Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: shipcake ที่ กันยายน 10, 2023, 11:39:28
-
เหตุผลอะไรที่จะคิดถึงเวลาที่ท่านต้องซื้อรถไฟฟ้าใช้และขายรถสันดาปทิ้งสักที
-
ไปลองสักคัน แล้วจะลืมรถสันดาปไปเลย
การมี FTA กับจีน เปิดโอกาสให้มีตัวเลือกรถ BEV นำเข้าพลังแรงในราคาไม่เว่อร์ใกล้กับตปท. มากขึ้นเพราะไม่ต้องเจอกำแพงภาษีนำเข้าประสาทแดกแบบไทยๆ
ความแรง หลังติดเบาะกันทุกโมเม้น
เสียงมอเตอร์แหล่มๆ เหมือนเครื่องเจ็ต
ตอนจอดรถที่สนามบินรอรับสาวหลังแลนไม่มีใครมาบ่นเหม็นออกเทน นั่งดู netflix ฟัง tidal รอไป
สาวๆขึ้นรถชอบ มีคำถามตลอดไฟล์ท เฮ้ย ตลอดทาง
-
เหตุผลของผม ต้องมีที่ชาร์ตที่จอดข้างถนนก่อน เหมือนกับต่างประเทศ เสียค่าที่จอดเพิ่มก็ไม่เป็นไร ในซอยก็ต้องมีนะ ไม่รู้เมืองไทยจะทำได้เปล่า ต้อง โจรมันมาก
-
เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนรถตามอายุ และมีรถน้ำมันที่ไว้ใจได้อยู่แล้วคันนึงในบ้าน
เคยเกือบๆจองc40ไปก่อนจะตั้งสติได้ว่ายังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนรถนี่หว่า อยากได้เพราะกิเลสล้วนๆ
-
วิ่งได้ 800+ กม. ชาร์จให้ได้ 80-100% ภายใน 5-10 นาที แบตเปลี่ยนทีละโมดูลได้ จะได้ไม่เจ็บมาก โมดูลไหนเสียหรือเสื่อมก็ปิดใช้งานโมดูลนั้นไปก่อนให้รถวิ่งได้ตามปกติแค่ระยะทางสั้นลง ราคาไม่เกินล้านก็ดี ขอมีระบบความปลอดภัยครบ กับ acc ถึงจุดหยุดนิ่งพอ
-
ผมรอดูกระบะไฟฟ้า ครับ
-
ที่ชารจ์มีมากพอที่จะสามารถเลี้ยวเข้าไปได้เลย ไม่ต้องจอง ไม่ติด low priority ชารจ์ไม่เกิน 50 นาที และที่สัาคัญ สามารถเปิดแอร์รอในรถได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะแย่งแบต
ที่กล่วงมารถไฟฟ้าปัจจุบันยังทํากันไม่ค่อยจะได้เลย
-
ดีเซลเลิกเหม็นเมื่อไร ค่อยว่ากันครับ
-
ผมรอรถระบบความความปลอดภัยและระบบช่วงเหลือประมาณ Dolphin Standard Range แต่อยากได้ราคาไม่เกิน 5แสนบาท
(เพราะ พอจะทำใจได้ ถ้าจะไม่สามารถขายได้ และต้องทิ้งเป็นซากแทน)
ถ้าได้ระยะทาง 350 - 500km ต่อการชาร์จ จะดีมาก
เอาจริงก็แอบดู BYD Seagull อยู่ครับ ถ้าเข้ามาจริงก็อยากได้มากกว่า NETA V
NETA V นี่ต่อให้เป็น V2 และราคาเดิม ก็ยังรับกับวัสดุและการออกแบบไม่ได้ครับ
-
เมื่อรถวิ่งได้ 800โล แบบไม่จำกัดนะ เอาแบบวิ่งได้จริง ไม่ใช่ในวเปค บอก 800วิ่งได้จริง 500โลไรแบบนี้ไม่เอา ที่ชาร์จต้องเพียงพอ อะไหล่ถูกกว่านี้
ตอนนี้ขับ สันดาป ยังไงก็สบายใจกว่า น่าจะมีอีก 5-10ปี อาจจะซื้อ
-
จุดชารจตอนนี้น้อยเกินไป รอสามคันก้คันละครึ่งชม ตอนนี้เหมาะกับใช้ในเมืองชารจบ้านไปทำงาน ออกตจวสามสี่ร้อยดโลดุยังไม่ค่อยเมาะค่ะ รถไฟฟ้าขับดีมากฟิลลิ่งดีกว่ารถสันดาปแทบทุกด้านเลย กังวลเรื่องความปลอดภัย จุดชารจน้อย ระยะเวลาในการใช้รถอาจสั้น เทคโนโลยีมาไว ราคาขายซาก ราคาตัวรถที่สูงเกินไปเทียบกับการใช้งานและราคาแบตมอเตอร์ระบบไฟต่างๆ หากต้องซื้อตอนนี้คงเลือกที่ระยะทางดีราคาหลักแสนพอไปก่อน ขอดุไปก่อนค่ะ ราคารถไฟฟ้าแพงกว่ารถน้ำมันไปมากเกิน
-
เมื่อ
1. รถขับดี หาทางยังไงก็ได้ให้มันชดเชยน้ำหนักแบตได้
2. รถมีระบบขับกึ่งอัตโนมัติที่ดีแน่
(ชนด้านข้างทีแล้วกระแทกแบตแตก หรือ ชนด้านหน้าหลังแล้วกระเทือนแบตแตก จ่ายแทบไม่ไหว ถึงมีประกัน ประกันจะเพิ่มเบี้ยปีหน้าหลักหมื่นแน่นอน)
3. รัฐซัพพอร์ตภาษี
(รัฐไทยน่าจะซัพพอร์ตยาก ต่างกับประเทศที่เขาซับพอร์ตให้เนื่องกับนโยบายพลังงานสะอาดเขา รัฐเราซัพพอร์ต อากาศก็ไม่คลีนเท่าไหร่อยู่ดี)
4. มีจุดชาร์จกระจายทั่วจังหวัดที่เดินทางไป
5. เมื่อกริดไทยดีพอที่จะทำให้อากาศคลีน เมื่อเทียบกับรถประเภทอื่น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ PHEV ตอนความเร็วสูง
(โรงไฟฟ้าแก๊ส ซึ่งผลิตไฟฟ้า 60% ของไทย มีทั้งที่ประสิทธิภาพต่ำกว่ารถ ICE และ สูงกว่า*)
*ผมเป็นวิทยากร B.Grimm บริษัทพลังงานไฟฟ้าเอกชน #1 ของไทย
6. เมื่อปี 2035 ที่การซื้อรถใช้น้ำมัน แล้วคาดหวังว่าจะใช้ได้ สูงสุด 20 ปี ไม่ได้ซะแล้ว
(อาจรวมระยะเวลา 2nd hand ของผู้ซื้อคนต่อ ๆ ไป)
เพราะไม่น่าจะมีน้ำมันใช้ตอนปลายอายุรถ ตามที่เขายิงโซนาร์ลงไปสำรวจใต้ชั้นดินแล้วประเมิน
-
ผมจะซื้อรถไฟฟ้าก็ต่อเมื่อ มันดีกว่ารถที่ตัวเองใช้อยู่ในทุกด้านครับ
ยกมาหัวข้อหลักๆ เลย
ความคาดหวังในด้านสมรรถนะ
สมรรถนะในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงแค่ขุมพลังนะครับ แต่หมายถึง dynamic รถทั้งคัน
ตอนนี้ในราคาเท่าๆ กันกับรถที่ผมใช้ อัตราเร่งนำไปไกลแล้ว
แต่ handling การขับขี่ที่ผมต้องการมันก็ไม่ได้ว้าวขั้นนั้น ถ้าอยากได้ handling ว้าวๆ ก็ต้องจ่ายมากกว่า
ซึ่งก็ยังไม่มีความจำเป็นจะต้อฃเปลี่ยนรถที่ตัวเองมีไปเอาเพียงแค่หัวข้อนี้
ความคาดหวังในความประหยัด
ประหยัดในที่นี้ ไม่ใช่ประหยัดแค่เป็นตัวเงินนะครับ ประหยัดในแง่ที่ไม่ใช่ตัวเงินด้วย
ตอนนี้ที่ผมเห็นว่าประหยัด มีแค่ประหยัดเงินค่าเชื้อเพลิง และเงินค่าบำรุงรักษาเท่านั้น
แต่ยังเปลืองเงินค่าประกันภัย เปลืองเวลาการวางแผนการชาร์จ เปลืองเวลาการรอชาร์จจนทำให้เปลืองเวลาการเดินทาง
-
เมื่อค่าน้ำมันเกินลิตรละ 50 แบบไม่มีทางลงแน่นอน
เพราะผมใช้รถเดือนละ 1,000 กิโลเอง
-
ตอนนี้เก็บข้อมูลการใช้งานจริงจากผู้ใช้จริงอยู่ครับ
มันทำให้รู้ถึงข้อจำกัด ข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติ ที่ไม่เคย
อยู่ในคลิปรีวิว, คอลัมน์รถ หรือโฆษณารถเลย
พยายามเรียนรู้ให้เข้าใจให้ได้มากที่สุดก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องระยะเวลาและระยะทาง
การเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่จากผู้ใช้งานจริง
ก่อนที่จะตัดสินใจครับ
-
จะซื้อก็ต่อเมื่อ นานๆ ใช้รถที ซื้อมาจอด ไม่ค่อยได้ขับ จอดมาจอดติดบ้านไว้ เผื่อไปซื้อของตลาด กลับมาก็ไม่ได้ใช้งาน ไปไหน ก็ขึ้นรถไฟฟ้าไป ขึ้นเครื่องบินไปเที่ยว ไปเช่ารถปลายทางเอา
แต่ ถ้าเป็นรถ ใช้เที่ยว ใช้ไปทำธุระ ใช้รถน้ำมันดีกว่า ไม่อยากเสียเวลาไปคิด ต้องไปวางแผน เรื่องการ ชาร์จ จะวิ่งได้กี่กิโลเมตร ไฟจะหมดตอนไหน เอาเวลาไป ทำงาน หาเงินดีกว่าครับ
-
ตอนอายุเยอะแล้ว ซัก 60 เพราะคงไม่สนใจเสียงเครื่องยนต์เพราะๆ แต่อยากได้ความเงียบแทน
แล้วตอนนั้นเทคโนโลยีและจุดชาร์จก็คงเยอะมากพอและชาร์จเร็วพอแล้วครับ
ถ้าสำหรับอายุตอนนี้คันต่อไปอยากได้ 911
-
เมื่อ
1. ต้องชาร์จไฟจากใกล้หมดให้เต็มได้ภายในระยะเวลาเท่ากับที่รถสันดาปเติมน้ำมันจากขีด E ไปจน F (เต็มถัง)
2. มีสถานนีชาร์จมากพอๆกับปั๊มน้ำมัน
3. น้ำหนักรถทั้งคันต้องพอๆกับรถยนต์เครื่องสันดาปที่มีแรงม้าใกล้เคียงกัน ทุกวันนี้รถ EV มีน้ำหนักตัวเยอะมาก
มันมีผลในเรื่องการบังคับควบคุมรถ (Handling) แล้วก็ระยะเบรค รวมถึงโอกาสที่ยางและแม็กเสียหายจากการใช้งานก็จะมีสูงขึ้น
จากน้ำหนักตัวที่มากกว่าปกติ เทียบกับรถสันดาป เพราะรถ EV ที่เราจะใช้กัน เราใช้มันอยู่บนโลกเดียวกันกับรถสันดาป
นั้นหมายความว่ามันอยู่ภายใต้กฏฟิสิกส์กฎเดียวกัน ต่อให้รถ EV เซ็ตช่วงล่างมาเทพขนาดไหน แต่ถ้าน้ำหนักตัวมาก ก็จบครับ
ก็จะเจอปัญหาแบบข้างต้นที่มันทำให้สู้รถสันดาปไม่ได้ ต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ก่อน
4. ราคาอะไหล่ใดๆก็แล้วแต่ ที่มันมีแนวโน้มที่จะต้องเปลี่ยน ราคาต้องจับต้องได้ง่ายสำหรับคนฐานะปกติทั่วไป
5. อันนี้สำหรับคนชอบเหยียบบ่อยๆ (เพราะตัวผมเองเท้าหนัก) ก็คือเวลาขับเร็วๆเหยียบบ่อยๆ
ต้องกินไฟต่างจากตอนขับปกติไม่เกิน 2 เท่าตัวเหมือนรถสันดาป ก็คือปกติปกติรถสันดาปถ้าคันไหนขับปกติกิน 14-15โลลิตร
ถ้าเหยียบเร็วๆมันจะลงมาแถวๆ 8-10โลลิตร คือไม่ถึง 2เท่าตัว แต่สำหรับรถ EV มันไม่ใช่แบบนั้น
มันดูเหมือนกินไฟขึ้น 5-6เท่าตัวเลย ถ้าเทียบกับแบบขับปกติ เหยียบทีแบ็ตฯลดไวมากๆ เต็มๆอยู่
ถ้าเหยียบๆนี่แป๊บเดียวนี่เดี๋ยวได้ชาร์จใหม่
ถ้าทำตามนี้ได้ เดี๋ยวอาจจจะจัดสักคันครับ โดยเฉพาะข้อ 1-4 สำคัญสุดครับ
เพราะทุกวันนี้ EV ดีแต่แรงออกตัวทางตรง ซึ่งก็แรงจริงๆ ดีดออกแรงจนตกใจ อันนี้ต้องยอมรับ แต่ก็รู้สึกว่าก็เท่านั้นครับ
ผมเป็นคนชอบรถแรงๆเร็วๆน่ะ แต่ขับ EV กลับไม่สนุกเลย ขับแล้วก็แบบ เอ้อ แรงดีๆ อืมๆๆ แล้วก็จบ ไม่มีการยิ้มหรือฉีกยิ้มเวลาขับใดๆทั้งสิ้น...
