รถไฮบริดที่หมดแรงเพราะแบตหมด อาศัยแค่แรงบิดจากเครื่องอย่างเดียวไม่พอ แต่ e-power มันใช้มอเตอร์ไฟฟ้าตลอดเลยไม่มีปัญหาเรื่องแรงบิด
แต่ตอนนี้อยากรู้อัตรากินน้ำมันเวลาขับเร็วๆทางไกล (ขับในเมืองคงประหยัดแต่ขับนอกเมืองนี่ไม่แน่ใจ)
ปล. ถึงเป็นไฮบริดแต่ลงทุน BOI ภาษีถูกลงครึ่งนึง ลุ้นว่าปล่อย CO2 เท่าไหร่ ถ้าน้อยกว่า 100 g. ก็จะเหลือ 5% ราคาน่าจะยังโอเค
มันใช้ปั่นไฟ รอบเท่าเดิมไม่น่ากินเพิ่มนี่ครับ
คงไม่ทำมาแบบปั่นใช้เลย ปั่นใช้เลย คงต้องทำแบบปั่นเก็บเผื่อ และเก็บชดเชยไปเรื่อยๆ
มันอยู่ที่ว่า เวลานั้นมอเตอร์ดึงไฟไปใช้เท่าไหร่ ยังไงเครื่องยนต์ก็ต้องปั่นไฟมาเติมเท่านั้นล่ะฮะ
เปรียบเทียบง่าย ๆ ว่า
>> ไฟฟ้าก็เหมือนกับน้ำ
>> แบตเตอรี่ก็เหมือนถังเก็บน้ำ ลูกใหญ่ก็เก็บได้เยอะ ลูกเล็กก็เก็บได้น้อย
เวลาขับรถ เร่งแรง ออกตัวแรง ขับเร็ว ๆ มอเตอร์ก็ต้องกินกระแสไฟเยอะ
เปรียบได้กับการจ้วงน้ำออกจากถังไปใช้เยอะ ๆ
ถ้า จ้วงเอา จ้วงเอา แป๊บเดียว น้ำในถังก็ลดฮวบ
เราก็ต้องเปิดก๊อกเติมน้ำใส่ถัง ซึ่งก็คือเครื่องยนต์ก็ต้องปั่นไฟมาเติม
ถ้าเราจ้วงน้ำไปใช้แบบ จ้วงเอา จ้วงเอา เราก็ต้องเปิดก๊อกแรง ๆ เติมน้ำให้ทันกับที่จ้วงออก
ขืนเปิดก๊อกให้น้ำไหลเข้าแบบเอื่อย ๆ ก็ไม่ทัน น้ำแห้งถังก่อน
ก็เปรียบได้กับเครื่องยนต์ต้องปั่นไฟปริมาณมาก ๆ เข้าใส่แบตในเวลารวดเร็ว
มันก็ย่อมดึงเอาน้ำมันมาใช้มากกว่าเครื่องเดินเบา
ที่คิดว่า เครื่องยนต์ปั่นไฟแบบเดินเบารอบน้อย ๆ ชิลด์ ๆ ไปเรื่อย ๆ จิบน้ำมันแผ่ว ๆ
อาจจะไม่ใช่ เพราะยังไงชุด Generator ที่ติดกับตัวเครื่องมันก็คือ load เป็นภาระเครื่องยนต์
มันไม่ปล่อยให้เครื่องยนต์เดินตัวปลิว สบาย ๆ แน่ ๆ ฮะ
ตอนเด็ก ๆ พี่ ๆ น่าจะเคยเล่นรถบังคับ รถใส่ถ่านกันบ้างแล้ว
คงไม่ได้ม้าก้านกล้วยกันอย่างเดียวใช่มั้ยฮะ ^^
เวลาเล่น ๆ ไป ถ้าถ่านอ่อนลงเรื่อย ๆ เรียวแรงรถบังคับมันก็เหี่ยวลง
รถจริงก็คงไม่ต่าง
ถ้าไฟแบตอ่อน เครื่องปั่นไฟใส่ไม่ทัน มันก็คงจะเร่งไม่ค่อยออก
แต่ถ้าจะปั่นไฟให้ทัน เครื่องก็ต้องมีโหลดมากขึ้น มันก็ซดน้ำมันตามไงฮะ
อันนี้ไม่ได้เทียบกับเอาเครื่องไปขับล้อโดยตรงนะ
แค่อยากจะบอกว่า ถึงจะใช้มอเตอร์เป็นตัวขับล้อรับภาระโหลดแทนเครื่อง
แต่ถึงยังไงโหลดนั้นก็ตกมาถึงเครื่องยนต์น้ำมันอยู่ดีฮะ ไม่ได้หนีไปไหน