Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: the kit ที่ ตุลาคม 31, 2013, 13:43:17
-
จากคำถามนะ
คือมันเป็นทางตรงยาวๆ และสามารถเห็นสัญญาณไฟได้จากระยะ 2-3 กม. เมื่อเราเห็นไฟแดงแล้ว เราปลดจาก D ไป N เพื่อปล่อยไหล เป็นระยะ 2-3 กม.
จะมีผลเสียอะไรไหมครับ ถ้าทำบ่อยๆ เกียร์จะพัง หรือน้ำมันเกียร์จะเดือดหรือไม่ อย่างไร ช่วยอธิบายด้วยครับ ขอบคุณ
ปล. เกียร์ออโต้ธรรมดา ไม่ CVT ครับ แล้วถ้าเป็น CVT จะเป็นอย่างไรครับ
-
D -> N
N -> D
N -> R
R -> N
ควรจะทำตอนรถหยุดเท่านั้นไม่ใช่เหรอครับ
-
;D ;D ;D
-
ยังดี ว่า กด D-N นะคะ
บางรายกด P นี่สิคะ จอดตามหลัง เห็นชัดเลย เพราะ ไฟถอยขึ้นแว๊บๆ
นึกสภาพ รถมันชนท้าย สิคะ เหอะๆๆๆ
สรุป D-N ไม่มีผลค่ะ อย่าสับ P ก็แล้วกันค่ะ
อ้อ D-N ควรทำตอนรถนิ่งดีกว่าค่ะ ถ้าปล่อยให้ไหล เกรงว่าจะมีปัญหาค่ะ
-
D>N ทำตอนรถวิ่งเหมือนรถเกียร์ธรรมดา เคยอ่านเจอมาว่าเกียร์จะกลับบ้านเก่าเร็วขึ้นครับ
ปล่อยคันเร่ง ทิ้งไว้ D มันหน่วงนิดเดียวเองครับ เลยไม่รู้ว่าจะสับทำไม
-
เกียร์ D ปล่อยไหลๆตอนก่อนถึงไฟแดง ไม่ได้เปลืองเชื้อเพลิงมากกว่าใช้ N ไหลๆไป เพราะยังไงมันก็ไม่ได้จ่ายน้ำมันอยู่แล้ว ;D
-
ทำเพื่ออะไรครับ
-
D -> N ขณะที่ถอนคันเร่งแล้ว คงไม่สึกหรอเท่าไร แต่ก็ไม่มีประโยชน์เท่าไร
การแยกตัวของชุดครัชเปียก ขณะที่เพลาขาเข้า (จากเครื่อง) และ เพลาขาออก (ไปล้อ) วิ่งไปด้วยกัน ที่แรงบิดต่ำๆ (แรงเฉื่อย)
การสึกหรอไม่น่าจะต่างมากนัก กับตอนเปลี่ยน D -> N ขณะรถหยุด
แต่ถ้าจะประหยัดน้ำมัน ก็คงไม่ช่วย เพราะเครื่องเดียวนี้ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิค ถอนคันเร่งมันก็ตัดน้ำมันแล้ว
อีกอย่าง ระยะเบรกตอนเข้า N จะยาวกว่า เพราะไม่มีเครื่องช่วยฉุด มีอะไรตัดหน้า ปุบปับ อาจจะเบรกๆไม่ทัน
-
ผมเข้าใจว่านี่คือ คำถามจากสถานการณ์สมมุติ...
ผลเสียในทางกายภาพตัวรถและเครื่องยนต์..คงไม่มี
อยากจะทำ ก็ทำได้..