เห็นสาวกรถ EV มักชอบยกเรื่องความแรงขึ้นมาคุยตลอดเวลา แต่เอาเข้าจริงๆไม่เคยเห็นใครได้ใช้ประโยชน์จากตรงนั้นจริงๆเลย
จากที่ผมสังเกตมาตลอดเป็นปีๆเลยน่ะ บนทางด่วนโล่งๆ EV ผมเห็นขับกัน 80-100 กันทุกคัน เต็มที่ 110
พวกที่วิ่งเกิน 140 ยาวๆนี่คือรถสันดาปล้วนๆครับ บางคันเป็นรถสันดาปเก่ายุค 90's ด้วยน่ะ ยังวิ่งแซง EV ตลอดทาง
ผมขับรถสันดาป 150แรงม้าง้อยๆ ขับขึ้นทางด่วนจากรังสิตมาพระราม2 บางทีตลอดทางแซง Tesla ไป 3-4 คันเลย
ไม่เคยมี Tesla คันไหนวิ่งแซงผมบนทางด่วนเลยนะ แปลกดีน่ะครับ รถผมนี่สันดาป 150ม้าเดิมๆง้อยๆเลยน่ะ
มีบ้างคือตอนจ่ายค่าทางด่วน เห็น Tesla เร่งหนีผมออกไปเร็วอยู่ ผมก็นึกว่าจะเร่งหายไปเลย แต่ที่ไหนได้ สักพักไม่นาน
ผมกลับมาแซงคันเดิมเมื่อกี้เลย เร็วแรง แต่เหมือนเร็วได้ไม่นานยังไงยังงั้น นึกถึงนิทานกระต่ายกับเต่าเลยครับ....
นี่ผมเทียบกับ Tesla เลยน่ะ ถ้าเป็น EV เล็กๆอย่าง Ora good cat บนทางด่วนเจอสันดาปแรงม้าพอๆกันกดเต็มคือดมฝุ่นไปยาวๆครับ
สรุป ความเร็วความแรงที่สาวก EV มักเอามาเป็นคำโฆษณา เอาจริงๆไม่ได้ใช้ประโยชน์กันเท่าไหร่หรอกครับ ส่วนมากจะได้แค่คุยข่มกัน
บางท่านอาจจะบอก จุดเด่น EV อยู่ที่ในเมือง ตีนต้นเร็วจัด ไม่ใช่ทางด่วน วิ่งยาว โอเคครับ ในเมืองก็ลองละ
ต้นออกเร็วจริงแหละครับ แต่ในเมืองรถมันเยอะ กดเต็มเดี๋ยวจะทิ่มคันหน้า ทั้งคอสะพาน ทางเลี้ยว แยกเยอะ มันไปไหนไม่ได้อะครับ
ก็ได้แค่ตามๆกับเค้าไป จะ 90 แรง หรือ 1,000 แรงม้า จะเครื่องอะไรก็อยู่ด้วยกันนั่นตรงนั้นแหละครับ หนีไปไหนไม่ค่อยได้
บางทีทั้งหมดนี้แพ้จักรยานด้วยซ้ำ....สรุป อัตราเร่งอันจัดจ้าน พอวิ่งในเมืองก็กลับไม่ได้มีประโยชน์อะไรขนาดนั้นอีก...
สรุปของที่พล่ามมาเยอะทั้งหมด (เผลอพล่ามเยอะ อย่าถือสา) ก็คือผมว่าความแรงต้นจัดทางตรง
มันไม่ได้สำคัญอะไรกับการใช้รถบนท้องถนนทั่วไปขนาดนั้นครับ รถเราใช้กันยาวๆวิ่งกันยาวๆครับ
เราไม่ได้จะเอามาวิ่งควอเตอร์ไมล์ Drag race กันน่ะครับ ถ้าทำข้อ 1-4 ให้ดีได้ รับรอง EV ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าครับ
รถใช้งานที่ใช้ดีและขับสนุก ไม่ใช่ว่าแรงอย่างเดียวแล้วจะถือว่าดีน่ะครับ ทุกอย่างมันต้องกล่มกล่อม รวมถึงความสะดวกในการใช้งานด้วย
ตรงนี้สำคัญมาก
แล้วก็อีกอย่าง มันยังมีเรื่องที่ EV ไม่สามารถทดแทนเครื่องสันดาปได้ก็คือ เสียงการทำงานตามธรรมชาติของการสันดาป+ความสั่นสะเทือน+เสียงกลไกการทำงานต่างๆตั้งแต่เครื่องยนต์ไปจนถึงระบบส่งกำลังทั้ง+การตัดต่อกำลัง+กลิ่นไอเสีย ฯลฯ สิ่งพวกนี้เป็นสเน่ห์ของรถสันดาปที่ EV ไม่สามารถและไม่มีวันจะทำให้เหมือนได้ สิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกัน มันจะให้ความรู้สึกถึงความดิบเถื่อนของจักรกลแท้ๆ แล้วตรงจุดนี้เอง มันจะเป็นตัวบ่งบอกถึงคาแรคเตอร์ของรถคันนั้นๆได้ชัดเจนเลย ว่านี่คือรถบรรทุก หรือ รถยนต์นั่งบ้านๆ หรือ รถสมรรถนะสูง สสิ่งเหล่านี่แหละคือสเน่ห์ของรถสันดาปที่คนยังหลงไหลครับ....แต่เรื่องนี้เข้าใจว่าคนบางกลุ่มอาจจะไม่ชอบ ผมเลยไม่ได้พูดถึงในตอนแรก เข้าใจว่าอาจเป็นรสนิยมส่วนบุตตลของแต่ละกลุ่มคนครับ
-
เมื่อรถวิ่งได้ 800โล แบบไม่จำกัดนะ เอาแบบวิ่งได้จริง ไม่ใช่ในวเปค บอก 800วิ่งได้จริง 500โลไรแบบนี้ไม่เอา ที่ชาร์จต้องเพียงพอ อะไหล่ถูกกว่านี้
ตอนนี้ขับ สันดาป ยังไงก็สบายใจกว่า น่าจะมีอีก 5-10ปี อาจจะซื้อ
เหตุผลเดียวกันเลยครับ
คันเก่าผ่อนหมดหมดภาระ น่าจะได้ลองพอดี เหลือรถน้ำมันคันนี้เป็นรถสำรองอีกคัน เก่าหน่อยแต่ชัวร์
-
คันต่อไป น่าจะเป็นไฟฟ้าแน่นอน เพราะ... ไม่ได้ขับยาวๆ ที่บ้านสามารถติดที่ชาร์จได้อยู่แล้ว ที่ออฟฟิศมีหัวชาร์จให้หลายตำแหน่ง (และน่าจะติดเพิ่มได้อีกถ้ามีคนใช้ ev เยอะขึ้น) และ ผมใช้งานรถคันหนึ่งเกินสิบปี ไม่สนเรื่องราคาขายต่อ (สิบปี ถ้าแบตเสื่อมลง-range ลดลง สัก 20% ก็ยังไม่เดือดร้อน)
แต่คันปัจจุบัน (Hybrid - Toyota Prius) อายุเพิ่ง 9 ปี วิ่งไป 8 หมื่นโล ยังใช้ได้ดีสภาพเหมือนใหม่อยู่เลย ถ้าถึงเวลาต้องเปลี่ยนก็คงไปไฟฟ้าล้วนครับ
-
เมื่อ
1. ต้องชาร์จไฟจากใกล้หมดให้เต็มได้ภายในระยะเวลาเท่ากับที่รถสันดาปเติมน้ำมันจากขีด E ไปจน F (เต็มถัง)
2. มีสถานนีชาร์จมากพอๆกับปั๊มน้ำมัน
3. น้ำหนักรถทั้งคันต้องพอๆกับรถยนต์เครื่องสันดาปที่มีแรงม้าใกล้เคียงกัน ทุกวันนี้รถ EV มีน้ำหนักตัวเยอะมาก
มันมีผลในเรื่องการบังคับควบคุมรถ (Handling) แล้วก็ระยะเบรค รวมถึงโอกาสที่ยางและแม็กเสียหายจากการใช้งานก็จะมีสูงขึ้น
จากน้ำหนักตัวที่มากกว่าปกติ เทียบกับรถสันดาป เพราะรถ EV ที่เราจะใช้กัน เราใช้มันอยู่บนโลกเดียวกันกับรถสันดาป
นั้นหมายความว่ามันอยู่ภายใต้กฏฟิสิกส์กฎเดียวกัน ต่อให้รถ EV เซ็ตช่วงล่างมาเทพขนาดไหน แต่ถ้าน้ำหนักตัวมาก ก็จบครับ
ก็จะเจอปัญหาแบบข้างต้นที่มันทำให้สู้รถสันดาปไม่ได้ ต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ก่อน
4. ราคาอะไหล่ใดๆก็แล้วแต่ ที่มันมีแนวโน้มที่จะต้องเปลี่ยน ราคาต้องจับต้องได้ง่ายสำหรับคนฐานะปกติทั่วไป
5. อันนี้สำหรับคนชอบเหยียบบ่อยๆ (เพราะตัวผมเองเท้าหนัก) ก็คือเวลาขับเร็วๆเหยียบบ่อยๆ
ต้องกินไฟต่างจากตอนขับปกติไม่เกิน 2 เท่าตัวเหมือนรถสันดาป ก็คือปกติปกติรถสันดาปถ้าคันไหนขับปกติกิน 14-15โลลิตร
ถ้าเหยียบเร็วๆมันจะลงมาแถวๆ 8-10โลลิตร คือไม่ถึง 2เท่าตัว แต่สำหรับรถ EV มันไม่ใช่แบบนั้น
มันดูเหมือนกินไฟขึ้น 5-6เท่าตัวเลย ถ้าเทียบกับแบบขับปกติ เหยียบทีแบ็ตฯลดไวมากๆ เต็มๆอยู่
ถ้าเหยียบๆนี่แป๊บเดียวนี่เดี๋ยวได้ชาร์จใหม่
ถ้าทำตามนี้ได้ เดี๋ยวอาจจจะจัดสักคันครับ โดยเฉพาะข้อ 1-4 สำคัญสุดครับ
เพราะทุกวันนี้ EV ดีแต่แรงออกตัวทางตรง ซึ่งก็แรงจริงๆ ดีดออกแรงจนตกใจ อันนี้ต้องยอมรับ แต่ก็รู้สึกว่าก็เท่านั้นครับ
ผมเป็นคนชอบรถแรงๆเร็วๆน่ะ แต่ขับ EV กลับไม่สนุกเลย ขับแล้วก็แบบ เอ้อ แรงดีๆ อืมๆๆ แล้วก็จบ ไม่มีการยิ้มหรือฉีกยิ้มเวลาขับใดๆทั้งสิ้น...
