ส่วนตัวผมมองเรื่องนี้เป็นสองประเด็นครับ
ประเด็นแรก เรื่องการจอดรถโดยให้คนลงมาจอง ผมมองว่ามันก้ำกึ่งครับ
ตามหลักสากล เค้าถือว่าใครมาก่อนได้ก่อนก็จริง
แต่ถ้าถามใจเรา เวลาเราเจอรถติดๆในที่จอดรถห้าง ช่วงบ่ายวันอาทิตย์
ขับวนมันเป็นสิบรอบ แต่ก็ยังไม่ได้ที่จอด บางเวลาเราอาจจะทำแบบนั้นก็ได้ครับ
ผมมองว่า เรื่องของพฤติกรรม ถูก ผิด บางทีเราตัดสินด้วยหลักที่ตายตัวไม่ได้หรอกครับ
ประเด็นที่สอง ที่จขกท.โดนเขียนด่า
ผมมองว่าอย่างไร คนที่เขียนก็ผิดครับ ถ้าให้คุณเข้าไปจอดแล้ว ควรจะจบแค่นั้นครับ
การเขียนด่าหรือการลงไปโต้เถียงกันเพื่อเรืองเล็กน้อยแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำครับ
ปล. เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนไทย หรือระบบการศึกษาเลยครับ
และก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องหยาบช้าด้วยครับ มันเป็นเรื่องเข้าใจไม่ตรงกันและระงับอารมณ์ไม่อยู่เท่านั้นเองครับ
ผมมองว่า คุณ tan คุณ yim คิดมากไปครับ
ถ้าแค่ยืนจอง ผมเฉยๆ นะ แต่ไอ้ที่เขียนกระดาษแปะไว้บนรถชาวบ้านเนี่ย ผมรับไม่ได้ คือ คนเราทำผิดได้ บางทีมันก็สุดวิสัยอย่างที่คุณว่า ผมก็เคยทำบ่อยไป เรื่องยืนจองที่ แต่ที่รับไม่ได้คือ
1. ไม่ยอมรับในความผิดพลาดของตน
2. ไม่มีการให้อภัย
มันก็อาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กได้ครับ แต่อย่าลืมว่า เรื่องเล็กๆ เหล่านี้แหละครับ คือสิ่งที่สะท้อนสังคมปัจจุบัน ถ้าเรายอมรับเรื่องเล็กน้อยไปเรื่อยๆ สักวันมันก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ครับ
ทำไมผมถึงโยงเข้าระบบการศึกษา
ก็เพราะระบบการศึกษาของเราเน้นการแข่งขันตั้งแต่อนุบาล ยันมหาลัย มันทำให้เด็กถูกเลี้ยงในสิ่งแวดล้อมที่มีการแข่งขันตลอดเวลา สุดท้ายคนสมัยใหม่ก็ทำได้แค่แข่งขันกันครับ แล้วก็สิ่งที่ตามมาก็คือนิสัยแพ้ไม่เป็น สังคมก็เจริญละครับ
ระบบการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งที่บ่มเพาะค่านิยม และวิธีการเลี้ยงดูครับ พ่อแม่สมัยนี้จะเป็นจะตายให้ได้ ถ้าลูกสอบโรงเรียนดังๆ ไม่ติด สอบคณะดีๆ ไม่ได้ ทำอย่างกับโลกจะแตกสลาย เวลาไปไหนมาไหน ก็ถือคติพจน์ "ด้านได้ อายอด" ดังนั้นจึงไม่แปลกหรอกครับ ที่ในงาน DTAC จะเจอมนุษย์พฤติกรรมเยี่ยงนั้น
ถ้ามีโอกาส ก็ลองถามตัวเอง และคนรอบข้างดูนะครับว่า "เรียนหนังสือมาเพื่ออะไร?" แล้วก็ลองดูคำตอบครับ
เพราะพูดกันตรงๆ ผมก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ว่า ปริญญาบัตร กับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมของผมเนี่ย นอกจากเป็นเครื่องมือหาเงินแล้ว มันใช้ทำอะไรให้โลกดีขึ้นได้อีกหรือเปล่า?? ลองดูเล่นๆ ครับ