เล่นไม่ถูกจุด บิดเบือนราคากันไม่จบ
ถ้าอยากลดราคาจริงๆลดภาษีสรรพสามิตสิครับ มาลดการส่งเงินกองทุนทำไม
ทุกวันนี้เก็บกัน 5.8 บาทแล้ว แน่จริงลงมาเหลือ 4 บาทสิครับ
หรือกลัวว่าไม่มีรายได้เข้ารัฐ พอช่วงราคาปกติก็มาเพิ่มการเก็บภาษีแบบเนียนๆ
ส่วนเรื่อง B20 หาคนเติมยากมากครับ
เอาตรงๆทุกวันนี้แค่ B10 ของที่ทำงานนอกจากรถส่งเคอรี่กับกระบะบางคันแล้ว ยังหาคนเติมไม่ได้เลย
ลูกค้า AR (ลูกค้าเครดิต) หรือ ลูกค้าประจำส่วนใหญ่เติม B7 เกือบทั้งหมด
ช่วงนั้น B10 ขนาดมีโปรเติม 600 ได้น้ำ 2 ขวด ยังแทบไม่มีใครเติมเลยครับ
เคยลองถามดูว่าทำไมถึงไม่เติม เค้าบอกว่ากลัวเครื่องพัง ไอ้เราคนหน้างานก็ไม่ถามอะไรต่อ
ยิ่งพรีเมี่ยมแล้วใหญ่ สั่งมาแค่ 8 พันลิตร กว่าจะหมดปาเข้าไปเกือบเดือน
ถ้าไม่มีรถเบนซ์/บีเอ็มดีเซล หรือ กระบะที่อยากได้มาเติม วันนึงยอดขายไม่ถึง 200 ลิตรครับ
ทางส่วน/เขตก็เร่งยอดมา แต่ทำไงได้ คนไม่เติมกัน ให้เด็กเชียร์ก็ไม่เติม ทำรายงานไปยังเบี้องบนแล้ว แต่ก็ยังเห็นนิ่งๆอยู่
ลูกค้าบอกว่าจะได้อะไรกับส่วนต่างร่วม 5 บาท ในเมื่อวิ่งไม่ไกลมาก เอาเไปเติมดีเซลธรรมดาดีกว่า
ส่วนเรื่อง B6 อันนี้ไม่มีความเห็น แต่นโยบายเล่นเหมือนเด็กขายของแบบนี้
ก็นะ .... ไม่มีคำอธิบายครับ
ควรจะเล่น บี20 เป็นตัวดึงราคามากกว่า เพราะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ในระยะกลาง หรือยาวๆ เพราะการลดราคารอบนี้ แค่แก้ปัญหาราคาวันพรุ่งนี้
บี20 ควรต่างจากบี10 3-5บาท จบ (รัฐฯต้องคุมตรงนี้ ส่วนเรื่อง การซื้อขาย ราคาปาล์มล่วงหน้า ให้บริษัทน้ำมันไปจัดการเรื่อง warehouse บริหารกันเอง)
จากประสบการณ์คนหน้างานสถานีบริการแห่งนึงนะครับ
ลำพังแค่ B10 ยังไปยากเลย วันนึงปล่อยแค่ 6-700 ลิตรเท่านั้น เมื่อเทียบกับ B7 ที่ไปเกิน 3000-5000 ลิตรต่อวัน
ยิ่งพรีเมี่ยมยิ่งแล้วใหญ่ บางวันขายไม่ได้เลยก็มี
B20 ที่ทำงานเคยเอามาลงครับ แต่เพราะไม่ประสบความสำเร็จจากทั้งราคาที่ไม่ดึงดูดใจ และ คนใช้รถส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับกัน
เพราะภาครัฐเหมือนผีเข้า/ออก ไม่มีการประชาสัมพันธ์อะไรที่ชัดเจน ผู้ผลิตไม่มีการออกมาโฆษณาแบบจริงจังว่ารองรับ
Manage เรื่อง Warehouseทุกแห่งก็ทำกันละครับ แต่ในเมื่อสั่งแล้วขายไม่ออก ทำทุกทางแล้วยอดไม่เดิน
เพราะการขายน้ำมันในสถานีแต่ละแห่ง ต้องคำนึงว่าจุดนั้นมีคน หรือ รถเติมผลิตภัณฑ์นั้นๆหรือเปล่า
B20 ถึงได้ถูกจำกัดแต่สาถนีที่ยอดรถบรรทุกเติมกันประจำ และยอดขายเกิน 2000 ลิตร/สัปดาห์ครับ