เห็นสาวกรถ EV มักชอบยกเรื่องความแรงขึ้นมาคุยตลอดเวลา แต่เอาเข้าจริงๆไม่เคยเห็นใครได้ใช้ประโยชน์จากตรงนั้นจริงๆเลย
จากที่ผมสังเกตมาตลอดเป็นปีๆเลยน่ะ บนทางด่วนโล่งๆ EV ผมเห็นขับกัน 80-100 กันทุกคัน เต็มที่ 110
พวกที่วิ่งเกิน 140 ยาวๆนี่คือรถสันดาปล้วนๆครับ บางคันเป็นรถสันดาปเก่ายุค 90's ด้วยน่ะ ยังวิ่งแซง EV ตลอดทาง
ผมขับรถสันดาป 150แรงม้าง้อยๆ ขับขึ้นทางด่วนจากรังสิตมาพระราม2 บางทีตลอดทางแซง Tesla ไป 3-4 คันเลย
ไม่เคยมี Tesla คันไหนวิ่งแซงผมบนทางด่วนเลยนะ แปลกดีน่ะครับ รถผมนี่สันดาป 150ม้าเดิมๆง้อยๆเลยน่ะ
มีบ้างคือตอนจ่ายค่าทางด่วน เห็น Tesla เร่งหนีผมออกไปเร็วอยู่ ผมก็นึกว่าจะเร่งหายไปเลย แต่ที่ไหนได้ สักพักไม่นาน
ผมกลับมาแซงคันเดิมเมื่อกี้เลย เร็วแรง แต่เหมือนเร็วได้ไม่นานยังไงยังงั้น นึกถึงนิทานกระต่ายกับเต่าเลยครับ....
นี่ผมเทียบกับ Tesla เลยน่ะ ถ้าเป็น EV เล็กๆอย่าง Ora good cat บนทางด่วนเจอสันดาปแรงม้าพอๆกันกดเต็มคือดมฝุ่นไปยาวๆครับ
สรุป ความเร็วความแรงที่สาวก EV มักเอามาเป็นคำโฆษณา เอาจริงๆไม่ได้ใช้ประโยชน์กันเท่าไหร่หรอกครับ ส่วนมากจะได้แค่คุยข่มกัน
บางท่านอาจจะบอก จุดเด่น EV อยู่ที่ในเมือง ตีนต้นเร็วจัด ไม่ใช่ทางด่วน วิ่งยาว โอเคครับ ในเมืองก็ลองละ
ต้นออกเร็วจริงแหละครับ แต่ในเมืองรถมันเยอะ กดเต็มเดี๋ยวจะทิ่มคันหน้า ทั้งคอสะพาน ทางเลี้ยว แยกเยอะ มันไปไหนไม่ได้อะครับ
ก็ได้แค่ตามๆกับเค้าไป จะ 90 แรง หรือ 1,000 แรงม้า จะเครื่องอะไรก็อยู่ด้วยกันนั่นตรงนั้นแหละครับ หนีไปไหนไม่ค่อยได้
บางทีทั้งหมดนี้แพ้จักรยานด้วยซ้ำ....สรุป อัตราเร่งอันจัดจ้าน พอวิ่งในเมืองก็กลับไม่ได้มีประโยชน์อะไรขนาดนั้นอีก...
สรุปของที่พล่ามมาเยอะทั้งหมด (เผลอพล่ามเยอะ อย่าถือสา) ก็คือผมว่าความแรงต้นจัดทางตรง
มันไม่ได้สำคัญอะไรกับการใช้รถบนท้องถนนทั่วไปขนาดนั้นครับ รถเราใช้กันยาวๆวิ่งกันยาวๆครับ
เราไม่ได้จะเอามาวิ่งควอเตอร์ไมล์ Drag race กันน่ะครับ ถ้าทำข้อ 1-4 ให้ดีได้ รับรอง EV ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าครับ
รถใช้งานที่ใช้ดีและขับสนุก ไม่ใช่ว่าแรงอย่างเดียวแล้วจะถือว่าดีน่ะครับ ทุกอย่างมันต้องกล่มกล่อม รวมถึงความสะดวกในการใช้งานด้วย
ตรงนี้สำคัญมาก
แล้วก็อีกอย่าง มันยังมีเรื่องที่ EV ไม่สามารถทดแทนเครื่องสันดาปได้ก็คือ เสียงการทำงานตามธรรมชาติของการสันดาป+ความสั่นสะเทือน+เสียงกลไกการทำงานต่างๆตั้งแต่เครื่องยนต์ไปจนถึงระบบส่งกำลังทั้ง+การตัดต่อกำลัง+กลิ่นไอเสีย ฯลฯ สิ่งพวกนี้เป็นสเน่ห์ของรถสันดาปที่ EV ไม่สามารถและไม่มีวันจะทำให้เหมือนได้ สิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกัน มันจะให้ความรู้สึกถึงความดิบเถื่อนของจักรกลแท้ๆ แล้วตรงจุดนี้เอง มันจะเป็นตัวบ่งบอกถึงคาแรคเตอร์ของรถคันนั้นๆได้ชัดเจนเลย ว่านี่คือรถบรรทุก หรือ รถยนต์นั่งบ้านๆ หรือ รถสมรรถนะสูง สสิ่งเหล่านี่แหละคือสเน่ห์ของรถสันดาปที่คนยังหลงไหลครับ....แต่เรื่องนี้เข้าใจว่าคนบางกลุ่มอาจจะไม่ชอบ ผมเลยไม่ได้พูดถึงในตอนแรก เข้าใจว่าอาจเป็นรสนิยมส่วนบุตตลของแต่ละกลุ่มคนครับ
ผมมองตรงกันข้าม รถสันดาปมันเหมือนเครื่อง turboprop เสียงหึ่งๆดังยังกับโรงสีคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่มีเสน่ห์อะไรสักนิด ส่วนรถอีวี เสียงแหล่มๆมอเตอร์มันฟิลเครื่องเจ็ต rpm 9000 รอบนี่ได้อย่างชิลๆไม่ต้องมานั่งสับเกียร์กันวุ่นวาย
ส่วนเรื่องความเร็วนี้ เวลารับพวกสาวยูนิฟอร์มแดง หลังแลนผมเหยียบมิดไมล์ประจำทั้งเส้นโทลเวย์ เส้นกลับจากสุวรรณภูมิ สาวๆยูนิฟอร์มแดงเค้าชอบให้เหยียบแรงๆเร็วๆ รับแรงจี หลังติดเบาะกัน
ข้อดีอีกอย่างคือสาวๆชอบรถอีวีกันทั้งนั้น ขึ้นรถทีพวกนางตื่นเต้นมีคำถามโน้นนี้ตลอดทาง :P
-
ซื้อเมื่อไร
อาจจะคันต่อไปเลย หรือ ใช้phevหรือน้ำมันล้วนอีกคันก่อนค่อยซื้อfull ev ครับ ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นชาร์จครั้งเดียวแล้ววิ่งได้ 800 กิโลจริงๆหรือไม่ เช่นเดียวกันกับ คห. บนๆครับ แต่ไม่ได้หวังว่า 10 นาทีต้อง 0-80% จะ 20 หรือ 30 นาทีผมก็รอได้ครับ
เหตุผลอะไร
ถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยรตามเทคโนโลยีครับ ในเมื่อแนวโน้มส่วนใหญ่ทั่วโลกมีนโยบายแบบนี้ ณ ขณะนี้ หากเป็นแบบนี้ต่อไปรถน้ำมันสักวันก็อาจต้องหมดไป การจะซื้อ full ev มาใช้ก่อนเมื่อไร ก็คงเป็นเรื่องความพร้อมของแต่ละคนครับ
-
เมื่อ
1. ต้องชาร์จไฟจากใกล้หมดให้เต็มได้ภายในระยะเวลาเท่ากับที่รถสันดาปเติมน้ำมันจากขีด E ไปจน F (เต็มถัง)
2. มีสถานนีชาร์จมากพอๆกับปั๊มน้ำมัน
3. น้ำหนักรถทั้งคันต้องพอๆกับรถยนต์เครื่องสันดาปที่มีแรงม้าใกล้เคียงกัน ทุกวันนี้รถ EV มีน้ำหนักตัวเยอะมาก
มันมีผลในเรื่องการบังคับควบคุมรถ (Handling) แล้วก็ระยะเบรค รวมถึงโอกาสที่ยางและแม็กเสียหายจากการใช้งานก็จะมีสูงขึ้น
จากน้ำหนักตัวที่มากกว่าปกติ เทียบกับรถสันดาป เพราะรถ EV ที่เราจะใช้กัน เราใช้มันอยู่บนโลกเดียวกันกับรถสันดาป
นั้นหมายความว่ามันอยู่ภายใต้กฏฟิสิกส์กฎเดียวกัน ต่อให้รถ EV เซ็ตช่วงล่างมาเทพขนาดไหน แต่ถ้าน้ำหนักตัวมาก ก็จบครับ
ก็จะเจอปัญหาแบบข้างต้นที่มันทำให้สู้รถสันดาปไม่ได้ ต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ก่อน
4. ราคาอะไหล่ใดๆก็แล้วแต่ ที่มันมีแนวโน้มที่จะต้องเปลี่ยน ราคาต้องจับต้องได้ง่ายสำหรับคนฐานะปกติทั่วไป
5. อันนี้สำหรับคนชอบเหยียบบ่อยๆ (เพราะตัวผมเองเท้าหนัก) ก็คือเวลาขับเร็วๆเหยียบบ่อยๆ
ต้องกินไฟต่างจากตอนขับปกติไม่เกิน 2 เท่าตัวเหมือนรถสันดาป ก็คือปกติปกติรถสันดาปถ้าคันไหนขับปกติกิน 14-15โลลิตร
ถ้าเหยียบเร็วๆมันจะลงมาแถวๆ 8-10โลลิตร คือไม่ถึง 2เท่าตัว แต่สำหรับรถ EV มันไม่ใช่แบบนั้น
มันดูเหมือนกินไฟขึ้น 5-6เท่าตัวเลย ถ้าเทียบกับแบบขับปกติ เหยียบทีแบ็ตฯลดไวมากๆ เต็มๆอยู่
ถ้าเหยียบๆนี่แป๊บเดียวนี่เดี๋ยวได้ชาร์จใหม่
ถ้าทำตามนี้ได้ เดี๋ยวอาจจจะจัดสักคันครับ โดยเฉพาะข้อ 1-4 สำคัญสุดครับ
เพราะทุกวันนี้ EV ดีแต่แรงออกตัวทางตรง ซึ่งก็แรงจริงๆ ดีดออกแรงจนตกใจ อันนี้ต้องยอมรับ แต่ก็รู้สึกว่าก็เท่านั้นครับ
ผมเป็นคนชอบรถแรงๆเร็วๆน่ะ แต่ขับ EV กลับไม่สนุกเลย ขับแล้วก็แบบ เอ้อ แรงดีๆ อืมๆๆ แล้วก็จบ ไม่มีการยิ้มหรือฉีกยิ้มเวลาขับใดๆทั้งสิ้น...