แต่ก็ไม่เห็นจะเกิดประโยชน์อะไร เช่นกัน
จึงไม่เห็นด้วยที่จะทำ
สู้ปล่อยให้ D ทำงานของมันไปจนกระทั่งเบรค
เผื่อบางทีหากมีเหตุให้ต้องขับเคลื่อนต่อไป เช่น มีสิ่งกีดขวางกระทันหัน จำเป็นต้องเร่งเครื่องเพื่อหลบหลีกสถานการณ์
คิดข้อนี้ดีกว่า ถ้ารถไหลๆ ที่ความเร็วซัก 40 กม/ชม แล้วดันผลักเข้า D เลย จะมีผลเสียอะไรหรือไม่
-
ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ แต่ก็ไม่ควรทำ ถ้าพลาดที อาจมีคนตาย
-
ผมเข้าใจว่า พอเห็นไฟแดงในระยะที่สามารถปล่อยรถไหลไปได้โดยไม่ต้องเหยียบคันเร่ง
แล้วเปลี่ยนเกียร์จาก D มา N เพื่อไม่ให้รถหน่วง จะได้ไหลไปไกลกว่าตอนอยู่ที่ D ผมก็
เคยทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ระยะมันสั้นเกินกว่าที่จะเรียกว่าประหยัด อีกทั้งยังเป็นการเสี่ยง
ต่อเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นเฉพาะหน้าอีกด้วย จึงมีความเห็นเหมือนหลายๆ ท่านข้างบนครับว่า
ใช้เกียร์ D ไปจนหยุด ส่วนจะเปลี่ยนเป็น N หรือเหยียบเบรคก็แล้วแต่สะดวกครับ
-
ขออนุญาตตอบคำถามนะครับ
ถ้าก่อนถึงไฟแดงเราปลดเกียร์จาก D ไป N จะมีผลเสียอะไรไหม ?
ตอบ ถ้าช่วงรถไหลนิดๆ ไม่เกิน 5 - 10 เมตร ทำได้ครับ แต่ไม่สมควรทำ
ยิ่งถ้ามาเร็วๆ แล้วไหลไกลๆ ก่อนที่จะถึงไฟแดง ยิ่งไม่ควรทำ เพราะมีผลเสียต่อเกียร์อย่างมากครับ ;)
-
มันเป็นนิสัยของการขับเกียร์ธรรมดาที่ไม่ค่อยถูกต้องก่อนจะจอดนิ่ง นิครับ
ทางที่ดีที่สุดคือ ใช้เกียร์ D ปล่อยไหลค่อยๆบรรจงเบรคเบาๆ จนหยุดนิ่งดีกว่าครับ
การเปลี่ยนเกียร์ไม่ว่าจะไป N ทางที่ดี คือ ต้องให้รถหยุดนิ่งเหยียบเบรคก่อนเปลี่ยนเกียร์ เป็นดีที่สุดครับ
การปล่อยรถโดยไม่แตะคันเร่งไม่ว่าจะเข้าเกียร์ N หรือ D ก็กินน้ำมันแทบจะเท่ากันครับ
กรณีที่เบรคแตกหรือคันเร่งค้าง ให้เข้า N ได้เลย ค่อยๆปล่อยรถไหลคุมด้วยเบรคมือค่อยๆยกทีละนิด บิดล้อนิดหน่อยเพื่อลดความเร็ว(ช้าๆ) ถ้าจังหวะต้องหยุดกระทันหัน ควรหาที่แถข้างเบียดทีละนิดครับ เลีียงชนคนกับมอเตอร์ไซ ชนท้ายรถยนต์(ไม่ยกสูง)เบาๆ
-
รถยนต์บางรุ่น การถอนเกียร์ จาก D > N ขณะวิ่งชะลอตัว แทนที่จะประหยัดน้ำมัน กลับกลายเป็น กินน้ำมันมากขึ้นนะครับ
เพราะบางรุ่น มีระบบคำนวนการจ่ายเชื้อเพลิงขณะชะลอตัวให้น้อยลง หรือตัดการจ่ายเชื้อเพลิง เพื่อลดอัตราสิ้นเปลือง
การเข้า N แล้วปล่อยไหล ทำให้อัตราสิ้นเปลือง = รอบเดินเบา ซึ่ง อาจจะมากกว่า การที่เครืองลดการจ่ายเชื้อเพลิงขณะชะลอรถได้
คู่มือจะมีบอกนะครับ ว่ารถ เกียร์ อัตโนมัติ ห้ามลากเกินระยะทาง 20 - 25 กิโลเมตร (โดยเอาล้อที่ขับลงพื้น) ซึ่งแปลว่า การปล่อยให้
