มองว่า รัฐบาลอาจจะมองถึง มูลค่าการลงทุนมากกว่า หมายความว่า การลดภาษี 20% เป็นการกดดันฝั่งที่เป็นเจ้าของตลาดอยู่แล้ว(ค่ายรถญี่ปุ่น)ต้องขยับ หรือ ขยายการลงทุน ไม่ไงอาจจะตกขบวน เป็นการกดดันทางอ้อม เพื่อให้การประกอบรถยนต์เจ้าที่มีอยู่ในประเทศไทยได้ผลิตรถในระยะยาว
อีกด้านหนึ่งคือ เล่นผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย การสร้างความต้องการในตลาดทำให้มีโอกาสเติมโตของค่ายรถต่างๆนั้นเข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพราะว่า ลด 20% นั้น จำเป็นต้องซื้อรถที่มีเงื่อนไขเช่น บริษัทรถยนต์ต้องมีฐานการผลิตในไทย etc. แล้วแต่จะกำหนด ฉะนั้น ถ้ามองในมุมนี้ก็ไม่ผิด
รถยนต์ไฟฟ้า ในปีนี้จนถึงเดือน กย. เท่ากับ 3,547 คัน พอๆกะ ยอดขาด Toyota Yaris เดือนหนึ่งเอง การเว้นภาษีในจุดนี้ ทางรัฐอาจจะคำนวนมาแล้วว่า เก็บภาษีไม่ได้มาก แต่มองด้านการลงทุนจากด้านนอกมากกว่า
ถ้าบอกว่าจะกดดันเจ้าของตลาดต้องใช้เงินมาถมตรงนี้เท่าไหร่ครับจึงจะถึงตัวเลขที่กดดันเค้าได้ และถ้ากดดันไม่ได้เสียเงินไปฟรีๆแบบนี้เข้าข่ายตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือเปล่า
เห็นด้วยครับ
ผมเห็นด้วยตาม จขกท ทุกประการ
นโยบายพวกรถคันแรก บ้านหลังแรก ลดภาษีหลายๆอย่าง รวมทั้ง นโยบาย EV ที่จะมายังไงไม่รู้
คนที่ได้ประโยชน์คือ
ผู้มีรายได้ปานกลาง - ไปถึงสูง ครับ
ในอดีตแทบไม่มีนโยบายคนที่ขับรถมอร์เตอร์ไซค์ หรือ คนที่เช่าบ้านเลย
แต่ถ้ามองในอีกมุมนึง มันคือนโยบายที่จะดึงเงินออกจากกลุ่มคนมีกระตังค์นั่นแหละครับ
ผมเห็นกับตาคนรวยบางคน ขับรถเก่าๆ 10-20 ปี แทบไม่ซื้อใหม่เลย แต่เงินมีหลายล้าน ไม่รู้ตายไปจะได้ใช้ไหม ? ถ้ามีอะไรที่ดึงเงินออกจากเป๋าตังค์กลุ่มคนบางกลุ่มได้ ก็มีเงินมาหมุนบริษัท กลับมาที่คนขายรถ เซลล์ขายรถ ฝ่ายการตลาด โรงงานประกอบรถ พนักงานชิ้นส่วนรถ ร้านอาหารแถวๆโรงงาน หอพักข้างโรงงาน
ผลดีมันมากมายครับ
อยู่ที่นโยบายจะกระตุ้นกลุ่มโรงงาน-แรงงานในประเทศแค่ไหนเท่านั้นเอง ?