เห็นสาวกรถ EV มักชอบยกเรื่องความแรงขึ้นมาคุยตลอดเวลา แต่เอาเข้าจริงๆไม่เคยเห็นใครได้ใช้ประโยชน์จากตรงนั้นจริงๆเลย
จากที่ผมสังเกตมาตลอดเป็นปีๆเลยน่ะ บนทางด่วนโล่งๆ EV ผมเห็นขับกัน 80-100 กันทุกคัน เต็มที่ 110
พวกที่วิ่งเกิน 140 ยาวๆนี่คือรถสันดาปล้วนๆครับ บางคันเป็นรถสันดาปเก่ายุค 90's ด้วยน่ะ ยังวิ่งแซง EV ตลอดทาง
ผมขับรถสันดาป 150แรงม้าง้อยๆ ขับขึ้นทางด่วนจากรังสิตมาพระราม2 บางทีตลอดทางแซง Tesla ไป 3-4 คันเลย
ไม่เคยมี Tesla คันไหนวิ่งแซงผมบนทางด่วนเลยนะ แปลกดีน่ะครับ รถผมนี่สันดาป 150ม้าเดิมๆง้อยๆเลยน่ะ
มีบ้างคือตอนจ่ายค่าทางด่วน เห็น Tesla เร่งหนีผมออกไปเร็วอยู่ ผมก็นึกว่าจะเร่งหายไปเลย แต่ที่ไหนได้ สักพักไม่นาน
ผมกลับมาแซงคันเดิมเมื่อกี้เลย เร็วแรง แต่เหมือนเร็วได้ไม่นานยังไงยังงั้น นึกถึงนิทานกระต่ายกับเต่าเลยครับ....
นี่ผมเทียบกับ Tesla เลยน่ะ ถ้าเป็น EV เล็กๆอย่าง Ora good cat บนทางด่วนเจอสันดาปแรงม้าพอๆกันกดเต็มคือดมฝุ่นไปยาวๆครับ
สรุป ความเร็วความแรงที่สาวก EV มักเอามาเป็นคำโฆษณา เอาจริงๆไม่ได้ใช้ประโยชน์กันเท่าไหร่หรอกครับ ส่วนมากจะได้แค่คุยข่มกัน
บางท่านอาจจะบอก จุดเด่น EV อยู่ที่ในเมือง ตีนต้นเร็วจัด ไม่ใช่ทางด่วน วิ่งยาว โอเคครับ ในเมืองก็ลองละ
ต้นออกเร็วจริงแหละครับ แต่ในเมืองรถมันเยอะ กดเต็มเดี๋ยวจะทิ่มคันหน้า ทั้งคอสะพาน ทางเลี้ยว แยกเยอะ มันไปไหนไม่ได้อะครับ
ก็ได้แค่ตามๆกับเค้าไป จะ 90 แรง หรือ 1,000 แรงม้า จะเครื่องอะไรก็อยู่ด้วยกันนั่นตรงนั้นแหละครับ หนีไปไหนไม่ค่อยได้
บางทีทั้งหมดนี้แพ้จักรยานด้วยซ้ำ....สรุป อัตราเร่งอันจัดจ้าน พอวิ่งในเมืองก็กลับไม่ได้มีประโยชน์อะไรขนาดนั้นอีก...
สรุปของที่พล่ามมาเยอะทั้งหมด (เผลอพล่ามเยอะ อย่าถือสา) ก็คือผมว่าความแรงต้นจัดทางตรง
มันไม่ได้สำคัญอะไรกับการใช้รถบนท้องถนนทั่วไปขนาดนั้นครับ รถเราใช้กันยาวๆวิ่งกันยาวๆครับ
เราไม่ได้จะเอามาวิ่งควอเตอร์ไมล์ Drag race กันน่ะครับ ถ้าทำข้อ 1-4 ให้ดีได้ รับรอง EV ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าครับ
รถใช้งานที่ใช้ดีและขับสนุก ไม่ใช่ว่าแรงอย่างเดียวแล้วจะถือว่าดีน่ะครับ ทุกอย่างมันต้องกล่มกล่อม รวมถึงความสะดวกในการใช้งานด้วย
ตรงนี้สำคัญมาก
แล้วก็อีกอย่าง มันยังมีเรื่องที่ EV ไม่สามารถทดแทนเครื่องสันดาปได้ก็คือ เสียงการทำงานตามธรรมชาติของการสันดาป+ความสั่นสะเทือน+เสียงกลไกการทำงานต่างๆตั้งแต่เครื่องยนต์ไปจนถึงระบบส่งกำลังทั้ง+การตัดต่อกำลัง+กลิ่นไอเสีย ฯลฯ สิ่งพวกนี้เป็นสเน่ห์ของรถสันดาปที่ EV ไม่สามารถและไม่มีวันจะทำให้เหมือนได้ สิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกัน มันจะให้ความรู้สึกถึงความดิบเถื่อนของจักรกลแท้ๆ แล้วตรงจุดนี้เอง มันจะเป็นตัวบ่งบอกถึงคาแรคเตอร์ของรถคันนั้นๆได้ชัดเจนเลย ว่านี่คือรถบรรทุก หรือ รถยนต์นั่งบ้านๆ หรือ รถสมรรถนะสูง สสิ่งเหล่านี่แหละคือสเน่ห์ของรถสันดาปที่คนยังหลงไหลครับ....แต่เรื่องนี้เข้าใจว่าคนบางกลุ่มอาจจะไม่ชอบ ผมเลยไม่ได้พูดถึงในตอนแรก เข้าใจว่าอาจเป็นรสนิยมส่วนบุตตลของแต่ละกลุ่มคนครับ
ผมมองตรงกันข้าม รถสันดาปมันเหมือนเครื่อง turboprop เสียงหึ่งๆดังยังกับโรงสีคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่มีเสน่ห์อะไรสักนิด ส่วนรถอีวี เสียงแหล่มๆมอเตอร์มันฟิลเครื่องเจ็ต rpm 9000 รอบนี่ได้อย่างชิลๆไม่ต้องมานั่งสับเกียร์กันวุ่นวาย
ส่วนเรื่องความเร็วนี้ เวลารับพวกสาวยูนิฟอร์มแดง หลังแลนผมเหยียบมิดไมล์ประจำทั้งเส้นโทลเวย์ เส้นกลับจากสุวรรณภูมิ สาวๆยูนิฟอร์มแดงเค้าชอบให้เหยียบแรงๆเร็วๆ รับแรงจี หลังติดเบาะกัน
ข้อดีอีกอย่างคือสาวๆชอบรถอีวีกันทั้งนั้น ขึ้นรถทีพวกนางตื่นเต้นมีคำถามโน้นนี้ตลอดทาง :P
ใช่ครับ ก็เลยบอกว่าบางคนก็คงไม่ได้ชอบเหมือนกัน ใครสะดวกแบบไหน ใช้แบบนั้นครับ
หืมมม ว่าแต่โชคกดีน่ะครับ ที่เจอสาวชอบรถแรงชอบรถเร็วๆให้เหยียบตลอดทาง น่าจะ 1 ใน ล้าน เลย
สาวที่ผมเจอมาทั้งหมดนี่ แค่รถร้อยกว่าแรงม้าเหยียบเต็มที่นี่ก็กรี๊ดลั่นแล้ว นี่ถ้าไปเจอรถ EV แรงๆเร่งทีนี่น่าจะต้องวูบแล้วปั๊มหัวใจกันเลย
ปล. ผมว่าผมเป็นคนขับเร็วแล้วน่ะ แต่มาเจอท่าน ผมต้องคิดใหม่ละ แสดงว่าผมนี่ยังหอยทากอยู่ ผมเหยียบเต็มที่แค่นาทีเดียวก็ต้องยกบ้างละ แต่ท่านเล่นเหยียบมิดไมล์ตลอดเส้นโทลเวย์ สุวรรณภูมิ แถมมีสาวนั่งด้วยนี่ คาราะวะ 1 จอกครับ
-
เมื่อ
1. ต้องชาร์จไฟจากใกล้หมดให้เต็มได้ภายในระยะเวลาเท่ากับที่รถสันดาปเติมน้ำมันจากขีด E ไปจน F (เต็มถัง)
2. มีสถานนีชาร์จมากพอๆกับปั๊มน้ำมัน
3. น้ำหนักรถทั้งคันต้องพอๆกับรถยนต์เครื่องสันดาปที่มีแรงม้าใกล้เคียงกัน ทุกวันนี้รถ EV มีน้ำหนักตัวเยอะมาก
มันมีผลในเรื่องการบังคับควบคุมรถ (Handling) แล้วก็ระยะเบรค รวมถึงโอกาสที่ยางและแม็กเสียหายจากการใช้งานก็จะมีสูงขึ้น
จากน้ำหนักตัวที่มากกว่าปกติ เทียบกับรถสันดาป เพราะรถ EV ที่เราจะใช้กัน เราใช้มันอยู่บนโลกเดียวกันกับรถสันดาป
นั้นหมายความว่ามันอยู่ภายใต้กฏฟิสิกส์กฎเดียวกัน ต่อให้รถ EV เซ็ตช่วงล่างมาเทพขนาดไหน แต่ถ้าน้ำหนักตัวมาก ก็จบครับ
ก็จะเจอปัญหาแบบข้างต้นที่มันทำให้สู้รถสันดาปไม่ได้ ต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ก่อน
4. ราคาอะไหล่ใดๆก็แล้วแต่ ที่มันมีแนวโน้มที่จะต้องเปลี่ยน ราคาต้องจับต้องได้ง่ายสำหรับคนฐานะปกติทั่วไป
5. อันนี้สำหรับคนชอบเหยียบบ่อยๆ (เพราะตัวผมเองเท้าหนัก) ก็คือเวลาขับเร็วๆเหยียบบ่อยๆ
ต้องกินไฟต่างจากตอนขับปกติไม่เกิน 2 เท่าตัวเหมือนรถสันดาป ก็คือปกติปกติรถสันดาปถ้าคันไหนขับปกติกิน 14-15โลลิตร
ถ้าเหยียบเร็วๆมันจะลงมาแถวๆ 8-10โลลิตร คือไม่ถึง 2เท่าตัว แต่สำหรับรถ EV มันไม่ใช่แบบนั้น
มันดูเหมือนกินไฟขึ้น 5-6เท่าตัวเลย ถ้าเทียบกับแบบขับปกติ เหยียบทีแบ็ตฯลดไวมากๆ เต็มๆอยู่
ถ้าเหยียบๆนี่แป๊บเดียวนี่เดี๋ยวได้ชาร์จใหม่
ถ้าทำตามนี้ได้ เดี๋ยวอาจจจะจัดสักคันครับ โดยเฉพาะข้อ 1-4 สำคัญสุดครับ
เพราะทุกวันนี้ EV ดีแต่แรงออกตัวทางตรง ซึ่งก็แรงจริงๆ ดีดออกแรงจนตกใจ อันนี้ต้องยอมรับ แต่ก็รู้สึกว่าก็เท่านั้นครับ
ผมเป็นคนชอบรถแรงๆเร็วๆน่ะ แต่ขับ EV กลับไม่สนุกเลย ขับแล้วก็แบบ เอ้อ แรงดีๆ อืมๆๆ แล้วก็จบ ไม่มีการยิ้มหรือฉีกยิ้มเวลาขับใดๆทั้งสิ้น...