รถวิ่งไหลโดยใช้เกียร์ N ย่อมมีผลเสียต่อเครื่องยนต์หรือระบบเกียร์แน่นอนครับ แต่จะมากหรือน้อยแค่นั้นเอง
ฉะนั้นแล้ว ผมว่า ปล่อยให้รถจอดสนิทก่อนดีกว่าครับ แล้วค่อยเลื่อน D > N (ถ้าไฟแดงนานเกิน 60 วิ ผมใช้เกณฑ์นี้)
-
จะทำไปทำไมหล่ะครับ 555555
ผมว่ามันเป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผลเท่าไหร่ครับ และ engine break ก็ไม่ได้ดึงแรงขนาดนั้นครับ
ถ้าเกิดเหตุกาณ์รฉุกเฉินต้องเร่ง ก็ต้องเสียเวลาเปลี่ยนมาเกียร์ D อีกรอบครับ (ระบบช่วยการทรงตัว อาจจะไม่ทำงานเมื่อเข้า N ครับ)
การกระทำแบบนี้ทำให้เกียร์ไปก่อนเวลาแน่นอนครับ
การกินน้ำมันก็ไม่ต่างครับ เนื่องจากรถรุ่นใหม่เป็นหัวฉีด รับคำสั่งจากกล่อง ECU ถ้าเราไม่เหยียบคันเร่ง น้ำมันก็จะฉีกเท่ารอบเดินเบาของรถครับ
รถบางค่ายเช่น BMW MB เวลาเราจะเปลี่ยนเกียร์ต้องเหยียบเบรคก่อนถึงเปลี่ยนเกียร์ได้ครับ
-
ทำเพื่ออะไรหรอครับ รถรุ่นใหม่ๆที่มีค่าแสดงอัตตราการกินน้ำมันแบบreal time ผมลองจอดแล้วดูว่าเกียร์ไหนกินน้ำมันยังไง
มันก็เท่ากันนะครับ ไม่ได้มีผลนะ
-
ทำได้ครับ ถ้ากรณีพื้นเรียบ ไม่มีผลเสียแต่อย่างใด ยกเว้นถ้าเกิดไฟเขียวพอดี และมีการใส่กลับเกียร์ D อีกครั้งขณะที่รถยังไหลอยู่ จะทำให้เกียร์มีโอกาสสึกหรอได้มากกว่าปรกติ แต่ต้องระวังอันตรายอย่างมากกรณี อยู่ขณะลงเนิน เพราะหากเครื่องยนต์เกิดการดับ จะทำให้เบรค ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ เมื่อย้ำเบรค กำลังเบรคจะหายไป และเมื่อผลักเกียร์กลับไปใส่เกียร์ D อีกครั้งจะไม่ทำให้เครื่องหน่วงและติดขึ้นมาอีกครั้งเหมือนเกียร์ Manual ครับ ต้องระวังจุดนี้ให้ดี
-
จะทำไปทำไมหล่ะครับ 555555
ผมว่ามันเป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผลเท่าไหร่ครับ และ engine break ก็ไม่ได้ดึงแรงขนาดนั้นครับ
ผมว่าเค้าคงไม่ได้หวังผลจาก engine break เพราะเข้า N จะไม่เกิด Engine breake ครับ
ค่าเท่ากับเข้าเกียว่างของเกียร์ธรรมดา ถ้าอยากได้ engine break ต้องเข้าเกียร์ต่ำ
-
น้ำมันเกียร์จะเดือดครับ (จริงๆแค่ร้อนขึ้น) ส่งผลให้เกียร์อายุสั้นลงครับ เค้าถึงห้ามลากรถโดยไม่ยกล้อหน้าขึ้นหน่ะครับ แม้จะเข้าเกียร์ว่างหรือไม่ได้สตาร์ทรถเมื่อล้อหมุนฟันเฟืองต่างๆก็หมุนไปด้วยแต่ระบบหล่อเย็นน้ำมันเกียร์หยุดทำงานน้ำมันเกียร์เลยร้อนขึ้น
อันนี้ตามความเข้าใจมนะครับผิดอย่างไรช่วยแก้ให้หน่อยแต่ถ้าถูกก็ช่วยยืนยันหน่อยนถครับ หาพวก ;D ;D ;D
-
จะทำไปทำไมหล่ะครับ 555555
ผมว่ามันเป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผลเท่าไหร่ครับ และ engine break ก็ไม่ได้ดึงแรงขนาดนั้นครับ