อดีต นโยบายส่งเสริมการลงทุน ถ้าเป็นรถ EV นำเข้า (ที่ไม่ใช่จีน) ก็ต้องมีสัญญาว่าจะตั้งโรงงานในไทยด้วย เป็นต้น
ขอบคุณที่เข้าใจและเห็นด้วยครับ เอาแค่ตอนนี้อยากให้เอาเงินมาหมุนกลไกลในเศรษฐกิจเพื่อสร้างงานและรายได้ก่อน คนมีกินมีใช้ภาษีจะมาเอง พอการเงินของรัฐและประชาชนมั่นคงค่อยไปกระตุ้นก็ยังไม่สายครับ ไม่ใช่ตอบสนองคนมีอันจะกินกับเจ้าสัวและค่ายรถบางยี่ห้อ ใครอยากได้อีวีก็ใจๆหน่อยครับ
ถ้ารถไฟฟ้าคันละล้าน = ของเล่นคนรวย
รถกระบะคันละล้านในปัจจุบันละครับ
Honda civic, Chr ก็คันละล้าน
ถ้า Ora good cat, MG EP ราคา8 แสน ผมว่าช่วยให้คนที่คิดจะออก Civic, Hrv , Chr หรืออื่นๆ ราคา+/- ล้าน น่าจะสนใจ Ora บ้างนะครับ
มันต่างกันครับ หลายคนใช้รถเดินทางไปไกลๆดวย อย่างแมวดีนี่ วิ่งจริงๆได้แค่70-80%ของคำโฆษณา จะให้ขับไปชาร์จไปเชีงใหม่ กทม สถานีชาร์จใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ประกอบกับเกิดอุบัติเหตุมาคงซ่อมยาก พร้อมทั้งค่าประกันภัยคงสูงน่าดูนะ สวยแต่รูปจูบไม่หอมช่วงล่างแข็งแต่ไม่เกาะถนน พวงมาลัยปรับเข้าออกไม่ได้ ใบปัดน้ำฝนหลังไม่มี เบาะรองก้นไม่รองรับสรีระให้นั่งสบายยังไงก็ของเล่นคนรวยครับ
สำหรับผม รอรถยนต์ไฟฟ้า ที่วิ่งได้ 500km ขึ้นไป ในราคาต่ำกว่า 9 แสนบาท นี่แหละ คนไทยจะนิยมรถยนต์ไฟฟ้าที่แท้จริง
" อุดหนุนเกษตรกร "
เอทานอล ไบโอดีเซล ที่คนใช้รถบ่นๆ กันเนี่ย ก็เพราะอุดหนุนเกษตรกรหรือป่าวครับ
ใช่ครับ เกษตรกรจะได้มีรายได้ที่สูงขึ้น หากเราเติมน้ำมันที่มาจากพืชทางเลือก เช่น แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล เป็นต้น
บ่นว่าเอาภาษีไปอุ้มแต่มันสร้างงานได้เยอะกับลดมลภาวะจากน้ำมันได้นะครับ เอะอะกโทษแก๊สโซฮอล ไบโอดีเซล
ถ้าพูดกันจริงๆต้องวกกลับไปเรื่องการเมืองกันเหมือนเดิมแหละ (ก็เป็นแพทเทิร์นที่ดูกันไม่ยากหรอกโดยเฉพาะรัฐบาลนี้น่ะนะ) แต่ขอเลี่ยงดีกว่า
เอาเป็นว่ามันก็ไม่เคยเป็นเจตนาที่จะออกนโยบายเพื่อช่วยคนชนชั้นล่างอยู่แล้วครับ พูดกันตามความเป็นจริง (ยกเว้นว่าเขาจะรับซื้อสินค้าเกษตรไปปั่นไฟฟ้า)
ไม่ต้องมองให้ซับซ้อนหรอกครับ ในตลาดรถไฟฟ้าที่มีตอนนี้แล้วเข้านโยบายเขามีกี่แบรนด์เอง? แล้วลองคิดดูว่านโยบายนี้ จูงใจคนชนชั้นไหนมากกว่า ระหว่างชนชั้นรวยกับชนชั้นกลาง?
คนรวยเขาซื้อ EV ถามว่าราคาต่างกันกะต๊อยนึงมันมีผลมากไหม ก็ไม่เพราะเขามีเงินเยอะพอจะซื้อตอนไหนก็ได้ สมมติอย่างมินิ EV ราคาป้าย 2.3 เหลือ 1.8-1.9 เขาก็มองว่าไม่ได้ต่างกันเยอะ
(ละจริงๆถ้าจะซื้อเขาก็คงไม่ได้มานั่งรอนโยบายอะไรขนาดนั้นหรอก) ทีนี้คุณก็รู้แล้วว่าเป้าหมายเขาอยู่กลุ่มไหน และยี่ห้อไหนที่กลุ่มนี้ที่จะซื้อ
มันก็แค่นั้นแหละครับนโยบายนี้ ไม่ต้องไปคิดอะไรซับซ้อนเรื่องจะลดมลภาวะ ช่วยลดโลกร้อนอะไร บลาๆ เพ้อเจ้อครับ
ยังเผาแก๊สเผาถ่านหินเป็นพลังงานไฟฟ้า ชาติหน้าก็คงลดมลพิษได้หรอกครับ (หรือถ้าคิดว่าประเทศไทยมันมีแค่กรุงเทพฯก็แล้วแต่ละกัน)
ใช่ครับ แหล่งพลังงานยังสร้างมลพิษอยู่นี่ ขยะแบตเตอรี่ไม่รู้ว่าจะรีไซเคิลได้หมดจดมั้ย ผมมองว่าอยากรักษ์โลกจริงๆต้องลดละเลิกใช้รถยนต์แหละหันมาใช้บริการสาธารณะ เดิน ปั่นจักรยานครับ ส่วนรถไฟฟ้าเป็นเพียงแค่การตลาดสวยหรูดูโลกสวยแบบลูกกกวาดที่กินแล้วทำให้อวน ฟันผุ เป็นเบาหวานมากกกว่า