เห็นสาวกรถ EV มักชอบยกเรื่องความแรงขึ้นมาคุยตลอดเวลา แต่เอาเข้าจริงๆไม่เคยเห็นใครได้ใช้ประโยชน์จากตรงนั้นจริงๆเลย
จากที่ผมสังเกตมาตลอดเป็นปีๆเลยน่ะ บนทางด่วนโล่งๆ EV ผมเห็นขับกัน 80-100 กันทุกคัน เต็มที่ 110
พวกที่วิ่งเกิน 140 ยาวๆนี่คือรถสันดาปล้วนๆครับ บางคันเป็นรถสันดาปเก่ายุค 90's ด้วยน่ะ ยังวิ่งแซง EV ตลอดทาง
ผมขับรถสันดาป 150แรงม้าง้อยๆ ขับขึ้นทางด่วนจากรังสิตมาพระราม2 บางทีตลอดทางแซง Tesla ไป 3-4 คันเลย
ไม่เคยมี Tesla คันไหนวิ่งแซงผมบนทางด่วนเลยนะ แปลกดีน่ะครับ รถผมนี่สันดาป 150ม้าเดิมๆง้อยๆเลยน่ะ
มีบ้างคือตอนจ่ายค่าทางด่วน เห็น Tesla เร่งหนีผมออกไปเร็วอยู่ ผมก็นึกว่าจะเร่งหายไปเลย แต่ที่ไหนได้ สักพักไม่นาน
ผมกลับมาแซงคันเดิมเมื่อกี้เลย เร็วแรง แต่เหมือนเร็วได้ไม่นานยังไงยังงั้น นึกถึงนิทานกระต่ายกับเต่าเลยครับ....
นี่ผมเทียบกับ Tesla เลยน่ะ ถ้าเป็น EV เล็กๆอย่าง Ora good cat บนทางด่วนเจอสันดาปแรงม้าพอๆกันกดเต็มคือดมฝุ่นไปยาวๆครับ
สรุป ความเร็วความแรงที่สาวก EV มักเอามาเป็นคำโฆษณา เอาจริงๆไม่ได้ใช้ประโยชน์กันเท่าไหร่หรอกครับ ส่วนมากจะได้แค่คุยข่มกัน
บางท่านอาจจะบอก จุดเด่น EV อยู่ที่ในเมือง ตีนต้นเร็วจัด ไม่ใช่ทางด่วน วิ่งยาว โอเคครับ ในเมืองก็ลองละ
ต้นออกเร็วจริงแหละครับ แต่ในเมืองรถมันเยอะ กดเต็มเดี๋ยวจะทิ่มคันหน้า ทั้งคอสะพาน ทางเลี้ยว แยกเยอะ มันไปไหนไม่ได้อะครับ
ก็ได้แค่ตามๆกับเค้าไป จะ 90 แรง หรือ 1,000 แรงม้า จะเครื่องอะไรก็อยู่ด้วยกันนั่นตรงนั้นแหละครับ หนีไปไหนไม่ค่อยได้
บางทีทั้งหมดนี้แพ้จักรยานด้วยซ้ำ....สรุป อัตราเร่งอันจัดจ้าน พอวิ่งในเมืองก็กลับไม่ได้มีประโยชน์อะไรขนาดนั้นอีก...
สรุปของที่พล่ามมาเยอะทั้งหมด (เผลอพล่ามเยอะ อย่าถือสา) ก็คือผมว่าความแรงต้นจัดทางตรง
มันไม่ได้สำคัญอะไรกับการใช้รถบนท้องถนนทั่วไปขนาดนั้นครับ รถเราใช้กันยาวๆวิ่งกันยาวๆครับ
เราไม่ได้จะเอามาวิ่งควอเตอร์ไมล์ Drag race กันน่ะครับ ถ้าทำข้อ 1-4 ให้ดีได้ รับรอง EV ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าครับ
รถใช้งานที่ใช้ดีและขับสนุก ไม่ใช่ว่าแรงอย่างเดียวแล้วจะถือว่าดีน่ะครับ ทุกอย่างมันต้องกล่มกล่อม รวมถึงความสะดวกในการใช้งานด้วย
ตรงนี้สำคัญมาก
แล้วก็อีกอย่าง มันยังมีเรื่องที่ EV ไม่สามารถทดแทนเครื่องสันดาปได้ก็คือ เสียงการทำงานตามธรรมชาติของการสันดาป+ความสั่นสะเทือน+เสียงกลไกการทำงานต่างๆตั้งแต่เครื่องยนต์ไปจนถึงระบบส่งกำลังทั้ง+การตัดต่อกำลัง+กลิ่นไอเสีย ฯลฯ สิ่งพวกนี้เป็นสเน่ห์ของรถสันดาปที่ EV ไม่สามารถและไม่มีวันจะทำให้เหมือนได้ สิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกัน มันจะให้ความรู้สึกถึงความดิบเถื่อนของจักรกลแท้ๆ แล้วตรงจุดนี้เอง มันจะเป็นตัวบ่งบอกถึงคาแรคเตอร์ของรถคันนั้นๆได้ชัดเจนเลย ว่านี่คือรถบรรทุก หรือ รถยนต์นั่งบ้านๆ หรือ รถสมรรถนะสูง สสิ่งเหล่านี่แหละคือสเน่ห์ของรถสันดาปที่คนยังหลงไหลครับ....แต่เรื่องนี้เข้าใจว่าคนบางกลุ่มอาจจะไม่ชอบ ผมเลยไม่ได้พูดถึงในตอนแรก เข้าใจว่าอาจเป็นรสนิยมส่วนบุตตลของแต่ละกลุ่มคนครับ
เห็นด้วยเลยครับ สำหรับผม EV ยังติดปัญหาเป็นรถใช้ขับทางไกลในสไตล์ผมไม่ได้
เคยลองเช่า Model 3 LR มาขับไปกลับพัทยาปรากฏว่าไฟไม่พอ เพราะขับแช่ความเร็วสูง เร่งแซงบ่อย ไฟหมดฮวบๆ กินไฟระดับ 190กว่าๆ Wh/km ซึ่งถ้าเป็นรถน้ำมันระดับใกล้กันขับคล้ายๆกัน คงได้ประมาณ 11 โล/ลิตร แต่สามารถไปกลับในถังเดียวได้สบายมากๆ แน่นอน ทีนี้ไฟไม่พอก็ต้องเสียเวลาหาที่ชาร์จและรอชาร์จไฟอีก (แต่ว่าใช้ supercharger ก็ถือว่าเร็วระดับไม่น่าเกลียด)
ทีนี้เลยเข้าใจว่าทำไมเวลาขับไกลๆ เหล่ารถไฟฟ้ามักขับเลนกลางกันเป็นส่วนใหญ่
-
เป็นคำถามที่ ดีนะ 555 ทำให้ผมมานั่งคิดถามตัวเองว่า ถ้าจะซื้อตอนนี้ เราจะซื้อด้วยเหตุผลอะไร ...
คิดไปคิดมามีเรื่องเดียวเลย .. ให้มันชาร์จเต็ม 100% ภายใน 10นาที แบบที่เราเติมน้ำมันนั่นแหละ
ไม่ต้องวิ่งไกลระดับ เกือบพันกิโลหรอก เพราะรถน้ำมันที่ใช้อยู่ อย่างมาสด้า 3 ถ้าเติมเต็มถังมันวิ่งไกลสุดก็ไม่เกิน 700โล(แบบเลี้ยงๆ) ถ้าในเมือง 300โลได้ก็เก่งแล้ว แต่ข้อได้เปรียบรถน้ำมันคือ ถ้าหมดก็แวะปั้ม ไม่เกิน 10 นาที (ถ้าไม่รอคิว) ก็ได้พลังงานกลับมาเต็ม 100% แล้ว
มีที่ชาร์จเยอะ แบบอยู่ในปั๊มทุกปั๊ม และทุกๆการชาร์จ 10นาทีไม่เกิน เอาเต็ม 100% นะ 80% แล้วต้องถอดไม่เอา
-
1.ชาร์จไฟ 5-10 นาที วิ่งต่อได้อีก 500 กม.+
2.น้ำมันราคาพุ่งจนรับไม่ไหว
-
เหตุผลซื้อเพราะน้ำมันแพงอย่างเดียวเลย
ตอนนี้มี EV 2 คันแล้ว
เล็งจะซื้อคันที่ 3 อยู่เอามาสำรองไว้
รถน้ำมันที่จอดสำรองไว้ พอได้คันที่ 3
ก็จะขายทิ้ง
หลังโควิดไม่ได้ไป ตจว ไกลๆแล้ว
แต่ถ้าจะมีทริป ก็จะเช่ารถตู้แบบมีคนขับดีกว่า
ส่วนใหญ่เน้นไป ตปท
-
ผมกะว่าอีก1-2ปีเปลี่ยนรถน่าจะไปรถไฟฟ้าแน่ๆครับ รอเผื่อจะย้ายบ้านก่อนได้ทำไฟระบบชาร์จทีเดียว มองการใช้งานตัวเองช่วง4-5ปีมานี้ ขับในเมืองเป็นหลัก ใช้รถประมาณปีละสามหมื่นโล ต่างจังหวัดขับรถไปอย่างมากก็หัวหิน เขาใหญ่ ไกลเกินนั้นบินไปตลอด
-
มีเงินพอซื้อก็ไปแล้วครับไม่ต้องวางท่าอะไรละ จ่ายล้านแปดแสนได้ความแรงระดับเฟอรารี่มาใช้โดยไม่ต้องกังวลค่าน้ำมันอีกต่างหาก 8)
-
ผมเองรอให้ชัวร์กับรถ/ศูนย์ครับ
ใน priceRange ที่โอเค พอได้กับ atto3 model3/y xc40/c40
Volvo ดูน่าใช้ แต่กลังความเปนรถนุโรป tesla ไม่ถูกจริตเท่าไร่ byd อยากดูservice สักพัก
หรือถ้า honda e:ns1 มาในราคาโอเคอาจเป็นตัวจบ
ปัจจัยที่จะมาเร่งได้คือ ราคาน้ำมัน ถ้าพุ่งขึ้นเรื่อยๆ มันก็ทำให้เปลี่ยนง่ายขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายต่อ km มันต่างกัน 4-6 เท่า
Range ขอวิ่งจริงสัก 400+- เพราะมีอีกคันวิ่งทางไกลอยู่แล้ว
อัตราเร่งไม่ซีเรียส คะนที่ใช้ปรกติก็ 10วิ+
-
อีก 1-2 ปีครับ รอขายอีแก่ที่บ้านก่อน เล็ง m3 highland ไว้น่าจะตัวนี้ เหตุผลก็คือถึงรอบเปลี่ยนรถพอดีและมีรถน้ำมันสำรองอีกคันอยู่แล้วครับ
-
ง่าย ๆ เลยครับคือยังไม่เจอรถไฟฟ้าดีไซน์ที่ถูกใจเลย ฮ่า ๆ ส่วนเรื่องระยะทาง การชาร์จต่าง ๆ เตรียมพร้อมหมดละครับ
-
1 เมื่อมีเงิน ผมซื้อรถ เงินสด ไม่ผ่อน ไม่ชอบเป็นหนี้
2 เมื่อรถที่ใช้อยู่ เก่า ไปต่อไม่ไหว จำเป็นต้องซื้อ ก็ซื้อ
3 เมื่อ ชาวบ้านเค้า ใช้ไฟฟ้ากัน เป็น ส่วนใหญ่ สถานีชาร์ท สถานที่ Service และซ่อมบำรุง น่าจะมากตามๆกันไป
ถึงเวลา ก็รู้เองแหละครับ นี่ก็ว่าจะ ไปลองเช่า มาขับก่อน ดูซิว่า มันจะดีอย่างที่เค้าว่ากันหรือไม่
-