ผมว่าเค้าคงไม่ได้หวังผลจาก engine break เพราะเข้า N จะไม่เกิด Engine breake ครับ
ค่าเท่ากับเข้าเกียว่างของเกียร์ธรรมดา ถ้าอยากได้ engine break ต้องเข้าเกียร์ต่ำ
อ่อ ผมหมายถึงว่า engine break ไม่ได้ดึงแรงขนาดที่ว่า รถหยุดเร็วเกิน จนต้องเข้าเกียร์ว่างครับ
ขอบโทษครับ ผมรีบเขียนไปนิดเลยไม่เคลียครับ 55555 :D :D :D
-
ไม่ควรทำครับ ไม่ใช่ว่าเกียร์พังหรืออะไรมันไม่พังหรอก จะพังก็4-5ปีขึ้นแน่
แต่ถ้าฉุกเฉินมีสิบล้อเบรกแตกพุ่งไล่หลังมากเราต้องพุ่งหนีอาจหนีไม่ทันนะครับ
เข้าDแล้วถอนคันเร่งไหลก็ประหยัดน้ำมันเท่ากันครับ
-
บอกตามตรง ผมไม่รู้ว่าอะไรในเกียร์จะพังมั๊ย
แต่ให้ลองคิดดูว่า ทำไมเค้าไม่ให้ลากรถเกียร์ออโต้ที่ความเร็วเกิน 25กิโลเมตรต่อชม ผมว่านั่นแหละคือทำไมเราไม่ควรปลดเกียร์ไป n
-
รถเกียร์อัตโนมัติทุกคัน ห้ามลากที่ความเร็วสูง และห้ามลากติดต่อกันนานโดยไม่มีการหยุดพัก คู่มือระบุไว้
ดังนั้นการใส่ N ในขณะรถวิ่งและปล่อยไหลเป็นทางยาว ผมคิดว่าจะมีผลทำให้กลไกในเกียร์มีปัญหาในระยะยาวครับ
-
N เกียร์ออโต้ กับ เกียร์ว่างใน เกียร์ธรรมดา ฟังดูอาจเหมือนกัน แต่หลักการทำงาน ของมันต่างกันครับ จอดรถหยุดสนิทแล้วค่อยย้าย D ไป N จะดีกว่าครับ
-
ผมนี่ประจำ D>>N ก่อนรถจะหยุด เป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง ทำมันทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติเลย
ถ้ารู้ว่าหลักการทำงานต่างกัน งี้ผมไม่ทำละครับ :)
-
Brio ผมเข้า D ไป N เป็นประจำ ไม่ว่าจะลงเนิน ไฟแดง ในกรณีถนนโล่งไม่มีใครตาม
และ จาก N ไป D ประจำ ช่วงความเร็ว 10-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Brio ขับมา 51000 กิโลเมตร 2 ปี กว่า ยังไม่เป็นอะไร ปกติดี
แต่การขับขี่ปกติ แทบจะไม่ Kick Down ไม่ออกตัวกระชาก
( เนื่องจาก งง D รอบเครื่อง 1000-1200 ส่วน N ไม่ถึง 800-1000 )
ปล. เกียร์ CVT แสนกว่าบาท ฮ่าๆๆๆ ไม่รู้ขับแบบไหนจะพังก่อนกัน ไว้อีก 3-5 ปี ค่อยมาดูคำตอบอีกทีครับ 555+
-
ผลเสียไม่รู้ แต่ผมเห็นพ่อผมขับอย่างนี้ทุกคัน ไม่มีเกียร์พังซักคัน
คันที่ใช้นานสุด cronos 626 ก็เป็น 10 ปี
-
รถเกียร์อัตโนมัติทุกคัน ห้ามลากที่ความเร็วสูง และห้ามลากติดต่อกันนานโดยไม่มีการหยุดพัก คู่มือระบุไว้
ดังนั้นการใส่ N ในขณะรถวิ่งและปล่อยไหลเป็นทางยาว ผมคิดว่าจะมีผลทำให้กลไกในเกียร์มีปัญหาในระยะยาวครับ
คนละกรณีครับ
การลากจูง เครื่องไม่หมุน ปั๊มน้ำมันไฮโดรลิกไม่ทำงาน น้ำมันไม่มีการไหลเวียนผ่านแผงระบายความร้อน
ในขณะที่ล้อหมุน ทำให้เพลาขาออกหมุน ชิ้นส่วนในเกียร์บางชิ้นก็หมุน เกิดความร้อนสะสมภายในเกียร์ มากๆ เข้าก็พัง
