แรกๆตลาดบ้านเรายังเล็กครับ (3 - 4แสนคัน/ปี) ไม่คุ้มที่บริษัทแม่จะมาลงทุนเอง เลยให้สิทธิ์การจัดจำหน่ายทั้งประเทศให้กับผู้ใดผู้หนึ่ง โดยจะเรียกว่า distributor
distributor จะสามารถซื้อรถในราคาที่ต่ำกว่ารคาขายส่งมาจากบ.แม่
หลังจากนั้นค่อยมาขายส่งต่อให้กับดีลเลอร์ในประเทศ เพื่อขายปลีกให้ลูกค้าอย่างเราๆต่อไป
คราวนี้พอถึงจุดหนึ่ง ตลาดมีขนาดที่พอจะทำให้บริษัทแม่เข้ามาตั้งสำนักงานเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจเองได้ เหล่าเจ้าของยี่ห้อก็เริ่มสนใจ
เริ่มอยากเข้ามาดูแลตลาดเอง
การจะเข้ามาทำตลาดเองก็ต้องมีข้ออ้างที่จะทำให้เข้ามาได้อย่างชอบธรรม
ซึ่งข้ออ้างที่มักใช้กันก็คือ "บริการหลังการขายลูกค้าได้ไม่ดีพอ" หรือ "ยอดขายรถใหม่ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ"
การบริการหลังการขายที่ไม่ดีพอนี่ก็ต้องอาศัยลูกค้าร้องเรียนมาทางหนึ่ง หรืออีกทางหนึ่งก็คือ ตั้งมาตรฐานให้มันเวอร์เข้าไว้
พอdistributorในไทยทำตามไม่ได้ก็เป็นข้อ้างในการที่จะบอกเลิกสัญญา
ส่วนเรื่องยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า ก็ตั้งเป้าให้มันโหดๆ เช่น ตลาดโต 10% แต่ฉันขอเพิ่ม 20% นะ มากขึ้นกว่าตลาดแค่ 10% เอง
แต่ถ้าาดูจริงๆคือ เราต้องเบ่งยอดการเติบโตเป็น 2เท่าของตลาดเลยทีเดียว
หลังจากขอยอดเสร็จ ก็ตัดเครื่ิองไม้เครื่องมือในการช่วยทำยอด
- รถโมเดลใหม่
- โฆษณาใหม่
- งบการตลาด
- global campaign
แค่นี้ก็ทำมาหากินกันเกือบจะไม่ได้แล้วครับ
สุดท้ายก็ต้องยอมคืนแบรนด์ให้เค้าไป
ส่วนบริษัทแม่ก็จะแสดงความใจดีด้วยการยอมให้ distributor เหล่านี้เป็นดีลเลอร์ใหญ่กว่าปกติหน่อยนึง หรือ mega dealer นั่นเอง
โดยจะได้สิทธิ์ในพื้นที่สวยๆ ยอดขายเยอะๆ มีหลายๆสาขา อาจจะมียอดขายประมาณ 10 - 20% ของยอดขายทั้งหมดของยี่ห้อนั้น
เพื่อเป็นการถนอมน้ำใจกันไป
ตลาดบ้านเราตอนนี้มียอดขายอยู่ที่ 1.2 - 1.3 ล้านคัน/ปี และคาดว่าภายในปี 2560 ยอดขายน่าจะเกือบถึง 1.8 - 2ล้านคัน
ทำให้ขนาดตลาดมีไซส์ที่ใหญ่พอจะส่งทีมงานเข้ามาทำตลาดได้เอง
ไม่ต้องดูอื่นไกล อย่างเบนซ์เป็นต้น ปีที่แล้วมียอดขายประมาณ 6,000 - 7,000 คัน ตกประมาณ 6000 * 3,000,000 = 18,000,000,000 บาท
แค่กำไร 1% ก็ 180 ล้านบาทแล้ว มีพนักงานซัก 100 คน เฉลี่ยเงินเดือนคนละ 40,000 บาท ทั้งปียังจ่ายเงินเดือนแค่ 48,000,000 บาทเอง
แล้วทำไมเค้าจะไม่มาหล่ะครับ......!