ซื้อรถไฟฟ้าคันแรกเมื่อไหร่ ? และต้องเป็นเหตุผลอะไร : คงจะซื้อก็ต่อเมื่อรัฐออกกฎหมายบังคับใช้ ว่าห้ามใช้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปบนท้องถนนหละมั้งครับ
-
อยู่คอนโด ไม่ค่อยสะดวกนักกับเรื่องการชาร์จไฟ ผมว่าหลายๆท่านที่ใช้ EV ล้วนๆ เพราะอยู่บ้าน ติด wall box กัน
หรือ เมื่อใช้เวลาชาร์ตไฟน้อยลง หรืออาจจะไม่ต้องชาร์จเลย (เปลี่ยนแบตเอา)
หลักๆ คงประมาณนี้ เรื่องการดูแลรักษา หรือค่าเบี้ยประกัน หรือราคาขายต่อ ผมว่าเมื่อมันอยู่ในจุดที่ผมคาดหวังไว้ เรื่องพวกนั้นมันคงดีขึ้นตามไปเอง
-
ซื้อมาลองใช้ครับ ไม่เวิร์กก็ไม่ใช้ ถ้าเวิร์กก็ใช้ต่อ ถ้าต่อไปมีรุ่นที่จองไว้เข้ามาก็ซื้อมาลองใช้ครับ
-
แบ่งออกเป็นสองปัจจัย
ปัจจัยภายใน เป็นเรื่องความพร้อมของงบประมาณของตัวเองนะครับ รุ่นที่น่าสนใจก็ยังล้านปลาย
ปัจจัยภายนอก เป็นเรื่องความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับรถไฟฟ้า หลักๆ คือ จำนวนจุดชาร์จไฟครับ
ของผมก็ประมาณนี้ครับ
-
รูปแบบการใช้งานของผม ตอนนี้รถไฟฟ้า ตอบโจทย์ครับ
ถ้าเอาเหตุผล และตัวเลขเป็นหลัก
ขับวันละไม่เกิน 100 km, ไม่ค่อยออกเที่ยวต่างจังหวัด
ข้อดีของรถไฟฟ้าที่เอาชนะเครื่องสันดาปได้คือ
ตัวเลขอัตราเร่งตั้งแต่ออกตัว, การบริโภคพลังงาน และการปล่อยมลพิษขณะใช้งาน
แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสนใจพวกเรื่องพวกนี้ คนส่วนใหญ่บนท้องถนน เขาก็ขับกันปกติ
ผมว่าส่วนใหญ่จะเน้นไปทางประหยัด มากกว่าบ้าพลัง
แต่ถ้าเอาอารมณ์มาตัดสิน
ยังไงเครื่องยนต์สันดาป ก็ดีกว่าแน่นอนครับ
ผมมองว่ามันเหมือนนาฬิกา จุดประสงค์มันเหมือนกัน คือจาก A ไป B
แต่ระหว่างทาง ความรู้สึกไม่เหมือนกัน สำหรับคนชอบรถ
มันไม่มีศิลปะมากพอในความเป็น digital
ขาดความเป็นธรรมชาติ ความเป็นกลไก
สำหรับไทย ผมมองว่าเรายังต้องการ PHEV แบบ long range
เพราะการขนส่งมวลชนระยะไกลเรายังต้องใช้เวลาอีกนาน ให้ทัดเทียมต่างชาติ
การต้องมารอชาร์จ แบ่งแท่นชาร์จ ยังสร้างความกังวลใจให้ผม
ทุกวันนี้ผมก็ยังมีความสุขกับการใช้เครื่องสันดาป อัตราเร่งมันสู้ EV ไม่ได้แน่นอน
แต่มันให้ความรู้สึกว่ามันเป็นรถ มากกว่าอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ชิ้นนึง
-
1. ซื้อใช้แล้ว
2. อยากได้
-
กังวลเฉพาะราคาขายต่อเท่านั้นจริงๆ
ซึ่งเรื่องนี้มันไปผูกกับราคาแบตเตอรี่
คงรอจนกว่าเทคโนโลยีแบตเตอรี่ดีกว่านี้
แต่ถ้ารอไม่ไหวว่าจะหวด model 3 highland ไปก่อน
เท่าที่สังเกตในนี้ไม่ค่อยมีคนตอบแบบโลกสวย (รักษ์โลก) เลยแฮะ
-
เคยลองเช่ามาขับ 3 คัน MG EP, Tesla M3 RWD, MG4 เคยจอง CRV ehev RS ไว้ แล้วยกเลิกเพราะโดนป้ายยาให้ไปดู M Y RWD แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกไปจอง Innova zenix แทน สรุป เป็นข้อๆ ก็ประมาณว่า
1. เทคโนโลยีรถไฟฟ้า ยังไม่นิ่ง สามารถพัฒนาได้อีกในอีกไม่กี่ปี อารมณ์จะคล้ายมือถือที่ผ่านไป 5 ปี ต่อให้เป็นเรือธง ของค่ายก็ขายมือสองลำบาก เพราะเทคพัฒนาไว
2. ยังไม่เหมาะกับคนไม่มี Wall charge วันนึงผมเอาไปพัทยา ต้องชาร์จสามรอบ รอบแรก เติมให้ได้สัก 80% ขับไปถึงพัทยา เติมอีก เพื่อขับกลับ และพอกลับมาก็ต้องเติมอีก เพราะวันรุ่งขึ้นมีธุระหลายที่ แต่ละครั้งที่เติม 30-40 นาที (อันนี้สาเหตุหลักที่ล้มเลิกการจะซื้อรถไฟฟ้า)
3. ขับเร็วไม่ประหยัด ถ้าจะประหยัดต้องชาร์จไฟบ้าน OFF-Peak แบบติดตั้ง มิเตอร์ TOU ซึ่งเบิกบริษัทไม่ได้ ถ้าจะเบิกต้องไปชาร์จข้างนอก แทน
4. ด้วยอายุที่มากขึ้น จะใส่ใจเรื่อง ความสบายในการขับขี่ ช่วงล่างที่ไว้ใจได้ อัตราเร่งเร้าใจ จริงๆ ถ้าไปลองที่ศูนย์ต้องโดนตกแน่นอน เพราะขับระยะใกล้ๆ แต่พอเช่ามาขับเป็นอาทิตย์เลยพบว่า วันท้ายๆ ก็เฉยๆ แล้ว เดี๋ยวนี้ขับทางไกล ไม่เกิน 120 ไม่ได้แช่ 140-160 เหมือนสมัยก่อนแล้ว
5. จุดชาร์จอื่นๆ ยังน้อย อย่างปตท มี ตู้เดียว 2 หัว (หัว AC ไม่น่ามีคนชาร์จยกเว้นจะสายชิลรอ 2-3 ชม.) ซึ่งอนาคตไม่พอแน่นอน
Tesla สักพักน่าจะเก็บตังค์
ก็เป็นสาเหตุที่พับแผน ไป รอดู M Y ตัวใหม่ ที่จะออกอีก สองปี ค่อยว่ากัน หรือรอ ให้ เจ้าอื่นๆ ในตลาดไทย นิ่งๆ การบริการ การซ่อมบำรุง ราคาอะไหล่ ราคาขายต่อซากหลัง 10 ปี
-
ซื้อไปแล้วครับ BYD Dolphin Ext. หลักๆคือราคาเทียบกับสิ่งที่ได้ ยอมรับได้ก็จัดไป ใช้งานหลักๆในเมือง รถน้ำมันจอดยาวเลยทีนี้
เรื่องความแรง ต่อให้เป็น Tesla ไปลองมาก็ไม่รู้สึกว่าอยากเอามาซิ่งเลย ขับเรื่อยๆมันฟินกว่าเยอะ คันเดียวที่อยากซิ่งคือ MG4 แต่ราคาแรงไปนิด (ก่อนจะลด 1 แสน) แถมซอฟต์แวร์ MG ไม่โอเคกับผม
โดยรวมเหนื่อยน้อยกว่าขับรถน้ำมัน เพราะระบบช่วยขับขี่ (ที่ไม่ได้ perfect) ความนุ่มนวลของ powertrain ถ้ายอมรับเรื่อง handling ได้ ก็ปรับตัวได้ ใช้งานเหมาะสมตามสภาพรถ ตามราคา ตอนนี้ก็ Happy ครับ
เอาจริงๆ เงื่อนไขแต่ละคนเยอะแยะ สุดท้ายผมว่ามันจบที่ราคา กับสิ่งที่อยากได้มากกว่า ว่ารับได้ที่จะเอามาลองซักคันมั้ย เพราะมันเหมือนกับซื้อ iPhone ยุคแรกๆ ประมาณ iPhone 2, 3, 4 ที่เป็นของเล่นราคาแพงมาก
-
ผมอาจจะเป็นคนสุดท้ายของเวป
1.ผมใช้รถน้อยมาก...ถ้าไม่ได้ไปเที่ยวไหน สัปดาห์ละหน mz2ล่าสุดคือ 6เดือน 4000กว่าโล วันๆขี่แต่จักรยาน ทำงานที่บ้าน
2.ผมใช้รถเที่ยวแบบวิ่งยาว เติมน้ำมันทีไปได้ 800-1000โล(mz2ดีเซล) ถ้ารอชาร์ทรู้สึกเสียเวลา ถ้าจะใช้ไฟฟ้าต้องรอการชาร์ทที่เร็วและได้ระยะทางที่น่าพอใจกว่านี้ รวมถึงจุดชาร์ทที่ไม่ต้องแย่งกันดุเดือดอย่างช่วงเทศกาล อย่างน้อยๆต้องพอๆกับ หัวจ่ายรถน้ำมันได้แล้ว(เพราะชาร์ทใช้เวลามากกว่า)
3.ผมไม่ได้เสพความเร็ว แรง เสียง อะไรเลยจากการขับรถ แค่พาไปจุด A-B แบบปลอดภัยก็จบ
4.ในที่ห่างไกล น้ำมันยังหาปั้มชาวบ้านได้หรือพกถังน้ำมันสำรองไปเพิ่มก็ได้ แต่ถ้ากลางดอยคงหา fast charge ลำบาก ก็รอชาร์ทฉุกเฉินกันไป แต่เคยเห็น goodcat ขอไฟจนท.เขาใหญ่ชาร์ทฉุกเฉินอยู่นะ
5.รถที่ใช้มันก็ประหยัดอยู่แล้ว ยิ่งใช้รถน้อยมากด้วยยิ่งรู้สึกว่า จะไปเสียเงินซื้อรถใหม่ทำไม บางคนชอบบอกว่ารถไฟฟ้ารักโลก แต่คนรักโลกจริงๆจะใช้เท่าที่จำเป็นและไม่เพิ่มการผลิตโดยไม่จำเป็นครับ
6.ยังไม่มั่นใจอนาคต เพราะรถไฟฟ้ารุ่นแรกๆ อายุยัง 4-5ปีอยู่เลย สัก 8-9ปี ปัญหา+การแก้ปัญหาน่าจะเริ่มมีข้อมูลมาให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น
7.รีสอร์ท ที่พักกลางทาง หรือที่พักในเขตห่างไกล ยังไม่มี wall box สำหรับคนชอบเดินทางไปที่ประหลาดๆ(ขนาดในตัวจังหวัด หลายๆที่ก็ไม่มี) จะชาร์ทตอนกลางคืนก็ยากอยู่ ต้องรอแพร่หลายกว่านี้ และทางรีสอร์ทจะลงทุนให้ไหม คิดค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ยังหาเรทมาให้ตัดสินใจไม่ได้