-
เปลี่ยนเกียร์เป็น N ก่อนไฟแดง ถ้าทำบ่อยๆมันก็มีผลต่ออายุการใช้งานหละครับ
บางทีถ้าคุณใช้รถอย่างทะนุถนอม เกียร์บางลูกอาจจะใช้ได้ถึง300,000โล หรือมากกว่านั้น
ส่วนเกียร์ธรรมดาไม่มีปัญหาครับ เพราะมันไม่มี N :D
-
ผมก็ทำนะครับ ที่ทำเพราะเวลาจอดกำลังจะหยุดจะนุ่มนวลกว่า แต่บ้านผมทำกันทั้งบ้าน 555 ก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรนะ
รถคันที่อายุนานที่สุด 17-18 ปี แล้ว เกียร์วิ่งไป 350,000+ กม ถึงต้องเปลี่ยน (นี่ขนาดไม่ค่อยได้ถ่ายน้ำมันเกียร์นะครับ)
ฉะนั้นจากประสบการณ์ คิดว่าแทบไม่มีผม ผมว่าถ้าวิ่งที่ความเร็วสูงๆ ลากรอบสูงๆ อย่างนี้มีผลต่อเกียร์มากกว่าเยอะครับ
-
จะทำเพื่อประหยัดน้ำมันหรอครับ 5555 แนะนำเล่นเกียร์ธรรมดาเลยดีกว่า มันส์กว่าเยอะ
-
ผมก็เผลอทำเป็นบางครั้งรู้สึกรถลื่นไหลดี ;D
ส่วนเรื่องเกียร์ ผมก็ยังไม่เห็นมีข้อพิสูจได้ซักทีว่าทำแบบนี้เกียร์พัง
แต่สรุปแล้วพยายามห้ามใจตัวเองไม่ไห้โยกเกียร์ D มา N ดีกว่าครับ ป้องกันทางอ้อมด้วยเผื่ออาจที่ผลเสียที่เกียร์จริงๆ
-
ขอรอฟังคำอธิบายแบบชัดๆด้วยคน ;)
-
ก็ชัดพอแล้วนะครับคำอธิบายที่ผ่านๆมา
ผมเสริมอันนี้ให้
http://www.headlightmag.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=307:-n-d-&catid=94:technical-guru&Itemid=158 (http://www.headlightmag.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=307:-n-d-&catid=94:technical-guru&Itemid=158)
ถึงในทางปฏิบัติ หลายคนก็คงบอกว่าสับไป N บ่อยๆใช้รถมา 17 ปีก็ยังไม่พัง (รถคันก่อนผมก็ 17 ปี ไม่พัง) แต่ยังไงซะก็ถือทางสายกลางเอาก็แล้วกันนะครับ
อีกอย่าง ถึงจะเป็นเกียร์ธรรมดา การสับไปเกียร์ว่าง ก่อนที่รถจะหยุด ก็เป็นการใช้งาน/ขับขี่ รถที่ไม่ค่อยจะถูกต้องเสียเท่าไรนะครับ
-
ขอบคุณสำหรับคำตอบ
แต่ขอแบ่งคำตอบที่ได้รับเป็น 2 กรณีครับ
1. การตอบแบบ เกรียน อวดรู้ กูเก่ง ทั้งๆที่จริงอาจไม่ได้มี ความรู้จริงหรือ exp. เลย เช่น ทำไปเพื่ออะไร, ทำแบบนี้ไม่มีดูเหมือนไร้สาระ
ขอตอบว่า "ถ้าผมไม่อยากรู้แล้ว ผมจะตั้งคำถามขึ้นมาทำไม ในคำถามอาจจะเป็นเรื่องสมมุติก็ได้ หรือ เรื่องจริงก็ได้ แต่มันให้ก่อเกิดความสงสัย, เป็นการถามด้วยความสุภาพและ
มีสาระ ถ้าเดือดร้อนที่จะตอบ หรือเข้ามาเพื่อเก็บแต้มหรือโชว์พลัง ว่าเป็น กูรู(ไม่จริง) ก็ไม่ต้องตอบ อ่านจากผู้ที่เขาต้องการมาให้ความรู้ก็ได้ "
มันเหมือนกับ "คนขับรถเป็นแล้ว มองดูคนเพิ่งหัดขับรถ หรือสอนให้คนขับรถ แล้วยิ้มเยาะว่า %&*))_" แบบนี้ไม่ต้องทำก็ได้ หรือกลัวคนอื่นเขาไม่รู้ว่า...... เอ็งเก่ง!!
