าปัจจุบันแรงม้าของรถทั่วไปพอแก่การใช้งานรึเปล่าผมมองว่าพอแล้ว แต่ระบบความปลอดภัยยังไม่พอ บางรุ่นของeco car ตัดออพชั่นพวกนี้ออก เหล็กกันกระแทกในกันชนบางรุ่นยังตัดออกเลยน่าเกลียดมาก ผมไม่ได้ปกป้องรถในประเทศแต่ผมมองว่าเราควรจะปรับปรุงรถในประเทศให้ดีขึ้นโดยมีกฏหมายเรื่องความปลอดภัยเพิ่มขึ้นมา ออพชั่นบางอย่างควรเป็นของstandardของรถทุกรุ่น เหมือยสมัยก่อนที่กำหนดเรื่องsafety belt เป็นต้น ในเมื่อแรงม้ามันพอแก่การใช้แล้ว การขยายCC.ของเครื่องยนตร์เพื่อให้ได้แรงม้าเยอะ+ปล่อยไอเสียมากขึ้นควรจ่ายภาษีแพงกว่าถูกแล้ว กรุงเทพเป็นจังหวัดที่คนอยู่เยอะสุดในเมืองไทยและติดอันดับรถติดเป็นอันดับที่8ของโลก การใช้รถที่CC.สูงวิ่งในเมืองค่าCo2จะปล่อยออกมามากกว่าวิ่งในระยะยาวๆ และจากตารางรถยุโรปชื่อดังที่ผมเอามาให้ดูจะเห็นว่าเครื่องยิ่งใหญ่Co2ยิ่งเยอะ เผาผลาญน้ำมันมากขึ้น รัฐจึงเน้นไปที่รถเครื่องเล็ก+รถไฮบริด ซึ่งแก้ปัญหาของคนเมืองได้ดี และรถไฮบริดส่วนใหญ่วิ่งทางไกลก็ดีด้วยเช่นกันสังเกตุจากแรงม้าของรถไฮบริดหลายๆรุ่นค่อนข้างสูง+ประหยัด+ปล่อย Co2น้อยกว่ารถทั่วไป สนับสนุนด้านนี้ถูกต้องแล้ว
ปัจจุบันรัฐสามารถกำหนดให้รถส่วนใหญ่นำเข้าเครื่องที่แรงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สุดอย่าง C300 bluetec hybrid,E300 bluetec hybrid,320D,520Dและรถญี่ปุ่นไฮบริดอีกมากมาย ลองสักเกตุดูอย่าง E300 bluetec hybridดูสิครับ มันเป็นรถที่เกิน200ม้า+ประหยัดเกือบจะที่สุดตั้งแต่E-Classเคยทำมา
แล้วแบบนี้เราควรจะสนับสนุนต่อหรือแอนตี้ดีเซล แทร๊กเตอร์ดีแหละครับ
ผมแนะนำให้คุณลองมองแบบกว้างๆดูครับ ถ้าคุยกับคนไม่เล่นรถหรือคนทั่วไปจะมีสักกี่คนที่ต้องการรถเครื่องใหญ่สมรรถณะสูงแต่กินน้ำมัน เราสามารถกำหนดกฏหมายอื่นที่สามารถยกระดับรถในประเทศได้และทำให้เราไม่ต้องไปimport รถนอกเข้ามา เข้าใจว่าcompetitivenessจะช่วยยกระดับในประเทศแต่เรามีวิธีที่ยกระดับได้เหมือนกัน และรถความจุ3000+ ก็ไม่ได้จำเป็นสำหรับรถเก๋งในประเทศ อยากได้ก็จ่ายตังซื้อเอา รัฐไม่ได้มีข้อห้ามว่าห้ามนำเข้ามาแบบสมัยก่อน