สรุป ยังหาเหตุผลซื้อรถไฟฟ้าในวันนี้ยังไม่ได้เลยครับ
-
รอรถยนต์ไฟฟ้าที่ price range เดียวกับ neta v คือรู้สึกไม่เสียดาย ถ้าขายต่อไม่ได้ ไม่มีอะไหล่ หรือพัง หลังจาก8-10ปี
ประกอบกับใช้รถน้อย จุดที่จะคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายต่อระยะทาง+ค่าบำรุงรักษามันยิ่งนาน
ถ้าจะซื้อรถยนต์ที่แตะ 1 ล้านบาท ยังเชื่อใจ hybrid ค่ายญี่ปุ่นมากกว่า
-
8) 8) 8)......ยังใช้ รถ ICE ไปก่อน รอให้รถ EV วิ่งได้ 1,000 km/charged เมื่อไหร่ ค่อยตัดสินใจอีกทีครับ เพราะไม่ใช่เรื่องด่วน :-X
-
เมื่อ รถ Taxi บนถนนเป็น EV ซัก 30% ครับ :P
หรือ
เมื่อ น้ำมันแก๊สโซฮอล ราคาเกินกว่า 50 บาท/ลิตร
-
อยากใช้เหมือนกัน แต่ติดปัญหาเรื่องที่ชาร์จ และยังมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย ขอดูไปซักระยะ ค่อยตัดสินใจอีกทีครับ
-
เมื่อค่าน้ำมันเกินลิตรละ 50 แบบไม่มีทางลงแน่นอน
เพราะผมใช้รถเดือนละ 1,000 กิโลเอง
ลิตรละ 50 บาท ผมว่าไม่นานเกินรอครับ คอนเฟิร์ม เพียงแต่ว่า ปตท กับ กระทรวงการคลัง จะอุ้มได้แค่ไหน ซึ่งผมเดาว่าอุ้มได้แค่ดีเซล เพราะส่งผลต่อการขนส่งประเทศมหาศาล
-
เมื่อตอนนี้แหละคับ ค่าน้ำมันแพงเกินละ
ที่จริงถ้า Atto3 มีรุ่น 7 ที่นั่งผมก็คงซื้อไปละ 400-500 โลสำหรับการใช้งานของผม ชาร์จวีคละครั้ง ผมไม่ได้ติดปัญหาอะไร
ว่าไป ผมก็กะติด Solarcell ongrid ซัก 5kw ไว้ใช้ในบ้านด้วย ชาร์จรถตอนกลางวันที่ไม่ได้ออกไปไหนด้วย ก็น่าจะประหยัดได้เยอะอยู่
-
วิ่งปีล่ะห้าหมื่นโลค่อยซื้อเพราะแบตมันเสื่อมแน่ๆ ตามอายุ
-
ขนาดผมขับรถน้ำมัน ยังไม่ค่อยจะประหยัด(ระยะทาง)เลย
อาทิตย์ที่แล้วลองทำชาเลนจ์กับตัวเองเล่นๆดู ขับ cx30 ทางไกลได้ 16โลลิตร คือแบบหงุดหงิดมาก ปกติขับตามใจเท้าโดยไม่ให้โดนใบสั่งก็จะอยู่แถวๆ 11-12โลลิตร
เรื่องค่าพลังงานยังไม่เดือดร้อน แต่ถ้าขับตามใจเท้าแล้วต้องมาหาที่เติมไฟแบบวางแผนไม่ได้จะหงุดหงิดแค่ไหน
สำหรับผม ไว้รอรถที่ชาร์จเร็วแบบ 10 นาทีเกือบเต็มในราคาที่จับต้องได้ และมีที่ให้ชาร์จเยอะๆแบบปั๊มน้ำมันก่อนครับ ขับให้สนุก ไฟหมดตรงไหนก็แวะเติม ฟินสุดละ
-
ราคาเท่ากับ หรือน้อยกว่ารถน้ำมัน ที่ยี่ห้อเดียวกัน และรุ่นใกล้เคียงกัน
เช่น HRV EV ราคาถูกกว่า e:HEV
เรื่องระยะผมไม่ซีเรียส เพราะไม่ค่อยไปเที่ยวไหนไกล แล้วก็ชาร์จที่บ้านอยู่แล้ว
300 กม. ไปกลับ พัทยาได้สบายๆ
-
ถ้าไม่นับรถยนต์
ผมใช้รถไฟฟ้า (มอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า) มานี่เกิน 5 ปีแล้วนะครับ
ทำไมต้องใช้รถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า ทั้งๆ ที่ ก็มีรถมอเตอร์ไซต์น้ำมันอย่าง Wave อยู่คันนึง
เพราะว่า
อย่างแรก ชาร์จไฟทีนึง วิ่งได้ 40-50km
อย่างที่ 2 มันเงียบ (รถยนต์จะมีเสียงครางๆ เหมือนยานอวกาศนิดๆ ไม่ถึงขั้นเงียบกริ๊บ)
อย่างที่ 3 ไม่ต้องดูแลรักษาใดๆ (รถยนต์ก็ไกล้เคียงกัน ดูแลแค่สลับยางถ่วงล้อ)
สุดท้าย ถ้าเป็นรถยนต์ น้ำมันที่เติม ต่อ km ต่อ บาท มันต่างกันมาก ยังไม่รวมค่าบำรุงรักษาตามรอบเช็คระยะอีกนะ เคยคำนวณดูแล้ว รถไฟฟ้า มันคุ้มกว่าจริงๆ
-
ราคาน้ำมันเป็ขหลักเลยครับสำหรับผม ตอนขึ้นไป 38 บาทกว่าๆ เริ่มไม่ไหวเพราะวิ่งต่อวันเยอะ ตอนนั้น BYD ยังไม่มา เลยได้ออก EP+ แทน ปัจจุบันก็ใช้งานได้ปกติ ไม่ดับ ชาร์จบ้านเป็นหลัก ข้างนอกมีบ้าง เสาร์-อาทิตย์ขับใน กทม นี่รถน้ำมันจอดยาวๆ แรกๆกังวลราคาขายเหมือนกัน แต่ขอลดค่าใช้จ่ายไปก่อน ส่วนถ้าไปไหนไกลๆจะเอารถน้ำมันอีกคันไปครับ
-
ให้คนอื่นลองๆใช้ไปก่อน[ขอบคุณคนที่เป็นแนวหน้าให้ตอนนี้] ยังคิดว่าเทคโนโลยีมันน่าจะไปได้มากกว่านี้ ตอนนี้เหมือนพึ่งเริ่มiphoneรุ่นแรกๆอยู่
หรือถ้าผมมีเงินเหลือกินเหลือใช้พอตัว ก็ซื้อพรุ่งนี้เลยก็ได้
-
มีจุดชาร์จเยอะและเพียงพอ ตามปั้มกับห้าง กับจำนวนรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกปี
เทคโนโลยีชาร์จรวดเร็วขึ้น ต่อ 800กิโล
การซ่อมบำรุง มีอะไหล่รองรับ
ด้วยราคาทำจุดชาร์จที่บ้าน ราคายังแรงอยู่ ครับ
-
1. สถานีชาร์จมากพอที่จะไม่ต้องตบตีแย่งชิงกันชาร์จ
2. ความเร็วใจการชาร์จเร็วหรือใกล้เคียงกับการเติมน้ำมัน
3. รอญี่ปุ่นทำ (ยังไม่ค่อยเชื่อใจกับแบรนด์แผ่นดินใหญ่)
4. ราคา สมเหตุ สมผล กว่านี้ ส่วนตัวคิดว่า ยังแพงไป
-
ใช้รถยนต์ไฟฟ้ามาครบ 1 เดือน ยอมรับว่าไปเที่ยวไกลๆเสียเวลาชาร์จพอสมควร ขอแค่เทคโนโลยีชาร์จไวแบบ 20 นาทีเต็มก็พอแล้วครับ แบตใหญ่ผมไม่ค่อยมายด์เท่าไหร่
-
เท่าที่สังเกต มาหลายปี
1. ราคา น้ำมัน เป็นเหตุผลแรกเลยครับ (ยุค LPG, ยุค CNG)
2. ราคารถไฟฟ้า + ประสิทธิภาพ (ตอนนี้ราคาดีมาก และ วิ่งได้ไกลขึ้น)
ผมเองรอ กระบะไฟฟ้า เพื่อธุรกิจ เท่านั้นเอง ไม่รู้สึก แอนตี้ อะไรมาก ...ถ้าลดต้นทุนค่า น้ำมันลง กำไร ก็เยอะขึ้น..ส่วนอายุการใช้งาน แบตเตอรี่ ผมยังเชื่อว่า 8ปี ++ น่าจะยังไหวครับ
-
ผมรอเทคโนโลยีอย่างเดียวเลยครับ
กล่าวคือ การพัฒนาต่อปีค่อนข้างช้า ดูทีท่าซัก2-3ปีแล้วไม่มีอะไรประกาศใหม่แบบก้าวกระโดด
จังหวะนั้นแหละผมจะซื้อรถ EV
-
หลายๆอย่างรถ EV ดีกว่าน้ำมัน
ติดอย่างเดียว และ เป็น ปัญหาใหญ่ ในราคาเท่ากับรถน้ำมัน
มันขับไกลๆ ระดับ 500 Km + ไม่ได้ ต้องหาที่ ชาร์ท ซึ่งก็ไม่เพียงพอ
ผมเดินทางที่ 600 + ขึ้นดอย เที่ยวไปเรื่อย รถ EV มันทดแทนตรงนี้ไม่ได้
-
ยังไม่เห็นมีคนตอบเรื่องจะซื้อเพราะต้องการลดมลภาวะให้โลกเลยแฮะ ทั้งๆที่รถไฟฟ้าถูกพัฒนามาเพราะเรื่องนี้เป็นสาเหตุต้นๆเลย
-
จากคนที่พึ่งตัดสินใจซื้อรถ Hybrid ทั้งๆที่ไปลองรถไฟฟ้ามาแล้วและชอบด้วย ซึ่งเหตุผลหลักๆที่ยังไม่ซื้อรถไฟฟ้า เพราะ ณ ตอนนี้ มันยังไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตประจำวันของผมจริงๆ ครับ
ถ้าคันต่อไปคิดจะซื้อรถไฟฟ้านั้น
1. เนื่องจากผมคอนโดนเป็นหลัก ไม่มีช่องจอดประจำ ดังนั้นอยากรอให้ EV Station มีมากกว่านี้สัก 50 - 70% ขี้เกียจเจอปัญหาแย่งกันชาร์จ (หรือเราเสพดราม่าเรื่องนี้เยอะไป 555)
2. ผมเดินทางไกลบ่อยๆ ส่วนตัวไม่ชอบจอดพักนานๆ นอกจากแวะกินข้าว รู้สึกว่ามันเสียเวลา เลยอยากจะรอให้ Technology การชาร์จ พัฒนาไปมากกว่านี้ แบบ 10 - 15 นาที วิ่งได้เพิ่ม 400 K.M./H ซึ่งมันจะใช้เวลาพอๆกับ เข้าห้องน้ำและซื้อของกินในปั๊ม
3. ขอรอดูความเสถียร ทนทานของรถไฟฟ้าแบรนด์ใหม่ๆสักพักก่อน
4. ส่วนตัวยังรับได้กับราคาค่าน้ำมันที่ต้องจ่าย ณ ตอนนี้ขับรถ Hybrid มันก็ประหยัดกว่าเดิม 50% แล้ว