2. ผู้ที่ตอบแบบต้องการให้ความรู้แก่ผู้อื่น จาก exp. ตรง หรือจากความรู้ที่ได้มาเอามาถ่ายทอดสู่กันฟัง จะถูกจะผิดอย่างไร ผู้ที่ได้รับรู้ยังรู้สึกดีว่า "เอาใจมาตอบให้"
ขอบคุณอีกครั้ง
-
;D ;D ;D..............สมมุติ ปล่อยเกียร์ N ด้วยแรงเฉื่อยวิ่งลงภูเขามา Torque Converter ก็จะไม่หมุนเหมือนตอนเร่งรอบเครื่อง ที่ยิ่งเร่ง rpm สูง T/C ก็หมุนเท่า rpm พัดพาน้ำมันเกียร์หมุนวนออกไปท่อ Transmission Oil Cooler - TOC ที่หน้ารังผึ้งหม้อน้ำ รับลมระบายความร้อนน้ำมันเกียร์ คุมอุณหภูมิน้ำมันเกียร์ 67-105 ' C
และเมื่อใดก็ตามหาก T/C ไม่พัดพาน้ำมันเกียร์ออกไประบายความร้อน เฟือง และหม้อคลัช (drums) หลายชุดจะเกิดความร้อนสะสมและ หลายชิ้นส่วนภายในเสื้อเกียร์จะไหม้ครับ !! คุณ NINENOI คนเดียวที่เข้าใจถูกครับ
ปล. 1. เกียร์ CVT ที่ไม่มี T/C เช่น 01-09 Jazz/City ทำได้ครับ จะไม่ไหม้
2. ขณะรถถูกลากจูงใน N โดยล้อลงพื้นทั้ง 4 ล้อ (ไม่ได้ยก 2 ล้อที่รับถ่ายกำลังจากเกียร์ให้พ้นพื้นถนน)
ผู้ผลิตรถถึงระบุในคู่มือว่า ให้ลากจูกด้วยความเร็วต่ำไม่เกิน 40-50 กม./ชม. และลาก 1/2 ชม. พัก 1/2 ชม.
ช่างเกียร์พระนครเหนือ 8)
-
;D ;D ;D..............สมมุติ ปล่อยเกียร์ N ด้วยแรงเฉื่อยวิ่งลงภูเขามา Torque Converter ก็จะไม่หมุนเหมือนตอนเร่งรอบเครื่อง ที่ยิ่งเร่ง rpm สูง T/C ก็หมุนเท่า rpm พัดพาน้ำมันเกียร์หมุนวนออกไปท่อ Transmission Oil Cooler - TOC ที่หน้ารังผึ้งหม้อน้ำ รับลมระบายความร้อนน้ำมันเกียร์ คุมอุณหภูมิน้ำมันเกียร์ 67-105 ' C
และเมื่อใดก็ตามหาก T/C ไม่พัดพาน้ำมันเกียร์ออกไประบายความร้อน เฟือง และหม้อคลัช (drums) หลายชุดจะเกิดความร้อนสะสมและ หลายชิ้นส่วนภายในเสื้อเกียร์จะไหม้ครับ !! คุณ NINENOI คนเดียวที่เข้าใจถูกครับ
ปล. 1. เกียร์ CVT ที่ไม่มี T/C เช่น 01-09 Jazz/City ทำได้ครับ จะไม่ไหม้
2. ขณะรถถูกลากจูงใน N โดยล้อลงพื้นทั้ง 4 ล้อ (ไม่ได้ยก 2 ล้อที่รับถ่ายกำลังจากเกียร์ให้พ้นพื้นถนน)
ผู้ผลิตรถถึงระบุในคู่มือว่า ให้ลากจูกด้วยความเร็วต่ำไม่เกิน 40-50 กม./ชม. และลาก 1/2 ชม. พัก 1/2 ชม.
ช่างเกียร์พระนครเหนือ 8)
เยี่ยมเลยครับ แบบนี้ล่ะที่ต้องการ
-
เห็นด้วย โพสบน