และอีกข้อนึง ซึ่งผมไม่มั่นใจว่ามันจริงหรือเท็จแค่ไหน คือว่าตอนนั้นไปดู BYD Atto3 แล้วถาม Sale ว่ารถมันจอดขว้างได้มั้ย เพราะผมต้องจอดซ้อนคันที่คอนโดแทบทุก
วัน แล้วเซลล์บอกว่า ปลดได้ก็จริง แต่ไม่ควรทำบ่อย และไม่ควรให้รถถูกเข็น ผมเลยตัดไปครับ
-
ผมอาจจะเป็นคนสุดท้ายของเวป
1.ผมใช้รถน้อยมาก...ถ้าไม่ได้ไปเที่ยวไหน สัปดาห์ละหน mz2ล่าสุดคือ 6เดือน 4000กว่าโล วันๆขี่แต่จักรยาน ทำงานที่บ้าน
2.ผมใช้รถเที่ยวแบบวิ่งยาว เติมน้ำมันทีไปได้ 800-1000โล(mz2ดีเซล) ถ้ารอชาร์ทรู้สึกเสียเวลา ถ้าจะใช้ไฟฟ้าต้องรอการชาร์ทที่เร็วและได้ระยะทางที่น่าพอใจกว่านี้ รวมถึงจุดชาร์ทที่ไม่ต้องแย่งกันดุเดือดอย่างช่วงเทศกาล อย่างน้อยๆต้องพอๆกับ หัวจ่ายรถน้ำมันได้แล้ว(เพราะชาร์ทใช้เวลามากกว่า)
3.ผมไม่ได้เสพความเร็ว แรง เสียง อะไรเลยจากการขับรถ แค่พาไปจุด A-B แบบปลอดภัยก็จบ
4.ในที่ห่างไกล น้ำมันยังหาปั้มชาวบ้านได้หรือพกถังน้ำมันสำรองไปเพิ่มก็ได้ แต่ถ้ากลางดอยคงหา fast charge ลำบาก ก็รอชาร์ทฉุกเฉินกันไป แต่เคยเห็น goodcat ขอไฟจนท.เขาใหญ่ชาร์ทฉุกเฉินอยู่นะ
5.รถที่ใช้มันก็ประหยัดอยู่แล้ว ยิ่งใช้รถน้อยมากด้วยยิ่งรู้สึกว่า จะไปเสียเงินซื้อรถใหม่ทำไม บางคนชอบบอกว่ารถไฟฟ้ารักโลก แต่คนรักโลกจริงๆจะใช้เท่าที่จำเป็นและไม่เพิ่มการผลิตโดยไม่จำเป็นครับ
6.ยังไม่มั่นใจอนาคต เพราะรถไฟฟ้ารุ่นแรกๆ อายุยัง 4-5ปีอยู่เลย สัก 8-9ปี ปัญหา+การแก้ปัญหาน่าจะเริ่มมีข้อมูลมาให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น
7.รีสอร์ท ที่พักกลางทาง หรือที่พักในเขตห่างไกล ยังไม่มี wall box สำหรับคนชอบเดินทางไปที่ประหลาดๆ(ขนาดในตัวจังหวัด หลายๆที่ก็ไม่มี) จะชาร์ทตอนกลางคืนก็ยากอยู่ ต้องรอแพร่หลายกว่านี้ และทางรีสอร์ทจะลงทุนให้ไหม คิดค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ยังหาเรทมาให้ตัดสินใจไม่ได้
สรุป ยังหาเหตุผลซื้อรถไฟฟ้าในวันนี้ยังไม่ได้เลยครับ
ผมชอบคำตอบข้อ 5 มากครับ และค่อนข้างเห็นด้วยกับทุกข้อที่พี่ตอบเลย
-
คันที่ขับอยู่ตอนนี้ 1.4 ล้าน
พึ่งส่งหมดไปเมื่อไม่กี่เดือน
ขอซึมซับความคุ้มค่าและอิสระทางการเงินสัก 10 ปีก่อนละกัน (ขี้เกียจผ่อนคันใหม่)
เอาไว้สภาพมันไม่ไหว ค่อยว่ากันอีกทีละกัน ตอนนี้ใช้รถน้อย 1 ปีน่าจะ 2 หมื่นกิโลเอง
ไฟฟ้าสำหรับผม ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่
-
ยังไม่เห็นมีคนตอบเรื่องจะซื้อเพราะต้องการลดมลภาวะให้โลกเลยแฮะ ทั้งๆที่รถไฟฟ้าถูกพัฒนามาเพราะเรื่องนี้เป็นสาเหตุต้นๆเลย
เรื่องนี้ ครึ่งๆครับ และในไทยเหตุผลนี้ใช้ไม่ได้แน่ๆ
ถ้าเป็นรถสาธารณะ รถเมล์ รถที่"จำเป็น"ต้องวิ่ง อันนี้ตอบเรื่องลดมลภาวะแน่นอน และผมสนับสนุนสุดตัวที่จะให้รถกลุ่มนี้เป็นไฟฟ้า
แต่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล โดยเฉพาะในไทย กลายเป็นการซื้อเพื่อลดค่าเชื้อเพลิงเพื่อเพิ่มการใช้งาน ไปซะอย่างนั้น
จากเดิม ใช้รถน้ำมัน น้ำมันแพง ก็อาจจะใช้เท่าที่จำเป็น แต่พอไฟฟ้า ค่าไฟถูก ก็วิ่งมากกว่าเดิม สุดท้ายมาคิดค่าคาร์บอนเครดิต เผลอๆมากกว่าเดิมไปซะงั้น(อย่าลือมว่าใช้มาก ก็ต้องเปลื่ยนเร็วขึ้น ผลิตมากขึ้น ใช้ทรัพยากรมากขึ้น)...ตัวอย่างอยู่ใกล้ตัวผมเลย พี่ชายผมพึ่งซื้อ MG4 มา แป๊ปๆวิ่งไปจะ 2หมื่นโลแล้ว ไม่กี่เดือนวิ่งมากกว่ารถผม 2ปี
และมันสร้างนิสัยใหม่ๆ เช่น เปิดแอร์ในรถแล้วจอดทิ้งไว้(ปกติเราๆจะดับเครื่องจะเปิดกระจกหรือออกมาข้างนอกกัน)แบบนี้ก็ใช้พลังงานมากขึ้นอย่างที่เราคิดไม่ถึงเหมือนกัน
แต่ก็มีคนส่วนนึงที่"จำเป็น"ต้องใช้เยอะอยู่แล้ว อันนี้ก็ใช้ไฟฟ้าไปก็ดีครับ ก็เหมารวมไม่ได้เหมือนกัน
-
ยังไม่เห็นมีคนตอบเรื่องจะซื้อเพราะต้องการลดมลภาวะให้โลกเลยแฮะ ทั้งๆที่รถไฟฟ้าถูกพัฒนามาเพราะเรื่องนี้เป็นสาเหตุต้นๆเลย
เรื่องนี้ ครึ่งๆครับ และในไทยเหตุผลนี้ใช้ไม่ได้แน่ๆ
ถ้าเป็นรถสาธารณะ รถเมล์ รถที่"จำเป็น"ต้องวิ่ง อันนี้ตอบเรื่องลดมลภาวะแน่นอน และผมสนับสนุนสุดตัวที่จะให้รถกลุ่มนี้เป็นไฟฟ้า
แต่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล โดยเฉพาะในไทย กลายเป็นการซื้อเพื่อลดค่าเชื้อเพลิงเพื่อเพิ่มการใช้งาน ไปซะอย่างนั้น
จากเดิม ใช้รถน้ำมัน น้ำมันแพง ก็อาจจะใช้เท่าที่จำเป็น แต่พอไฟฟ้า ค่าไฟถูก ก็วิ่งมากกว่าเดิม สุดท้ายมาคิดค่าคาร์บอนเครดิต เผลอๆมากกว่าเดิมไปซะงั้น(อย่าลือมว่าใช้มาก ก็ต้องเปลื่ยนเร็วขึ้น ผลิตมากขึ้น ใช้ทรัพยากรมากขึ้น)...ตัวอย่างอยู่ใกล้ตัวผมเลย พี่ชายผมพึ่งซื้อ MG4 มา แป๊ปๆวิ่งไปจะ 2หมื่นโลแล้ว ไม่กี่เดือนวิ่งมากกว่ารถผม 2ปี
และมันสร้างนิสัยใหม่ๆ เช่น เปิดแอร์ในรถแล้วจอดทิ้งไว้(ปกติเราๆจะดับเครื่องจะเปิดกระจกหรือออกมาข้างนอกกัน)แบบนี้ก็ใช้พลังงานมากขึ้นอย่างที่เราคิดไม่ถึงเหมือนกัน
แต่ก็มีคนส่วนนึงที่"จำเป็น"ต้องใช้เยอะอยู่แล้ว อันนี้ก็ใช้ไฟฟ้าไปก็ดีครับ ก็เหมารวมไม่ได้เหมือนกัน
อาจดูเห็นแก่ตัวหน่อย แต่เรื่อง ลดมลภาวะให้โลก เป็นเหตุผลท้ายๆสำหรับผมเลยครับ
อาจเพราะมันวัดผลช้าแล้วตัวเราเองไม่ได้รู้สึกถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นครับ แต่ถ้ามองเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายมันวันผลง่ายครับ
นึกถึงเรื่องหลอดครับ หลอดพลาสติก 1 เส้น อยู่ยาวๆได้ทั้งวัน กับช่วงยุคก่อนโควิทหลอดกระดาษช่วงแรก ที่ใช้ 10 นาที ก็เปื่อย
ถ้าไปสายรักษ์โลกหลอดกระดาษ กลายเป็นเราต้องแบบรับภาระเยอะขึ้นอีกครั้บ
ผมเองเห็นด้วยกับเรื่อง GlobaBoiling นะครับ แต่ก็มองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐควรจะสนับสนุน อาจทางตรงหรือทางอ้อม มากกว่าผลักภาระให้ประชาชนครับ
และสำหรับผมมันไม่ได้มีน้ำหนักขนาดที่ทำให้ผมยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อ รักษ์โลกครับ...
แต่ถ้าบอกว่า รถไฟฟ้าจอดรถติดแอร์ได้โดยไม่ได้สร้างมลพิษจากท่อไอเสีย
หรือ ค่าเชื้อเพลิงไฟฟ้า ถูกกว่าน้ำมันหลายเท่า อันนี้เป็นเหตุผลหลักๆ เลยครับ
ซึ่ง ลดมลภาวะให้โลก ก็เป็นผลพลอยได้อีกทีครับ
-
ยังไม่เห็นมีคนตอบเรื่องจะซื้อเพราะต้องการลดมลภาวะให้โลกเลยแฮะ ทั้งๆที่รถไฟฟ้าถูกพัฒนามาเพราะเรื่องนี้เป็นสาเหตุต้นๆเลย
ผมคิดว่า ขับรถติด ๆ ในเมือง ช่วยได้เยอะดังคุณบอกเลยครับ
แต่ถ้าขับต่างจังหวัด ไม่แน่
หลายคนอาจทราบ เมืองไทย Grid ไม่คลีนครับ ต่างกับประเทศพัฒนาแล้ว
เราใช้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ 60% ของไฟฟ้าทั้งหมด รวมนำเข้าด้วย
โรงไฟฟ้าดังกล่าว มีทั้งประสิทธิภาพสูงกว่า ICE และ ด้อยกว่า ICE* ครับ
* ประสิทธิภาพรถเครื่องสันดาปภายใน ประมาณ 50% ครับ ถ้ารถรุ่นใหม่ยิ่งประสิทธิภาพดี